--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รัฐบาลประชาธิปไตย ต้องกำจัดวงจรอุบาทว์

บทบรรณาธิการ

บรรจบประจวบเหมาะ เหตุระเบิดหน้าห้างบิ๊กซี ถนนราชดำริ เกิดขึ้นระหว่างเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกเลิกคำสั่งประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งเสียงถามหาความถูกต้องเหมาะสมของการตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ภายใต้การดูแลในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 หรือพื้นที่เขตภาคเหนือของประเทศไทย ด้วยงบประมาณถึง 1 หมื่นล้านบาท จะมีนัยสำคัญเกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนปฏิเสธยากแล้วว่า ก้าวเดินของการเปลี่ยนแปลง หรือ ปฏิรูปประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตินั้น ไม่ผิดกับการพายเรือวนอยู่ในอ่างฉันใดฉันนั้น

เหตุระเบิดบริเวณป้ายจอดรถเมล์หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาถนนราชดำริ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2553 เวลาประมาณ 17.00 น.เศษ ไม่อาจถูกมองว่าเป็นแค่การป่วนเมืองธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อมีผู้เสียชีวิตแล้วและยังมีผู้บาดเจ็บสาหัส อีกทั้งกรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งย่อมหมายความว่าอำนาจรัฐภายใต้มาตรการปกครองแบบพิเศษล้มเหลว ปราศจากความศักดิ์สิทธิ์ หาความเชื่อถือไม่ได้ และที่ไม่อาจมองข้ามอีกต่อไปคือ การขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของฝ่ายความมั่นคง

แต่อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลว ความอ่อนแอของอำนาจรัฐ ในการกำกับดูแลความมั่นคงภายในของประเทศผ่านเหตุการณ์ระเบิดกลางกรุงนี้ ก็ไม่อาจได้รับการยอมรับจากสังคมไทยอย่างแน่นอน หากรัฐบาล ทหาร ตำรวจ รวมทั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. จะรวบรัดตัดตอนใช้เป็นเหตุผลในการคงไว้ซึ่งการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ท่ามกลางเสียงสะท้อนของทุกฝ่ายที่เห็นสมควรว่า กฎหมายพิเศษฉบับนี้ควรจะถูกเก็บใส่ลิ้นชักเพื่อสนับสนุนส่งเสริมการปรองดองของคนในชาติ และที่สำคัญเพื่อยืนยันถึงการเคารพในสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยภายใต้รัฐบาลที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วย

แม้กระทั่งความเคลื่อนไหวที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาข้อเสนอของกองทัพในการจัดตั้งกองพลใหม่ด้วยเหตุผลว่า เพื่อความมั่นคง มิใช่การทำลายล้างฝ่ายเสื้อแดง หรือฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาลนั้น ก็พึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง หากจะหยิบยกกรณีระเบิดบิ๊กซีมาเป็นเหตุผลชอบธรรมตอกย้ำว่า ประเทศไทยยังอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการก่อการร้าย ทำให้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทุ่มงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทเพื่อป้องกันและปราบปรามเหตุการณ์อันไม่พึงปรารถนาดังกล่าว เพราะเป็นที่ตระหนักรับรู้กันอยู่แล้วว่า กลุ่มผู้กระทำการอันอุกอาจสามารถลงมือประกอบอาวุธร้ายแรงได้นั้น ส่วนใหญ่ไม่พ้นคนในเครื่องแบบ นอกจากนั้นผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียกับการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ล้วนเป็นคนมีสีและผู้มีอำนาจในทำเนียบรัฐบาลทั้งสิ้น

จึงเชื่อได้ว่า คำแถลงของรัฐบาลตลอดจนเจ้าพนักงานตำรวจจนถึงหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงเกี่ยวกับกรณีระเบิดหน้าห้างบิ๊กซี ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ที่จะหยิบยกออกมาก็ตาม คงไม่สามารถละลายความรู้สึกและความคิดเห็นของสังคมไทยในวันนี้ ที่จะตั้งข้อสังเกตโดยไม่ต้องสงสัยว่า ระเบิดครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสถานการณ์ หวังผลทางการเมือง ท่ามกลางการถูกตั้งข้อถามถึงความถูกต้องเหมาะสมในการคงไว้ซึ่งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และความพยายามในการตั้งหน่วยงานทหารกองพลใหม่ ตราบเท่าที่รัฐบาลไม่อาจจับมือวางระเบิดมาลงโทษ หรือดำเนินการตามกฎหมายให้ปรากฏแก่สายตาสาธารณชน

สถานการณ์ความรุนแรงที่กลายเป็นวงจรอุบาทว์นี้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่อาจหลีกหนีข้อครหาวิเคราะห์วิจารณ์ในความเกี่ยวพันกับความมีส่วนได้-ส่วนเสียของหน่วยงานความมั่นคง เพราะถ้าไม่ใช่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้คงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ก็ย่อมถูกปรามาสว่ารัฐบาลไร้น้ำยาในการดูแลความเรียบร้อยสงบสุขในสังคมไทย ทั้งๆ ที่มีกฎหมายการปกครองพิเศษอยู่ในมือ และในขณะที่ประกาศเสมอว่าเพื่อความเรียบร้อยจำเป็นต้องมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินในบางพื้นที่

ในฐานะของรัฐบาลผู้บริหารราชการแผ่นดินที่อาสาเข้ามาแก้ไขวิกฤติของประเทศภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว เราเห็นว่า แทนที่รัฐบาลตลอดจนฝ่ายความมั่นคงจะมองหาเครื่องมือกำกับ ควบคุมความเคลื่อนไหวของประชาชนที่คิดต่างจากรัฐบาล แทนการสร้างสถานการณ์เพื่อการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำไมไม่เลือกเผชิญหน้ากับความจริงว่า ปัญหาใหญ่ในบ้านเมืองทุกวันนี้ คือ การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ล้มเหลวและไม่มีประสิทธิภาพ

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของใคร กลุ่มไหนก็ตาม สมควรต้องถูกประณาม เพราะไม่เพียงทำร้ายประชาชนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เพื่อนมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยด้วยกันเท่านั้น แต่ยังทำลายความสงบสุขของประเทศชาติ ซึ่งอยู่ระหว่างการเรียกคืนความเชื่อมั่นจากสายตาคนทั่วโลก แต่การอ้างเอาระเบิดครั้งนี้ซื้อเวลาให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ เร่งรัดการตั้งกองพลใหม่โดยไม่สามารถตอบข้อสังเกตและข้อสงสัยได้ก็ยิ่งต้องถูกตำหนิติเตียน เพราะภัยคุกคามความมั่นคงในรูปแบบใหม่ที่มีการกล่าวอ้างจากหน่วยข่าวกรองหรือฝ่ายความมั่นคงนั้น ไม่อาจจะลดน้อยถอยจากลงไปได้เลย ตราบเท่าที่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับการสังคายนา และความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมิได้ถูกกำจัดให้บรรเทาเบาบาง และที่น่ารังเกียจที่สุด คือ วงจรอุบาทว์ สร้างความรุนแรงหวังผลทางการเมืองนั่นเอง.

ที่มา.ไทยโพสต์
*************************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น