--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อำนาจเหนือตลาดและเหนือนโยบาย

มติชนออนไลน์
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ในการสัมมนาทางวิชาการเมื่อเร็วๆ นี้ เสี่ยใหญ่ของบริษัทค้าขายทางเกษตรกรรมได้เสนอแนะว่า ประเทศไทยควรลดพื้นที่ปลูกข้าวลง จาก 67 ล้านไร่ (หรือ 64 ล้านไร่ในการคำนวณของบางสำนัก) ให้เหลือเพียง 42 ล้านไร่ แล้วหันไปปลูกยางพารา, อ้อย และมันสำปะหลังแทน เพราะพืชทั้งสามตัวนี้มีคู่แข่งในตลาดน้อย จึงเป็นที่ต้องการมากกว่า

ถ้าลดพื้นที่ปลูกข้าวลง ชาวนาก็จะขายข้าวได้ราคาดีขึ้น ซ้ำความเสี่ยงในการผลิตก็จะหมดไป เพราะพื้นที่ซึ่งเหลือสำหรับปลูกข้าวจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีชลประทานทั้งสิ้น

ฟังดูดี และน่าทำ ประหนึ่งว่าปัญหาของเกษตรกรจะได้รับการแก้ไขให้หมดไปอย่างง่ายดาย แต่ขอให้พิจารณาข้อเสนอนี้อย่างละเอียดว่า ปัญหาของใครกันแน่ที่จะได้รับการแก้ไข

อันที่จริงข้อเสนอนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งนักวิชาการหรือแม้แต่นักการเมืองได้พูดเรื่องนี้มากว่า 50 ปีแล้ว (คือตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก่อนนโยบายพัฒนาของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เสียอีก) เรียกว่าความพยายามจะสร้างความหลากหลาย (diversification) ด้านการผลิตทางเกษตรกรรมของไทย แทนที่จะผลิตข้าวเป็นหลัก ควรหันไปปลูกพืชอื่นๆ ซึ่งมีราคาดีในตลาด และว่าที่จริงการสร้างความหลากหลายด้านเกษตรกรรม ก็ขยายตัวอย่างกว้างขวางเพื่อตอบสนองการเกษตรเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้น ซึ่งนโยบายพัฒนาของสฤษดิ์นำมา เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ทำในพื้นที่ซึ่งเปิดใหม่ ไม่ใช่ในท้องนาเดิม

แล้วอะไรเกิดขึ้นแก่เกษตรกรที่หันไปปลูกพืชเศรษฐกิจเหล่านั้นก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จะเดินหน้าต่อไปก็มีแต่ความล่มจมซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้นจะถอยหลังกลับก็ไม่มีที่ให้ถอย มีเกษตรกรเพียงน้อยราย เช่น ท่านผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิมเท่านั้น ที่สามารถถอยกลับมาสู่การผลิตแบบพึ่งตนเองได้

โดยสรุปก็คือ การแก้ปัญหาของเกษตรกรไทยด้วยข้อเสนอแบบฉับเดียวเช่นนี้ ยิ่งก่อให้เกิดความทุกข์ยากแก่เกษตรกรมากขึ้นไปอีก เพราะไม่มองปัญหาของเกษตรกรอย่างครบวงจร

ในทุกวันนี้ มีเกษตรกรไทยราว 1.5 ล้านครัวเรือนที่ไม่มีที่ทำกินหรือมีไม่พอ ซ้ำยังมีที่ดินการเกษตรอีก 30 ล้านไร่เศษที่เป็น NPL และ NPA ในธนาคาร ฉะนั้น มาตรการของนักการเมืองที่เอาที่ป่ามาแจกเกษตรกรในรูปต่างๆ จึงไม่ได้แก้ปัญหานี้เลย การที่คนทำเกษตรแต่กลับเข้าไม่ถึงทรัพยากรที่ดิน อันเป็นทรัพยากรการผลิตพื้นฐานเช่นนี้ เป็นปัญหาใหญ่ซึ่งไม่อาจแก้ได้ด้วยการลดพื้นที่ปลูกข้าว แล้วหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น

เกษตรกรส่วนใหญ่มีหนี้สิน เฉลี่ยประมาณ 1.7 แสนบาทต่อราย นับตั้งแต่ปี 2548 ที่รัฐบาลพยายามซื้อหนี้เกษตรกร จนถึงปัจจุบันได้ซื้อไปแล้ว 1.2 หมื่นราย จากผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 6.3 ล้านราย เกษตรกรเข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกเช่นกัน แม้มี ธ.ก.ส.มาหลายทศวรรษแล้ว เกษตรกรที่ไร้หลักทรัพย์ก็ยังเข้าไม่ถึง ซ้ำร้ายเกษตรกรที่ได้รับเงินกู้จาก ธ.ก.ส. มักไม่ได้รับเป็นตัวเงิน แต่ต้องรับเป็นปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลงแทน ใครกันเล่าได้ประโยชน์จากการเปิดช่องเล็กๆ นี้ให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินกู้

ในขณะเดียวกัน เกษตรกรไทยก็แทบจะไม่มีอำนาจต่อรองในตลาด เพราะไม่เท่าทันกับการทำธุรกิจแบบเอาเปรียบของบริษัทเกษตรยักษ์ใหญ่บ้าง เพราะไม่มีทุนพอจึงต้องถูกริบพืชผลไปทันทีที่เก็บเกี่ยวบ้าง ฯลฯ ฉะนั้นยิ่งทำเกษตรก็ยิ่งจนลง ในขณะที่เกษตรกรไทยมีหนี้สินล้นพ้นตัว บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดทางด้านการเกษตร 3 บริษัทแรกได้กำไรประมาณ 1.5 แสนล้านบาทใน พ.ศ.2451

การผลักดันและบังคับโดยทางอ้อมให้การผลิตด้านการเกษตรของไทยกลายเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้น ทำให้เกษตรกรต้องพึ่งทั้งปุ๋ย, ยาฆ่าแมลง และยาปราบวัชพืชอย่างหนัก จากบริษัทที่หากำไรด้านการเกษตร นอกจากทำลายระบบนิเวศของไร่นาอย่างร้ายกาจ จนกระทั่งการลงทุนมีแต่จะต้องเพิ่มขึ้นทุกปีแล้ว ผลสำรวจยังพบว่า 70% ของเกษตรกรไทยมีสารพิษตกค้างในเลือดถึงระดับอันตราย

สถานการณ์ของเกษตรกรไทยเป็นดังกล่าวนี้ จึงไม่มีลูกหลานเกษตรกรใดต้องการสืบทอดอาชีพของบรรพบุรุษอีก แม้ในทุกวันนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ก็มีชีวิตรอดมาได้เพราะเงินที่ลูกหลานซึ่งออกจากภาคเกษตรแล้ว ส่งมาช่วย

(สถิติทั้งหมดนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์)

เกษตรกรไทยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เพราะ (ถูกชักนำหรือถูกบังคับ) ให้เข้าสู่ตลาดโดยไม่พร้อม ตัวเองก็ไม่พร้อม รัฐก็ไม่ทำให้ตลาดหรือทุนและเงื่อนไขทางธุรกิจพร้อม ซ้ำยังสร้างเงื่อนไขทั้งทางการเมืองและกฎหมายที่ทำให้เกษตรกรต้องแพ้ในการแข่งขันเสมอ ทั้งนี้เพราะนับตั้งแต่เราเปิดประเทศด้วยสนธิสัญญาเบาว์ริงเป็นต้นมา นโยบายการเกษตรของรัฐบาลไทย คือนโยบายที่จะทำเงินจากการส่งออกพืชผล ไม่เคยมีนโยบายการเกษตรเพื่อเกษตรกรเลยจนถึงทุกวันนี้

ข้อเสนอของเสี่ยให้ใช้พื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น นอกจากไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดแล้ว ยังเป็นนโยบายที่ไม่เคยช่วยให้เกษตรกรส่วนใหญ่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ทำให้บริษัทที่ค้าขายด้านการเกษตร บริษัทส่งออกพืชผลการเกษตร และบริษัทแปรรูปพืชผลการเกษตร รุ่มรวยขึ้นอย่างสุดจะคณานับต่างหาก

หากเราไม่ทำอะไรเลย และไม่จำเป็นต้องมีข้อเสนออะไรจากเสี่ยๆ การเกษตรเลย ในไม่ช้าเกษตรกรรมก็จะหลุดจากมือเกษตรกรรายย่อยไปโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว เวลานี้อายุเฉลี่ยของเกษตรกรไทยคือเกิน 50 ปี แถมอมโรคจากสารเคมีของเสี่ยอีกบานเบอะ ลูกหลานของเขาย่อมดิ้นสุดฤทธิ์ให้พ้นไปจากอาชีพเกษตรกรรม ในที่สุดผู้ที่จะเหลือรอดอยู่ในเกษตรกรรมได้ ก็คือบริษัทของเหล่าเสี่ยๆ และเกษตรกรรวยซึ่งมีอยู่น้อยราย (และไม่แน่ด้วยว่า เกษตรกรรวยจะเหลือรอดไปได้อีกนานเท่าไร หากต้องเผชิญการแข่งขันตรงๆ จากบริษัทยักษ์ใหญ่ ท่ามกลางเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เอื้อต่อเสี่ยจนหมดประตูเช่นนี้)

ถึงตอนนั้นแล้ว เสี่ยจะทำอะไรกับการเกษตร เสี่ยย่อมไม่ลงทุนกับพืชที่มีการแข่งขันสูงเช่นข้าว แต่อาจลงทุนกับพืชที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น ยางพารา หรือพืชพลังงาน เช่น ปาล์มหรือมันสำปะหลัง จนกว่าราคาข้าวจะเริ่มเขยิบขึ้นมา ถึงตอนนั้นเสี่ยก็อาจไม่จำเป็นต้องเข้ามาเสี่ยงกับการผลิตข้าวโดยตรง หากผลิตโดยการทำเกษตรเชิงพันธสัญญา เพราะข้าวเป็นพืชที่ตอบสนองต่อการเพาะปลูกแบบประณีตได้สูง การลงทุนแบบไร่นาขนาดใหญ่กลับมีผลิตภาพน้อยกว่า นอกจากนี้การทำเกษตรเชิงพันธสัญญาให้กำไรแก่เสี่ยสูงมากด้วย

ถึงตอนนั้นแล้ว ชะตากรรมของคนประมาณ 12 ล้านคนในภาคเกษตรเวลานี้จะเป็นอย่างไร? ส่วนหนึ่งที่ยังคงตกค้างอยู่ในไร่นา คือลูกจ้างของบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ใช่ลูกจ้างโดยตรงก็เป็นลูกจ้างโดยอ้อมผ่านพันธสัญญาที่ทำไว้กับบริษัท ส่วนที่เหลือซึ่งมีจำนวนมากกว่า ต้องหลั่งไหลเข้าเมือง ไปสู่อาชีพเก็บขยะ, และแรงงานไร้ฝีมือในภาคบริการ, การค้า, การขนส่งและอุตสาหกรรม

กดให้ราคาแรงงานต้องต่ำตลอดไป

ประเทศไทยจะมีความมั่นคงด้านอาหารสักเพียงใดในตอนนั้น ก็ยากที่จะคาดเดาได้ แม้ว่าเงินจากภาคเกษตรของไทยในจีดีพีอาจเพิ่มขึ้นเกิน 20% ก็ตาม

ยิ่งแทนที่จะคิดถึงความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ แต่คิดถึงความมั่นคงด้านอาหารของครอบครัวไทย ก็ยิ่งน่าวิตก

อำนาจต่อรองของเกษตรกรไทยในตลาดนั้นอาจพูดได้ว่าเป็นศูนย์ แต่อำนาจต่อรองทางการเมืองของเกษตรกร (หมายถึงผู้ผลิต ไม่ใช่บริษัท) ก็ยังแทบเป็นศูนย์เหมือนกัน

เขาไม่มีพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองไทยไม่เคยเป็นตัวแทนของคนกลุ่มใด นอกจากนักเลงท้องถิ่นและนายทุนที่จ่ายเงิน "ซื้อ" เป็นคราวๆ ไป เขาแทบจะไม่มีสื่อของตนเอง ที่พอมีอยู่บ้างก็ไม่ "ดัง" พอจะไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะได้ ภาคอุตสาหกรรมและการเงินไม่ได้เชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรม ฉะนั้น จึงไม่เป็นธุระที่จะต่อรองทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของเกษตรกร

และอย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว ด้วยอุปสรรคหลายประการ เกษตรกรรายย่อยของไทยไม่ได้รวมตัวกันเพื่อต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองในตลาดหรือในทางการเมือง

ฉะนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับอำนาจต่อรองของเสี่ยบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรแล้ว จึงเทียบกันไม่ได้เลย หากใครสามารถเปิดบัญชีจ่ายเงินเดือนของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งได้ จะตระหนก เพราะผู้ที่รับเงินเดือนจากบริษัทในฐานะที่ปรึกษาระดับต่างๆ นั้น มีตั้งแต่บุคคลในตำแหน่งสูงมากๆ ไปจนถึงนักการเมืองอีกจำนวนมาก ข้าราชการในกระทรวงเกษตรฯ, ทรัพยากร, คลัง, และพาณิชย์อีกจำนวนมาก รวมแม้แต่บุคคลในอาชีพสื่ออีกหลายฉบับ

ทั้งนี้ ยังไม่นับ "ลูกไร่" จำนวนอีกหลายหมื่นทั่วประเทศ

นโยบายการเกษตรของไทยซึ่งมุ่งมั่นแต่การส่งออก โดยไม่เหลียวแลเกษตรกรตลอดมา กำลังถูกบีบให้แคบลงเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรมากขึ้นทุกที

***********************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น