--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จุดเริ่มของจุดจบ...

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ กล่าวถึงกรณีข่าวจะมี 3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถอนตัวจากองค์คณะในการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้คดีไม่สามารถตัดสินได้ว่า ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น และขอให้ 3 ตุลาการคิดให้ดี เพราะถ้ามีการถอนตัวจริงอย่างที่เป็นข่าวตนเป็นห่วงว่าจะทำให้องค์กรศาลเสื่อมเสียยิ่งแย่ลงไปอีกถึงขั้นเกิดวิกฤตตุลาการครั้งใหญ่ในประเทศไทยเลยทีเดียว

รศ.อัษฎางค์ กล่าวว่า “ผมคิดว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่ 3 ตุลาการจะต้องถอนตัวจากองค์คณะในการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เลย และถ้าถอนตัวจริงจะยิ่งทำให้ปัญหาวิกฤตตุลาการบานปลายออกไป และสะท้อนให้เห็นว่า องค์กรศาลไม่เป็นเอกภาพ ทั้งๆที่ความจริงสถาบันศาลจะแบ่งเป็นค่ายไม่ได้ ต้องยึดระบบของตัวเองเป็นหลัก และเมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ไข”

ขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องมีการสังคายนาองค์กรศาลครั้งใหญ่ เพราะขาดความเชื่อถือจากประชาชน โดยจะต้องมีการปรับปรุงไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างและที่มาในการคัดเลือกตุลาการ เพื่อให้ปลอดจากการเมืองอย่างแท้จริง ส่วนกรณีที่ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปลดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ พ้นจากเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตนคิดว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วย เพราะเป็นคนที่แต่งตั้งนายพสิษฐ์เป็นเลขานุการรวมทั้งจะต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่า มีส่วนรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่

รศ.อัษฎางค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดว่า สถานการณ์ขณะนี้มีธงเดียวที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยคือ จะต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามความเห็นของ กกต. ที่ได้มีมติ 5 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปก่อนหน้านี้และส่วนตัวก็คิดว่า หวยน่าจะออกให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตัวบุคคลอาจไม่โดน เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องยอมรับว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังที่ให้การสนับสนุนแข็งมาก” รศ.อัษฎางค์กล่าว

เรื่องราวมหากาพย์การเมืองกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์นี้ หากมองกันด้วยหลักฐานที่ปรากฏชัดจากคำให้การของนายประจวบ สังข์ขาว คนเก่าแก่ของพรรคประชาธิปัตย์เอง รวมถึงการสืบพยานที่แสดงให้เห็นถึงการทำนิตกรรมอำพลาง หรือแม้แต่ข้อผิดพลาดจากการให้เบิกความของแม่ทัพคนปัจุบันของประชาธิปัตย์อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ที่ยอมรับสารภาพกลางศาลว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างทำป้ายหาเสียงเมื่อเดือนมกราคมปี 2548 จริง ทั้งๆที่การจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2547 เรียกได้ว่าเป็นการโกหกคำโตกลางศาลก็ว่าได้สอดรับกับข้อกล่าวหาทำนิติกรรมอำพลางและใช้เงินอุดหนุนพรรคการเมืองผิดประเภทเข้าอย่างจัง และที่สำคัญไปกว่าเรื่องนั้นคือลักษณะการเบิกความของนายอภิสิทธิ์ ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นการตั้งสมมุติฐานว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือออกแนวใช้สำนวนเชื่อได้ว่ากันเป็นสิบๆครั้ง แต่ทุกข้อกล่าวอ้างที่นายอภิสิทธิ์ ใช้เบิกความนั้นกลับไร้ซึ่งหลักฐานใดๆมาสนับสนุนคำให้การแม้แต่เรื่องเดียว

พูดมาถึงตรงนี้ก็คงต้องบอกได้เลยว่าหากศาลยังคงมีสำนึกและรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรม เป็นตาชั่งเที่ยงตรง ประชาธิปัตย์คงเหลือเพียงชื่อในหน้าประวัติศาสตร์เป็นแน่ แต่อย่างที่เราท่านทราบกันดีด้วยพรรคนี้บารมีล้นเหลือจึงเกิดกระแสล้มคดี โดยการถอนตัวของ 3 ตุลาการอย่างที่ท่าน รศ.อัศฎางค์ได้ออกมาเตือนสติ เป็นทางรอดสุดท้ายของประชาธิปัตย์แต่อาจเป็นทางตายทางแรกของประเทศนี้ก็เป็นได้

ผมเชื่อเหลือเกินว่าหากวันนี้หลักฐานพร้อมมูล แต่ไม่ถูกลงโทษตามโทษานุโทษแล้วไซ้ บ้านเมืองที่เรียกว่าสยามเมืองยิ้ม ก็คงสิ้นลงไปพร้อมคำตัดสินที่ไร้ซึ่งความเป็นธรรมนั่นเอง

โดย.นักวิชาการลูกพ่อขุน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น