--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อดีตผู้นำยอดแย่?



โดย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ใน Foreign Policy
เมื่อไม่นานมานี้ นิตยสาร Foreign Policy ได้นำเสนอเรื่องราวในทางลบเกี่ยวดับอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ทักษิณ ชินวัตร (อดีตผู้นำยอดแย่: 1 ตุลาคม 2553) ในฐานะที่ปรึกษาทางกฎหมายของอดีตนายกรัฐมนตรี ผมขอให้ผู้อ่านพิจารณาอย่างรอบคอบว่า เหตุใดทักษิณยังคงได้รับความนิยมจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในประเทศไทยอยู่

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวแทนของอดีตผู้นำเพียงบุคคลเดียวในประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่มีการเปลี่ยนการปกครองในปี 2475 ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบวาระ 4ปี (2544-2548) นายกรัฐมนตรีทักษิณและพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง โดยเป็นพรรคเดียวที่ได้รับเสียงส่วนมากในสภา จากคะแนนเสียงของประชาชนที่ทักษิณรับใช้อย่างท่วมท้น พรรคไทยรักไทยครองที่นั่งในสภาถึง 75เปอร์เซ็นต์ และในเดือนกันยายน ปี 2549

รัฐบาลของทักษิณถูกยึดอำนาจโดยการทำรัฐประหารที่ผิดกฎหมาย นำโดยเหล่านายพลและสมาชิกเงาของกลุ่มอำมาตย์ ปัจจุบัน 4 ปีหลังจากการทำรัฐประหาร เรายังต้องพยายามแก้ต่างให้กับทักษิณซึ่งถูกป้ายสีจากสื่อที่ไม่มีความเป็นกลาง ตรายางศาล และมติของรัฐสภาอยู่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเครื่องจักรกลไกแห่งการโฆษณาประชาสัมพันธ์

หลักจากที่ถูกใส่ร้่ายป้ายสีมาเป็นเวลานาน ทักษิณยังคงเป็นที่นิยม ทั้งนี้เพราะความสำเร็จอย่างท่วมท้นของรัฐบาลภายใต้การนำของทักษิณ ในการใช้นโยบายบริหารประเทศทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้ประเทศรอดพ้นจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ การนำของทักษิณยังคงทำให้ประชาชนในภาคอีสานรอดพ้นจากยุคมืดศักดินา อันนำไปสู่การได้รับสิทธิพื้นฐานทางพลเรือนมากขึ้น ซึ่งทำให้บรรดากลุ่มอำมาตย์ที่เชื่อว่าคนไทยบางกลุ่มเท่านั้นที่มีสิทธิ์ควรจะได้รับโอกาสมากกว่าคนกลุ่มอื่นในประเทศต่อต้านแนวทางนี้อย่างขมขื่น

นาย Joel Schectman ได้เขียนบทความใน Newsweek เดือนพฤษภาคม ปี 2553 ว่า แม้ทักษิณจะมีข้อตำหนิแต่ “ทักษิณแสดงให้เห็นถึง “จุดสูงสุด” ของระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบในประเทศไทย และความสำเร็จที่สำคัญในการบริหารงานคือ การพัฒนาชนบทและสวัสดิการรักษาพยาบาล ผู้เขียนยังกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2544 ไปจนถึงปี 2549 ทักษิณได้เปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศมีประสิทธิภาพ”

เหมือนกับผู้นำทั่วไป ทักษิณมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยและมีคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ต่างจากฝ่ายตรงข้ามในประเทศทั่วไป ตรงที่ฝ่ายตรงข้ามทักษิณพยายามที่จะหยิบคดีที่ไม่มีมูลมาฟ้องร้องกล่าวหาทักษิณ ข้อกล่าวหาเดียวที่มีคือ ภรรยาของทักษิณเข้าร่วมประมูลที่ดินสาธารณะ แม้ว่าการซื้อขายที่ดินนั้นจะเป็นราคาที่เหมาะสม แต่ทักษิณถูกตัดสินว่ามีความผิดในกรณีของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” เนื่องจากภรรยาของทักษิณไม่ควรที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประมูลที่ดินในขณะที่สามีดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การตัดสินคดีดังกล่าว ไม่ได้ถูกตัดสินโดยศาลที่มีความเป็นอิสระ แต่ถูกตัดสินโดยกลุ่มคนที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร

การกล่าวหาอย่างผิดๆ ถือเป็นกลยุทธ์ของรัฐบาลชุดนี้ เพราะทักษิณไม่ใช่บุคคลเดียวที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ยังมีคนเสื้อแดงอีกนับร้อยที่ถูกคุมขังด้วยข้อกล่าวหาที่น่าสงสัย นอกจากนี้เวปไซต์อีกกว่า 100,000 เวปไซต์ที่ต่อต้านรัฐบาลยังถูกสั่งปิด ในขณะที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน รวมถึงพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในกรณีฉุกเฉินที่ยืดเยื้อยังได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐโอเวลเลี่ยน (รัฐที่ประชาชนถูกควบคุมอย่างมาก)อีกด้วย  เมื่อไม่นานมานี้ ฝ่ายตรงข้ามทักษิณได้สังหารหมู่ผู้ชุมนุมโดยสงบอีกกว่า 80ราย และประชาชนที่มุงดูเหตุการณ์

รวมถึงนักข่าว โดยการใช้มือปืนซุ่มอยู่บนดาดฟ้ายิงประชาชนอย่างไม่เลือกและเกินกว่าเหตุ ตั้งแต่การทำรัฐประหาร เสรีภาพทางการพูด สิทธิพลเรือน และสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทยได้เสื่อมโทรมลงอย่างมาก อาทิเช่น จากการจัดลำดับของการคอร์รัปชั่นในประเทศไทยขององค์กร Transparency International ระหว่างปี 2549 ถึง 2552  ปรากฏว่าประเทศไทยตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 59 จาก 84 และเมื่อวานนี้ กลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนได้จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 153 จากการจัดลำดับ “เสรีภาพของสื่อในโลก” โดยก่อนหน้ารัฐประหาร ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 66 แม้จะทราบข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศไทยมีรากฐานของอำนาจนิยม แต่สื่อต่างชาติบางสำนักยังคงเชื่อว่า ในสมัยทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีและประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยนั้นแย่กว่าในสมัยปัจจุบันมาก

เมื่อพิจารณาถึงวิกฤตการณ์การเมืองไทยและบทบาทของทักษิณแล้ว ผู้อ่านของ Foreign Policy ควรจะต้องจะต้องมองไปไกลกว่าภาพโปสเตอร์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย และจะต้องคำถามว่า เหตุใดรัฐบาลไทยยังคงกลัวเสรีภาพแห่งการพูด และคัดค้านการเลือกตั้งที่แท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น