โต้ง เดือด โดนแก๊งมิจฉาชีพปลอมเอกสารขอคืนภาษีแวตจากการส่งออก พบ 30 ราย วงเงินสูง 2.6 พันล้านบาท แต่งตั้ง "รังสรรค์" ยื่นดีเอสไอฟัน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า ได้ลงนามแต่งตั้งให้ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ดูแลด้านภารกิจรายได้ เป็นเจ้าพนักงาน ยื่นฟ้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดกับกลุ่มบุคคล 30 ราย ที่มาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากการส่งออก โดยที่ไม่ได้มีการทำธุรกรรมจริง ซึ่งถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาครัฐ คิดเป็นวงเงินสูงถึง 2.6 พันล้านบาท
การทุจริตขอคืนภาษีถือว่าร้ายแรงกว่าการหนีภาษี เพราะการทุจริตขอคืนภาษีเป็นการมาขอคืนในเงินที่ตัวเองไม่ได้จ่ายไว้จริง ถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงของประเทศ โดยยืนยันจะดำเนินการเอาผิดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบุคคลฝ่ายใดก็ตาม รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนกระทำความผิดด้วย" นายกิตติรัตน์กล่าว
ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการสอบสวนทางลับว่ามีการทุจริต โดยขอคืนภาษีแวต โดยการอ้างเป็นผู้ส่งออก ซึ่งผู้ร่วมกระทำผิดมีทั้งเอกชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหนึ่ง
นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ปกติผู้ประกอบการนำเข้าจะต้องเสียภาษีแวตสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนก่อน และจะมาขอคืนภาษีในส่วนวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่นำมาประกอบเป็นสินค้าและส่งออกไปขายยังต่างประเทศในภายหลัง แต่กรณีที่พบความผิด ไม่ปรากฏว่ามีการทำธุรกรรมนำเข้า-ส่งออกเลย และมีการทำใบภาษีปลอมมาขอคืนภาษี
นอกจากการทุจริตโดยการขอคืนภาษีแวตแล้ว ยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่นำเข้ารถหรูไม่ถูกต้อง เพราะมีการประเมินว่า มีการแจ้งเสียภาษีต่ำไม่ถูกต้อง ทำให้รัฐบาลสูญภาษีปีละกว่า 1 หมื่นล้านบาท
ด้านนายรังสรรค์กล่าวว่า เอกชนทั้ง 30 ราย ที่จะถูกยื่นฟ้องเป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมด ที่ร่วมมือกันเป็นขบวนการในช่วงปี 2555 และ 2556 แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มที่อ้างว่านำเข้าและส่งออกสินค้าประเภทใด เพราะจะทำให้ผู้กระทำผิดรู้ตัวก่อน.
ที่มา.ไทยโพสต์
---------------------------------------------
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า ได้ลงนามแต่งตั้งให้ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ดูแลด้านภารกิจรายได้ เป็นเจ้าพนักงาน ยื่นฟ้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดกับกลุ่มบุคคล 30 ราย ที่มาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากการส่งออก โดยที่ไม่ได้มีการทำธุรกรรมจริง ซึ่งถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาครัฐ คิดเป็นวงเงินสูงถึง 2.6 พันล้านบาท
การทุจริตขอคืนภาษีถือว่าร้ายแรงกว่าการหนีภาษี เพราะการทุจริตขอคืนภาษีเป็นการมาขอคืนในเงินที่ตัวเองไม่ได้จ่ายไว้จริง ถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงของประเทศ โดยยืนยันจะดำเนินการเอาผิดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบุคคลฝ่ายใดก็ตาม รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนกระทำความผิดด้วย" นายกิตติรัตน์กล่าว
ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการสอบสวนทางลับว่ามีการทุจริต โดยขอคืนภาษีแวต โดยการอ้างเป็นผู้ส่งออก ซึ่งผู้ร่วมกระทำผิดมีทั้งเอกชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหนึ่ง
นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ปกติผู้ประกอบการนำเข้าจะต้องเสียภาษีแวตสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนก่อน และจะมาขอคืนภาษีในส่วนวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่นำมาประกอบเป็นสินค้าและส่งออกไปขายยังต่างประเทศในภายหลัง แต่กรณีที่พบความผิด ไม่ปรากฏว่ามีการทำธุรกรรมนำเข้า-ส่งออกเลย และมีการทำใบภาษีปลอมมาขอคืนภาษี
นอกจากการทุจริตโดยการขอคืนภาษีแวตแล้ว ยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่นำเข้ารถหรูไม่ถูกต้อง เพราะมีการประเมินว่า มีการแจ้งเสียภาษีต่ำไม่ถูกต้อง ทำให้รัฐบาลสูญภาษีปีละกว่า 1 หมื่นล้านบาท
ด้านนายรังสรรค์กล่าวว่า เอกชนทั้ง 30 ราย ที่จะถูกยื่นฟ้องเป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมด ที่ร่วมมือกันเป็นขบวนการในช่วงปี 2555 และ 2556 แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มที่อ้างว่านำเข้าและส่งออกสินค้าประเภทใด เพราะจะทำให้ผู้กระทำผิดรู้ตัวก่อน.
ที่มา.ไทยโพสต์
---------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น