โดย.ณรงค์ ปานนอก
ยามโรคซ้ำกรรมซัด ราคาไข่ที่ทุกรัฐบาลไม่อยากพูดถึง ก็ดันย้อนมาเป็นหนามตำอกให้ฝ่ายรัฐบาลปวดหัวเล่นเสียยังงั้น
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประสบกับราคาไข่แพงมาแล้ว 2 ช่วง และช่วงนี้ถือเป็น "รำวงรอบพิเศษ" ที่ราคาไข่วนมาแพงเพราะราคาต้นทุนสูงขึ้น บวกกับ "วงในไข่" ได้ใช้เกมเพิ่มราคาไข่ด้วยวิธีทุ่มเงินเก็บไข่ออกนอกระบบ เมื่อไข่ขาดตลาดก็ทำให้ราคาสูงขึ้นมาทันที
ไข่ไก่สูงกว่าราคาเดิมหน้าฟาร์มเพียงฟองละ 30 สตางค์ ดูแล้วไม่น่าเดือดร้อน แต่ฝ่ายค้านก็สร้างวาทกรรมที่ถนัดให้เห็นว่า ไข่ไก่แพงมากถึงฟองละ 5 บาท... เมื่อถึงปากผู้บริโภค ไข่สุกก็ขยับสูงถึงฟองละ 8-10 บาท
เข้าตำรา "ทีเอ็งเคยด่าว่ายุคข้าขายไข่ชั่งกิโล ตอนนี้ถึงทีข้า ข้าจะด่าเอ็งบ้างว่ายุคไข่ปูแพงโคตร" อะไรทำนองนั้น
ยุค "ไข่ชวน ไข่น้าชาติถูก" ยุค "ไข่แม้วแพง" มาถึงยุค "ไข่มาร์คชั่งกิโล" ยังพอทำเนา แต่มาถึงยุค "ไข่ปูโคตรแพง" นี่มันวาทกรรมตลกผิดเพศแปลงพันธุ์ทั้งที่เป็น "ปูตัวเมีย" ไปหรือเปล่า
เมื่อรู้ว่า "ไข่" เป็นตัวสะท้อนสถานภาพของรัฐบาลแต่ละยุค รัฐบาลก็ต้องมี "กึ๋น" ขจัดปัญหาให้ได้ ไม่งั้นก็จะตกเป็น "ขี้ปาก" ให้ใครเอาไปค่อนแคะได้ว่า "แม้แต่ไข่ ยังแก้ไม่ตก"
ผมไม่ได้ปลื้มกับสถานการณ์ไข่แพง จนไม่อาจสกัดราคาถึงขั้นหมดสิทธิ์กินไข่ราคาถูกได้อีกแล้ว แต่เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีปัญญาเข้าไปจัดการ "กลไกราคาไข่" ให้ลดลงมาได้...ถ้าไม่ด้วยวิธี "ดัมพ์ปริมาณไข่" เข้าตลาดให้มากขึ้น ก็อาจเพิ่มปริมาณแม่ไก่ไข่นำเข้าให้มากขึ้น แล้วหาทางช่วยเกษตรกรโดยลดต้นทุนอาหารไก่ลง
ไอ้เรื่อง "ไข่ธงฟ้า" ราคาถูกนั่น มัน "ผักชีโรยหน้า" เป็นแค่ของเล่นเพื่อ ยืดเส้นยืดสายของรัฐมนตรีและข้าราชการกระทรวงพาณิชย์เพื่อหลบ "พายุน้ำลาย" บางฤดูกาลเท่านั้น
แต่สิ่งที่จะเสนอแนะให้เป็นจริงเป็นจัง และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพประชากรทั้งปัจจุบันและอนาคตต่างหากเป็นเรื่องที่ควรนำไปเป็น "วาระอาหารหลักแห่งชาติ"
กรณีตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ทำไมรัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับลิตรละไม่เกิน 30 บาทได้ยาวนาน ทั้งๆ ที่น้ำมันดีเซลหลายช่วงมีราคาสูงกว่าลิตรละ 30 บาท
ทำไมราคาก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซ LPG เติมในรถยนต์จึงราคาถูกกว่าก๊าซ LPG นำเข้า ก็เพราะรัฐมีนโยบายแบกราคาก๊าซหุงต้มไม่ให้แพงจนไปกระทบราคาอาหาร โดยรวมต้องขยับราคาสูงขึ้นไปอีก โดยการเก็บกำไรจากการขายน้ำมันก๊าซโซฮอล์ ทุกชนิดไปเข้ากองทุน แล้วเอาเงินส่วนนั้นมาชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซนำเข้า ทำให้ก๊าซมีราคาต่ำกว่าราคาจริง
กับก๊าซหุงต้ม กับก๊าซในรถยนต์ รัฐบาลยังชดเชยให้ก๊าซราคาถูกได้
แล้วทำไมรัฐบาลจึงไม่คิดทำให้อาหารหลักของประชากรทั้งประเทศมีราคาตรึงให้นิ่งบ้าง
"ไข่" ไม่ใช่เป็นอาหารหลักอย่างเดียว แต่ผมกำลังมองว่า "เนื้อ นม และไข่" คืออาหารหลักของชาติที่ไม่ควรให้ขึ้นราคาตามกลไกตลาดที่ถูกครอบงำโดย "คนกลาง" ถ้าตราบใดที่รายได้ประชาชาติยังไม่มากพอ และแผ่นดินนี้ยังมีคนจนคนหาเช้ากินค่ำอีกหลายล้านคนทั้งในเมืองและชนบท
รัฐบาลสามารถตรึงราคาไข่ สมมติว่ายืนราคาฟองละ 2.50 บาท โดยไปอุดหนุนต้นทุนให้เกษตรกรเลี้ยงไก่ไข่อยู่ได้
รัฐบาลดูแลแม่ของลูกๆ ทั่วประเทศ ด้วยการผลิตนมวัวสด และนมผงเลี้ยงลูกออกสู่ตลาดในราคาที่ "แม่ทั้งแผ่นดิน" ไม่เดือดร้อนกระเสือกกระสนดิ้นรนหาเงินเพื่อซื้อนมให้ลูกอย่างยากลำบาก โดยรัฐอัดฉีดเงินอุดหนุนตั้งโรงงาน ผลิตนมผง หรือตรึงนมวัวสดให้นิ่งและราคาถูกเสียเอง
อีกทั้งอุดหนุนผลิตเนื้อสัตว์ ก็ต้องทำให้ราคาถูกในระดับที่ชาวบ้านซื้อหาอย่างไม่เดือดร้อน
เมื่อ "เนื้อ นม ไข่" ราคาตรึงนิ่งระยะยาว ผู้คนซื้อหาได้ราคาต่ำ เด็กและเยาวชนก็ได้รับการฟูมฟักจากพ่อแม่โดยไม่เดือดร้อน หากินได้เต็มที่ ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายเด็กเติบโตมีโครงสร้างบึกบึนเจริญพันธุ์สูงกว่าคนยุคเก่า
ถ้ารัฐบาลทำอย่างนี้ได้ เหมือนกับอุดหนุนราคาก๊าซให้นิ่งให้นานที่สุด เพียง 10 ปีหน้า เราก็จะเห็นผลดีทางด้านร่างกายที่เติบใหญ่เป็น "พลเมืองไทยสายพันธุ์ใหม่" ไปอีกอย่างก้าวกระโดด
สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามเพิ่งประกาศวิสัยทัศน์ชาติว่า จะสร้างมนุษย์ผู้หญิงรุ่นใหม่ให้สูงเกิน 157 ซม.ภายใน 17 ปีข้างหน้า แสดงว่าเวียดนาม ได้คิดสร้างเผ่าพันธุ์ตัวเองให้ใหญ่โตอย่างจริงจัง
ข้อเสนอของผม จึงไม่ใช่เรื่องเกินฝันและทำไม่ได้ แต่จะเป็นอีกยุทธศาสตร์ ชาติหนึ่งซึ่งน่าจะสอดรับกับสภาวะไข่แพง แล้วรู้จัก "พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสของชนชาติไทย" ได้อย่างถูกจังหวะมากกว่า
พรรคไหนรีบฉวยเอาไปเป็นนโยบายเร่งด่วน ประชาชนอาจนิยมอย่างรวดเร็วก็ได้..อย่าหาว่าไอ้รงค์เพ้อเจ้อก็แล้วกัน!
ทีมา.สยามธุรกิจ
----------------------------------------------------------------
ยามโรคซ้ำกรรมซัด ราคาไข่ที่ทุกรัฐบาลไม่อยากพูดถึง ก็ดันย้อนมาเป็นหนามตำอกให้ฝ่ายรัฐบาลปวดหัวเล่นเสียยังงั้น
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประสบกับราคาไข่แพงมาแล้ว 2 ช่วง และช่วงนี้ถือเป็น "รำวงรอบพิเศษ" ที่ราคาไข่วนมาแพงเพราะราคาต้นทุนสูงขึ้น บวกกับ "วงในไข่" ได้ใช้เกมเพิ่มราคาไข่ด้วยวิธีทุ่มเงินเก็บไข่ออกนอกระบบ เมื่อไข่ขาดตลาดก็ทำให้ราคาสูงขึ้นมาทันที
ไข่ไก่สูงกว่าราคาเดิมหน้าฟาร์มเพียงฟองละ 30 สตางค์ ดูแล้วไม่น่าเดือดร้อน แต่ฝ่ายค้านก็สร้างวาทกรรมที่ถนัดให้เห็นว่า ไข่ไก่แพงมากถึงฟองละ 5 บาท... เมื่อถึงปากผู้บริโภค ไข่สุกก็ขยับสูงถึงฟองละ 8-10 บาท
เข้าตำรา "ทีเอ็งเคยด่าว่ายุคข้าขายไข่ชั่งกิโล ตอนนี้ถึงทีข้า ข้าจะด่าเอ็งบ้างว่ายุคไข่ปูแพงโคตร" อะไรทำนองนั้น
ยุค "ไข่ชวน ไข่น้าชาติถูก" ยุค "ไข่แม้วแพง" มาถึงยุค "ไข่มาร์คชั่งกิโล" ยังพอทำเนา แต่มาถึงยุค "ไข่ปูโคตรแพง" นี่มันวาทกรรมตลกผิดเพศแปลงพันธุ์ทั้งที่เป็น "ปูตัวเมีย" ไปหรือเปล่า
เมื่อรู้ว่า "ไข่" เป็นตัวสะท้อนสถานภาพของรัฐบาลแต่ละยุค รัฐบาลก็ต้องมี "กึ๋น" ขจัดปัญหาให้ได้ ไม่งั้นก็จะตกเป็น "ขี้ปาก" ให้ใครเอาไปค่อนแคะได้ว่า "แม้แต่ไข่ ยังแก้ไม่ตก"
ผมไม่ได้ปลื้มกับสถานการณ์ไข่แพง จนไม่อาจสกัดราคาถึงขั้นหมดสิทธิ์กินไข่ราคาถูกได้อีกแล้ว แต่เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีปัญญาเข้าไปจัดการ "กลไกราคาไข่" ให้ลดลงมาได้...ถ้าไม่ด้วยวิธี "ดัมพ์ปริมาณไข่" เข้าตลาดให้มากขึ้น ก็อาจเพิ่มปริมาณแม่ไก่ไข่นำเข้าให้มากขึ้น แล้วหาทางช่วยเกษตรกรโดยลดต้นทุนอาหารไก่ลง
ไอ้เรื่อง "ไข่ธงฟ้า" ราคาถูกนั่น มัน "ผักชีโรยหน้า" เป็นแค่ของเล่นเพื่อ ยืดเส้นยืดสายของรัฐมนตรีและข้าราชการกระทรวงพาณิชย์เพื่อหลบ "พายุน้ำลาย" บางฤดูกาลเท่านั้น
แต่สิ่งที่จะเสนอแนะให้เป็นจริงเป็นจัง และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพประชากรทั้งปัจจุบันและอนาคตต่างหากเป็นเรื่องที่ควรนำไปเป็น "วาระอาหารหลักแห่งชาติ"
กรณีตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ทำไมรัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับลิตรละไม่เกิน 30 บาทได้ยาวนาน ทั้งๆ ที่น้ำมันดีเซลหลายช่วงมีราคาสูงกว่าลิตรละ 30 บาท
ทำไมราคาก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซ LPG เติมในรถยนต์จึงราคาถูกกว่าก๊าซ LPG นำเข้า ก็เพราะรัฐมีนโยบายแบกราคาก๊าซหุงต้มไม่ให้แพงจนไปกระทบราคาอาหาร โดยรวมต้องขยับราคาสูงขึ้นไปอีก โดยการเก็บกำไรจากการขายน้ำมันก๊าซโซฮอล์ ทุกชนิดไปเข้ากองทุน แล้วเอาเงินส่วนนั้นมาชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซนำเข้า ทำให้ก๊าซมีราคาต่ำกว่าราคาจริง
กับก๊าซหุงต้ม กับก๊าซในรถยนต์ รัฐบาลยังชดเชยให้ก๊าซราคาถูกได้
แล้วทำไมรัฐบาลจึงไม่คิดทำให้อาหารหลักของประชากรทั้งประเทศมีราคาตรึงให้นิ่งบ้าง
"ไข่" ไม่ใช่เป็นอาหารหลักอย่างเดียว แต่ผมกำลังมองว่า "เนื้อ นม และไข่" คืออาหารหลักของชาติที่ไม่ควรให้ขึ้นราคาตามกลไกตลาดที่ถูกครอบงำโดย "คนกลาง" ถ้าตราบใดที่รายได้ประชาชาติยังไม่มากพอ และแผ่นดินนี้ยังมีคนจนคนหาเช้ากินค่ำอีกหลายล้านคนทั้งในเมืองและชนบท
รัฐบาลสามารถตรึงราคาไข่ สมมติว่ายืนราคาฟองละ 2.50 บาท โดยไปอุดหนุนต้นทุนให้เกษตรกรเลี้ยงไก่ไข่อยู่ได้
รัฐบาลดูแลแม่ของลูกๆ ทั่วประเทศ ด้วยการผลิตนมวัวสด และนมผงเลี้ยงลูกออกสู่ตลาดในราคาที่ "แม่ทั้งแผ่นดิน" ไม่เดือดร้อนกระเสือกกระสนดิ้นรนหาเงินเพื่อซื้อนมให้ลูกอย่างยากลำบาก โดยรัฐอัดฉีดเงินอุดหนุนตั้งโรงงาน ผลิตนมผง หรือตรึงนมวัวสดให้นิ่งและราคาถูกเสียเอง
อีกทั้งอุดหนุนผลิตเนื้อสัตว์ ก็ต้องทำให้ราคาถูกในระดับที่ชาวบ้านซื้อหาอย่างไม่เดือดร้อน
เมื่อ "เนื้อ นม ไข่" ราคาตรึงนิ่งระยะยาว ผู้คนซื้อหาได้ราคาต่ำ เด็กและเยาวชนก็ได้รับการฟูมฟักจากพ่อแม่โดยไม่เดือดร้อน หากินได้เต็มที่ ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายเด็กเติบโตมีโครงสร้างบึกบึนเจริญพันธุ์สูงกว่าคนยุคเก่า
ถ้ารัฐบาลทำอย่างนี้ได้ เหมือนกับอุดหนุนราคาก๊าซให้นิ่งให้นานที่สุด เพียง 10 ปีหน้า เราก็จะเห็นผลดีทางด้านร่างกายที่เติบใหญ่เป็น "พลเมืองไทยสายพันธุ์ใหม่" ไปอีกอย่างก้าวกระโดด
สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามเพิ่งประกาศวิสัยทัศน์ชาติว่า จะสร้างมนุษย์ผู้หญิงรุ่นใหม่ให้สูงเกิน 157 ซม.ภายใน 17 ปีข้างหน้า แสดงว่าเวียดนาม ได้คิดสร้างเผ่าพันธุ์ตัวเองให้ใหญ่โตอย่างจริงจัง
ข้อเสนอของผม จึงไม่ใช่เรื่องเกินฝันและทำไม่ได้ แต่จะเป็นอีกยุทธศาสตร์ ชาติหนึ่งซึ่งน่าจะสอดรับกับสภาวะไข่แพง แล้วรู้จัก "พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสของชนชาติไทย" ได้อย่างถูกจังหวะมากกว่า
พรรคไหนรีบฉวยเอาไปเป็นนโยบายเร่งด่วน ประชาชนอาจนิยมอย่างรวดเร็วก็ได้..อย่าหาว่าไอ้รงค์เพ้อเจ้อก็แล้วกัน!
ทีมา.สยามธุรกิจ
----------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น