--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

'สุเทพ' วางไมค์-ไม่วางมือ ปฏิบัติการ 'ลมใต้ปีก' ประชาธิปัตย์ 'ถ้าปฏิเสธสมัคร ส.ส.คงรู้สึกไม่จริงใจ ดัดจริต'

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ กลายเป็นหนังหน้าไฟและสายล่อฟ้า

ในฐานะเลขาธิการพรรค เขาต้องเป็นผู้ประสานผลประโยชน์กับทุกฝ่ายทั้งใน-นอกพรรค

ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล เขาต้องเป็นคนกลางกับทั้ง 7 พรรคร่วมรัฐบาล

ในฐานะนักการเมืองที่มีความฝัน ปั้น "อภิสิทธิ์" ให้เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เขาจึงเป็นทั้งลมใต้ปีก และเป็น "เงา" ที่มีแสงของ "อภิสิทธิ์" ทอดทับ

ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เขาเดินสายเจรจากับนายพลทุก เหล่าทัพ ตำรวจทั่วประเทศหลายหมื่นนาย อยู่ภายใต้การกำกับของเขา

ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี บางทีเขาลงนามในเอกสารว่า "รักษาการนายกรัฐมนตรี"

ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 รหัส "สร.2" รองจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เกือบ 2 ปี มีการปรับคณะรัฐมนตรี 5 ครั้ง แต่ชื่อ "สุเทพ" ยังอยู่ที่เดิมในฐานะศูนย์กลางขององคาพยพอำนาจใหม่

แต่ในคราว "อภิสิทธิ์ 6" ชื่อ "สุเทพ" จะกลายเป็นผู้รับสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี

ด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า 5 ข้อ อาทิ 1.ระยะเวลาหาเสียงจำกัดเพียง 30 วัน ต้องใช้คนระดับเอ่ยชื่อมีคนรู้จักทั้งจังหวัด ครอบคลุมเขตเลือกตั้ง

2.วาระของสภาผู้แทนฯเหลือเพียง 15 เดือน ต้องใช้ตัวแทนพรรคที่มีบารมีในพื้นที่ ทดแทนบารมี "ชุมพล กาญจนะ"

3.หากต้องใช้ผู้สมัครหน้าใหม่ อาจไม่มีความพร้อมทั้งกระแส กระสุน

4.การว่างเว้นจากตำแหน่ง ส.ส.ไปทำหน้าที่ฝ่ายบริหารในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มี ส.ส.ในพรรค "อ้าง" ว่าขาดการประสานระหว่างสาขาพรรค

เหตุผลเหนือสิ่งอื่นใด คือ "มติพรรค" ที่เป็นเอกฉันท์ตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีแต่ต้องยอมรับด้วยข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธ

"สุเทพ" ปิดปาก-งดสัมภาษณ์ทั้ง หน้าไมค์-หลังไมค์ ในและนอกทำเนียบรัฐบาล จนกว่าจะถึงวันรับสมัครรับเลือกตั้ง เขาจะเปิดปากอีกครั้งวันที่ 9 ตุลาคม 2553 เพื่อปราศรัยหาเสียง

"ประชาชาติธุรกิจ" นำคำสัมภาษณ์-สนทนาพิเศษกับ "สุเทพ" ทั้งใน-นอก ชั่วโมงทำงาน หลายสถานที่ มาเรียบเรียง

เริ่มที่เรื่อง "สุเทพ" วิพากษ์พรรคตัวเอง และวิเคราะห์พรรคคู่แข่ง

เขาบอกว่า จุดแข็งของพรรค ประชาธิปัตย์ต่างไปจากพรรคของ "ทักษิณ ชินวัตร"

"พรรคนั้นอยู่ที่คุณทักษิณคนเดียว คิด ทำ และสั่งการคนเดียว แต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของทุกคน ทุกคนคิดผ่านกระบวนการมา หน้าที่ของผมคือ ทำอย่างไรให้พรรคคิดเร็วกว่านี้ ทำเร็วกว่านี้ ให้ใกล้เคียงกับที่คนเดียวคิด แต่ประสิทธิภาพ ความฉับไวและแม่นยำต้องมี"

ดังนั้นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน "สุเทพ" จึงเป็นคนต้นเรื่อง-ค้นคิดเรื่อง "สมัชชาประชาธิปัตย์"

"สมัชชาประชาชนครั้งนั้นเราจะใช้วิธีการที่เรียกว่า Appreciative Inquiry ที่แปลว่า กระบวนการสืบค้นพลังชื่นชม ชื่ออาจจะโรแมนติกนิดหน่อย เป็นวิธีการระดมความคิดเห็นที่จะนำพลังทางบวกด้านความคิดสร้างสรรค์มาหลอมรวมกัน มาสร้างความฝันแชร์กับคนอื่น ๆ"

หลักการกล่อมเกลาคนการเมือง "สุเทพ" ใช้กระบวนการแนว "ปฏิรูป-ปฏิวัติความคิด" ที่ "อ้างถึง" ป๋วย อึ๊งภากรณ์

"การจัดประชุมสมัชชาพรรค จะทำเหมือนครั้งหนึ่งที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนจดหมายถึงนายเข้ม เย็นยิ่ง หรือจอมพลถนอม กิตติขจร ว่าผมอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร บอกมาเลยไม่มีการตีกรอบ"

เมื่อพรรคก้าวข้ามถนนราชดำเนินใน- ไปถึงทำเนียบรัฐบาล พรรคส่อแตก-ร้าว "สุเทพ" เป็นทั้งรอยร้าวและเป็นคนร่วมประสานให้แผลสมานสนิท

"ผมยืนยันว่าไม่มี เราหลอมรวมกันเป็นอันหนึ่งเดียวกัน และต้องหลอมรวมกับประชาชนด้วย นี่คือความคิดร่วมกันของ คนทั้งพรรค น่ามหัศจรรย์มาก" สุเทพ-บอกวัฒนธรรมพรรค

รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ผ่าน "เส้นแดง" ผ่านความเสี่ยงเป็น-เสี่ยงตายหลายรอบ ในช่วง 2 ปี

แต่ทั้ง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ยังหล่อ-หลอมเป็นเนื้อเดียว

แม้มีเหตุปัจจัย-เงื่อนไขจากกลุ่มการเมืองภายในพรรค จะผลักให้ "สุเทพ" พ้นทาง "อภิสิทธิ์"

ด้วยการริบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 คืนชั่วคราว

ด้วยการริบงาน-เงิน และริบอำนาจ ในการครอบครองของ "สุเทพ" กลับสู่มือ "อภิสิทธิ์"

อย่างน้อยช่วงรณรงค์เลือกตั้งซ่อม 30 วัน คณะกรรมการระดับชาติที่ "สุเทพ" เคยนั่งเป็นประธานก็ต้องยุติ

อย่างน้อยตำแหน่งประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และตำแหน่งในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ต้องถูก ปล่อยมือจาก "สุเทพ"

และทันทีที่กรรมการบริหารพรรคมีมติเป็นเอกฉันท์ "สุเทพ" จึงประกาศ "วางมือ-วางไมค์" กลับไปสู่สามัญ

"คนเป็นนักการเมือง จุดเริ่มต้นคือ การเป็น ส.ส. ทำหน้าที่ในสภา ถ้าจะปฏิเสธการลงสมัคร ส.ส.คงรู้สึกว่าไม่จริงใจ ดัดจริต" สุเทพบอก

ข้อโต้-แย้งเสียดสีกระทบกระเทียบว่าเขาเคยเป็น ส.ส.แล้วลาออกไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี "สุเทพ" อธิบายใหม่-ด้วยข้อมูลเก่าว่า

"คนอาจจะลืมเร็วไป ผมลาออกเพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตัดสินว่ามีความผิดจากหุ้นที่ซื้อไว้ในปี 2536 โดยใช้กฎหมายที่ออกในปี 2550 ซึ่งผม ไม่เห็นด้วยจึงต้องลาออก แต่ถ้าไป เถียงกับ กกต.ก็ต้องไปสู้ในศาล ก็ไม่อยากไป"

แต่ภารกิจติดตัวของ "สุเทพ" ทั้งก่อน ลงรับสมัครเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งที่ยังคงต้องรับผิดชอบคือเรื่อง "สถาบัน" ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายพิธีงาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554

ยามเผชิญหน้าปัญหาการเมือง ภายใน-นอกพรรค "สุเทพ" ยึด พระราชดำรัสเป็นแนวทาง

"เวลาได้ยินพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใส่ใจไว้ตลอด คือ ที่พระองค์ท่านรับสั่งให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง รับผิดชอบอย่างเต็มที่ ผมจำใส่เกล้าฯไว้เสมอ และยึดเป็นแนวในการดำรงชีวิต ไม่มีอะไรที่เป็นอารมณ์ การเมืองก็มีธรรมชาติของการเมือง ดังนั้นต้องทำใจ"

แม้ยามถูกเสี้ยมจากฝ่ายตรงข้าม เรื่องความหมาง-เมิน กินใจกับ "อภิสิทธิ์" แต่ "สุเทพ" ไม่เคยหวั่นไหว ยังแสดงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และปรารถนาดีกับ "อภิสิทธิ์" ทั้งต่อหน้า-ลับหลัง

"ผมมีความเชื่อมั่นว่า อภิสิทธิ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี และเขาเหมาะที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนี้ ดังนั้นผมจะต้องให้การสนับสนุนเขาทุกด้าน ทุกเรื่อง"

แม้ "ชวน" คือ "สัญลักษณ์" ความคิด "ฝ่ายนำ" ของพรรคประชาธิปัตย์ แม้พิมพ์นิยมทางการเมืองของ "อภิสิทธิ์" จะมีแต่ "ชวน หลีกภัย" คนเดียว

แม้ "อภิสิทธิ์" จำลองแบบ "สัญลักษณ์" ของ "ชวน" มาเป็นสไตล์ตัวเอง

แต่ทั้ง "ชวน" และ "อภิสิทธิ์" มีมิตรแท้-ตลอดกาลชื่อ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" นักเลง-ลูกกำนันจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี

เพราะในทุกวิกฤตการเมืองของ "ชวน" มี "สุเทพ" เคียงข้าง

ทุกวิกฤตการเมืองของ "อภิสิทธิ์" มี "สุเทพ" เคียงข้าง

"พรรคประชาธิปัตย์มีวัฒนธรรมทางการเมือง ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี นี่คือประชาธิปไตย...นี่คือ ต้นแบบ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องใครมาหักใคร"

สุดท้าย "สุเทพ" บอกว่า "ผมต้องพยายามชี้แจงให้พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจวัฒนธรรมแบบประชาธิปัตย์ และหากเป็นงานที่ง่ายเขาก็คงให้คนอื่นทำไปแล้ว เพราะเป็นงานที่ยากจึงเป็นงานที่เรา ต้องทำ"

และการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสุราษฎรŒ ธานี คืออีก 1 งานยากที่พรรคประชาธิปัตย์มอบหมายให้เป็นภาระ-พันธะของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น