--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เปิดปมเงื่อน 2รัฐมนตรีบิ๊กเนม ถอนเงินสดๆ จากแบงก์40ล้าน ไฉน! แจ้งป.ป.ช. มีทรัพย์สินแค่จิ๊บจ๊อย

กรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีคำสั่งห้ามทำธุรกรรมทางการเงินนักการเมือง 2 คนจากทั้งหมด 152 ราย คือนายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการการกระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากพบว่ามีความเคลื่อนไหวทางการเงินผิดปกติ

นายสันติ พร้อมพัฒน์ และ นายไชยา สะสมทรัพย์ ต่างปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง

นายสันติ กล่าวภายหลังเข้าชี้แจงธุรกรรมการเงินต้องสงสัยต่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม สรุปว่าได้ถอนเงินสดออกมาเก็บไว้กับตัว เพราะรัฐบาลจะทำอะไรก็ได้ จึงต้องมีเงินสดสำรองไว้ที่บ้าน จึงเบิกถอนเงินออกจากธนาคารครั้งละ 1-2 ล้านบาท ประมาณ 3-4 ครั้ง มั่นใจว่าสามารถชี้แจงครบถ้วน แต่พนักงานสอบสวนยังติดใจสงสัยในบัญชีเงินเดือน ส.ส. ซึ่งตนจะรวบรวมหลักฐานส่งเข้าชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร

ขณะที่นายไชยากล่าวว่า มาขอรับประเด็นคำถามเพื่อชี้แจงประเด็นที่พนักงานสอบสวนต้องการทราบในวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ อาทิ เรื่องการเบิกถอนเงิน 20 ล้านบาทไม่ใช่เบิกถอนภายในวันเดียวแต่เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน ที่เบิกมาจัดงานวันเกิดและบริจาคสร้างโรงพยาบาล ซื้อคอมพิวเตอร์ให้โรงเรียน ซึ่งมีใบอนุโมทนาบัตรแต่ต้องใช้เวลาในการจัดเตรียมเอกสารและสอบถามไปยังธนาคารถึงรายละเอียดค่าใช้จ่าย เพราะไม่มีใครจำได้ว่าเมื่อ 9 เดือนที่ผ่านมาใช้จ่ายเงินไปอย่างไร

จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางที่เชื่อมโยงได้ว่าการทำธุรกรรมทางการเงินของบุคคลทั้งสองเกี่ยวข้องกับท่อน้ำเลี้ยงขกลุ่มคนเสื้อแดง

กระนั้นถ้าดูบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ทั้งสองคนยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะพบข้อมูลที่น่าสนใจ

นายสันติ ตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ครบ 1 ปี วันที่ 25 กันยายน 2552 แจ้ง ป.ป.ช.มีทรัพย์สิน 7,331,278 บาท ในจำนวนเป็นเงินฝาก 2 บัญชี 1,451,278 บาท หนี้สิน 9,277 บาท ส่วนนางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 14,077,391 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินฝาก 3 บัญชี 4,943,066 บาท หนี้สิน 220,979 บาท

ก่อนหน้านี้ ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 นายสันติแจ้งต่อ ป.ป.ช.มีทรัพย์สิน 7,583,115 บาท หนี้สิน 121,504,765 บาท มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 113,921,650 บาท ในจำนวนนี้แจ้งว่ามีเงินฝากธนาคารเพียง 603,115 บาท ไม่มีคู่สมรส (แจ้งว่าหย่า นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ อดีตภรรยา)

ตอนรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยุครัฐบาล วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 7 ล้านบาทเศษ หนี้สิน 121.6 ล้านบาท มีเงินฝาก 2 บัญชีเพียง 114,079 บาท (แจ้งว่าหย่า-นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์อดีตภรรยา)

แสดงว่าขณะยื่นบัญชีฯต่อ ป.ป.ช.แต่ละครั้ง นายสันติมีเงินฝากเพียง 1 แสนบาทเศษ , 6 แสนบาทเศษ และ 1.4 ล้านบาทเศษตามลำดับ

ขณะที่นายไชยาตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ครบ 1 ปี วันที่ 25 กันยายน 2552 ระบุมีเงินฝาก 5 บัญชีรวม 3,226,644 บาท จากทรัพย์สิน 5,711,901 บาท นางจุไรภรรยามีเงินฝาก 9 บัญชีรวม 4,553,410 บาท จากทรัพย์สินรวม 75,209,410 บาท นางจุไรมีหนี้สิน 1,511,530 บาท

ก่อนหน้านี้ตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขครบ 1 ปี วันที่ 7 มีนาคม 2552 ระบุ มีเงินฝาก 6 บัญชี 1,086,730 บาท ไม่มีหนี้สิน นางจุไรมีเงินฝาก 9 บัญชี 4,878,895 บาท จากทรัพย์สิน 76,034,895 บาท หนี้สิน 2,043,396 บาท

แสดงว่าขณะยื่นบัญชีฯต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.แต่ละครั้งนายไชยามีเงินฝาก 1 ล้านบาท และ 3.2 ล้านบาทตามลำดับ

และถ้าย้อนไปดูคำสั่ง "แช่แข็ง" ทางการเงินต่อบุคคลทั้งสองคนจะพบว่า

กรณีนายสันติ มีข้อมูลระบุว่าดีเอสไอได้ตรวจสอบพบว่าในช่วงเดือนกันยายน 2552 –พฤษภาคม 2553 มีการโอนเงินเข้าในบัญชีธนาคารของนายสันติประมาณ 21.5 ล้านบาท และถอนเงินออกจากบัญชีภายใน 9 วัน

กรณีนายไชยา ในช่วงเวลาเดียวกัน มีการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงิน โดยมียอดเงินหมุนเวียนประมาณ 40 ล้านบาท (ฝากประมาณ 18 ล้านบาท ถอนประมาณ 19 ล้านบาท) ซึ่งมีการฝากถอนเงินเกือบทุกวัน

ในการยื่นบัญชีฯต่อ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2552 (ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ดีเอสไอตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงิน) นายสันติแจ้งว่ามีรายได้ "เงินเดือน" ส.ส.จากเดือนมกราคม-ตุลาคม 2552 จำนวน 1,076,954 บาท ส่วนนางวันเพ็ญมีรายได้ ในช่วงเดียวกัน 1,251,960 บาท

ไม่มีรายได้อื่น

ขณะที่นายไชยาในการยื่นบัญชีฯเดือนมีนาคม 2552 แจ้งว่ามีรายได้เงินเดือนจากเอกชน 2,400,000 บาท

เงื่อนปมที่น่าสนใจก็คือ นายสันติแจ้ง ป.ป.ช.ว่ามีรายได้จากเงินเดือน ส.ส. ประมาณเดือนละ 1 แสนบาท ไม่มีธุรกิจอื่น กลับมีเงินโอนเข้าในบัญชีเงินฝาก 21.5 ล้านบาท

ขณะที่นายไชยา แจ้ง ป.ป.ช.ว่ามีเงินลงทุนเพียงไม่กี่แสนบาท มีรายได้เงินเดือนจากเอกชน 2.4 ล้านบาท แต่บัญชีเงินฝากธนาคารมีกระแสเงินหมุนเวียนมากถึง 40 ล้านบาท

นอกจากถูกดีเอสไอตรวจสอบความเชื่อมโยงกับท่อน้ำเลี้ยงแดงหรือไม่แล้ว

อีกด้านหนึ่งอาจถูกตั้งคำถามด้วยว่า ยื่นบัญชีฯต่อ ป.ป.ช. ครบถ้วนหรือไม่?

ที่มา. มติชนออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น