รายงานพิเศษ
หากพรรคประชาธิปัตย์ขับเคลื่อนด้วยคน 2 รุ่น ระหว่างหัวขบวนรุ่น "ชวน หลีกภัย" กับหัวหน้าปัจจุบัน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
พรรคเพื่อไทยก็ไม่แตกต่าง เพราะอยู่ในระหว่างปรับขบวนให้ขับเคลื่อน 2 ทาง
ทางหนึ่งเป็นหัวขบวนรุ่น "ทักษิณ ชินวัตร" และนักการเมืองรุ่นบ้านเลขที่ 111
ทางหนึ่งเป็นหัวขบวนปัจจุบัน ที่มี "เฉลิม อยู่บำรุง" และกรรมการบริหารพรรค 13 คน
หลังเสร็จสิ้นภารกิจการเมืองทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 2 พรรคเตรียม จัดทัพ-เตรียมทีม สำหรับการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้า
พรรคเพื่อไทยชิงลงมือก่อน ด้วยการ จัดสัมมนา ส.ส.และผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ที่โรงแรมลองบีช การ์เด้นท์ โฮเต็ลแอนด์ สปา พัทยา ช่วงสัปดาห์ต้นเดือนกรกฎาคม
องค์ประชุมมี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ในฐานะทีมเตรียม "ตัวจริง"
มีทีมสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ จากเครือข่ายตระกูล "ชินวัตร" เต็มทีมหนาตา อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีต รมว.ต่างประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธ์ อดีต รมช.คลัง และ นายพายัพ ชินวัตร ประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสาน และ นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
สมทบด้วยทีมตามโครงสร้างอำนาจ ทั้ง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร
แม้ไม่ใช่การชุมนุมข้างถนนและไม่ใช่การสัมมนาองค์กรแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เสื้อแดง แต่การสัมมนาพรรคการเมือง ครั้งนี้มีมวลชนเสื้อแดงร่วมขบวนอย่างเป็นทางการกับ "จตุพร พรหมพันธุ์"
กลมกลืนเป็นทีมเดียวกับ "ตัวแทน" เจ้าแม่ กทม. "ดนุพร ปุณณกันต์" และ "ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ"
ครบเครื่องด้วย "โฆษกพรรค" พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ฉายา "เด็จพี่" ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรากหญ้าได้เป็นอย่างดี
มวลชน "จัดตั้ง" ส่วนหนึ่งมาจาก จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ตำรวจชั้นประทวน ผู้สวมเครื่องแบบขึ้นเวที นปช. ในสถานะประธานสมาพันธ์คนเสื้อแดง ภาคอีสาน 19 จังหวัด ที่อาจเป็นมือวาง จ่อคิวลงสมัคร ส.ส.จังหวัดสุรินทร์
วงประชุมมีการปรับขบวน จัดแถวนักการเมืองของพรรคและเครือข่ายใหม่
"วราเทพ รัตนากร" แกนนำภาคเหนือ "สายเยาวภา" สะท้อนเงื่อนไข-ปัจจัยภายใน-ภายนอก อันเป็นสาเหตุของความไม่แนบแน่นภายในพรรคว่า
"ส.ส.เรามีที่มาแตกต่างกัน บางท่าน เป็น ส.ส.ครั้งแรก บางคนเป็น ส.ส. มาหลายครั้ง บางคนเป็น ส.ส.มาหลายพรรค ช่วงชนะการเลือกตั้ง เราได้เป็นรัฐบาล นายกฯสมัคร สุนทรเวช และนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เจอปัญหาการชุมนุม ทำให้ไม่มีโอกาสคุ้นเคยกัน พอมาเป็นฝ่ายค้าน ก็เจอปัญหาหลายเรื่องไม่มีโอกาสดี รู้จักในร้อยกว่าคน บางคน ไม่เคยคุยกัน อาจจะรู้ชื่อ แต่จำนามสกุล ไม่ได้ จะทำยังไง ปล่อยให้องค์กรร้อย กว่าคน ทำงานร่วมกัน แต่ไม่เคยรู้จักกัน"
จึงจำเป็นต้องสร้างความคุ้นเคย-รวมทีม ทั้งกับอดีตข้าราชการทหาร ตำรวจอดีตข้าราชการหลายกระทรวง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน 37 คน
ปัญหาข้อขัดแย้ง-แรงงัดข้อ ที่มีภายในพรรค ถูกสงบศึกชั่วคราว
ไม่ว่าจะเป็นขั้วของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ และประธานกรรมาธิการการ เงินการคลังและการธนาคาร สภาผู้แทนราษฎร ที่เคยคิด จะเสนอให้ปลด นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ออกจากตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
เช่นเดียวกับฝ่าย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ทีม 111 อยู่เสมอ แต่ในหน้างาน-ที่มี "ทีมทักษิณ" กำกับบท
"เฉลิม" บรรยายแนวทางหาเสียงด้วยการเชื่อม "ทักษิณ" กับสนามเลือกตั้งว่า
"เราจะชนะด้วย 3 ฐาน คือ 1.ความศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ 2.ความขยันของ ผู้สมัคร และ 3. พรรคมีความสามัคคี สถานการณ์ตอนนี้ เราก้าวพ้นอดีตนายกฯไม่ได้ จำเป็นต้องใช้ มั่นใจพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งแน่ เราไม่หนักใจใน นโยบายการหาเสียง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณนอนคิด 3 วัน ก็เสร็จหมดแล้ว"
ตำแหน่ง-พื้นที่-เป้าหมายในการแข่งขัน "เฉลิม" กำหนดคู่ต่อสู้เป็นพรรคการเมือง "เบอร์ใหม่" กระดูกใหญ่ อย่างพรรค ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์เป็นคู่แข่งสำคัญ
"ในภาคอีสานจะแข่งกับพรรคภูมิใจไทย ประเมินแล้ว ภูมิใจไทยได้ไม่เกิน 15 ที่นั่ง ทั้งประเทศไม่เกิน 18 ส่วนใน กทม. แพ้หมด ไม่ได้แม้แต่คนเดียว คู่แข่งของเราคือพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว เน้นนโยบายอย่าไปโจมตี เพราะเขาจะเอาผิดไม่ได้ และถ้าไปบอกประชาชนว่าเมื่อได้เป็น ส.ส.แล้วจะให้โน่นให้นี่ ก็อาจจะเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ ผมมั่นใจชนะขาด"
เป้าหมายของเพื่อไทย ไม่ใช่เฉพาะการชนะการเลือกตั้ง แต่มีเป้าใหญ่คือแคมเปญ "ทักษิณกลับบ้าน"
"สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องทำ คือลดศัตรูให้เหลือน้อย แล้วพุ่งไปที่พรรคประชาธิปัตย์ ภาคอีสาน ประชาธิปัตย์ถือว่าตลาดปิด เขาลงลำบาก ที่น่ากลัว คือพรรค ภูมิใจไทย มีทั้งเงิน อำนาจรัฐ แต่ยังดี ที่คนอีสานปฏิเสธ ทุกอย่างเราดีหมด เราต้องชนะแบบแลนด์สไลด์ ถึงเอาชนะ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านได้"
แผนปรองดองของเพื่อไทย จะมีอายุจนถึงเลือกตั้งใหญ่เสร็จสิ้น เพราะ "เฉลิม" ขีดเส้นไว้ล่วงหน้า
"ก่อนออกศึก ต้องมีพลัง ความสามัคคี สร้างความมั่นใจให้เต็มที่ พอมีอำนาจแล้วมาจัดระเบียบ เสร็จศึกค่อยมาทะเลาะกัน...ผมไม่ต้องการเป็นอะไรใหญ่โต เพราะรู้ว่ามาทีหลัง ไม่อยากก้าวกระโดด อยากอยู่อีกปีสองปี ถ้าท่านไว้วางใจมากกว่านี้ ผมก็ยินดี แต่วันนี้ยังไม่ใช่เวลา ของผม ผมต้องหล่อหลอมความผูกพัน สร้างความเข้าใจ ยินดีรับใช้ทุกภาค"
แนวทางหาเสียง คือ "บี้-ขยี้-ขยาย" แผลทุจริตของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นภาคต่อจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ข้อวิเคราะห์ที่แนบท้ายเป็น "กลเกม" ที่ว่าด้วยการยุบพรรค
"ผมไม่อยากให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถ้ายุบไป คนก็รู้สึกว่ายุบไปแล้ว ลงโทษไปแล้ว จบแล้ว แต่ถ้าไม่ยุบ จะสร้างความชอบธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่า ถ้าไม่ยุบ จะเกิดพลังต่อต้านเข้มข้นกว่า นำไปสู่การหาเสียงง่ายขึ้น ออกซ้ายก็ได้ ออกขวาก็ได้ แต่อย่าตรงกลาง คือหมายถึงอย่าต่อเวลาให้รัฐบาล อยู่ได้
ทั้งแผนปรองดองในเพื่อไทย การเยียวยาความขัดแย้ง และโจทย์การเลือกตั้ง ถูกเฉลยหมดเปลือก เมื่อเวลา "วิดีโอลิงก์" จาก "ทักษิณ ชินวัตร" เดินทางมาถึงห้องประชุม
เริ่มจากการจัดทีมเศรษฐกิจ "เสียง" ของ "ทักษิณ" สั่งข้ามโลก
"เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องภายในพรรค ผมเป็นห่วงทีมเศรษฐกิจ ปานปรีย์ออกไป ก็เหลือ 3 คน ซึ่งเป็นคนเก่ง เพราะฉะนั้น ต้องผูกไว้เป็นคนเดียว 3 คนนี้ ไปไหน ต้องไปด้วยกัน และผูกไว้เป็นคนเดียว ดร.สุรพงษ์ (โตวิจักษณ์ชัยกุล) ประธาน กมธ.เศรษฐกิจการคลัง เป็นนักชกทางเศรษฐกิจ "รื้อ ลุย ล็อก สู้" คนอื่นก็ทำอย่างนี้ไม่ได้"
"ส่วนท่าน มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ไม่ใช่ นักชก แต่เป็นนักการตลาด เป็นนักพรีเซนต์ ท่านพรีเซนต์ได้ดี มีการตลาดดี ส่วน ดร.สุชาติ เป็นนักวิชาการ ทั้ง 3 คน ก็ไม่ใช่นักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์โดยตรง ทั้ง 3 คน มีวิชาการ มีการตลาด มีการลุย เป็นทีมที่ดีมาก เดี๋ยวถ้ามีนโยบาย ผมจะแนะนำ รับรองพลิกประเทศได้ในเวลาแป๊บเดียว..."
แม้แต่วาระการปฏิบัติหน้าที่ในสภา ผู้แทนราษฎร "ทักษิณ" ยังรู้ราวกับตาเห็น แม้แต่ประเด็นเล็ก-ประเด็นน้อย
"ขอพูดถึง นายไพจิตร ศรีวรขาน ว่า... มีคนเล่าให้ผมฟัง วันก่อนที่ไปนั่งคุยกัน 10 กว่าคน 20 คน มีคนเล่าให้ผมฟังหมดแล้วนะ ว่าอึดอัดเรื่องอะไรกันบ้าง รู้ประเด็นหมด...เพราะฉะนั้น ไม่มีปัญหา ทุกคน ก็ขอให้สังสรรค์กันให้มีความสุข รักษาสุขภาพจิตไว้ อดใจอึดกันอีกนิดเดียว ไม่นานเกินรอ บ้านเมืองจะกลับมาสู่ภาวะปกติ..."
"เรื่องในพรรค ได้ข่าวว่า ขณะนี้กำลังจัดระเบียบกัน ต้องขอบคุณกรรมการ พรรคทุกคน ทำงานขยันขยันแข็ง คนคนเดียว ไม่มีใครสมบูรณ์หรอก ดูอย่างผมสิ ยังต้องมานั่งระเหเร่ร่อนอยู่เมืองนอก ไม่มีใครสมบูรณ์ มันต้องมีอะไรอัปลักษณ์สักอย่างหนึ่ง ก็ให้เป็นกำลังใจช่วยกัน และถือว่าท่านช่วยกันให้กำลังใจกัน ก็คือกำลังใจให้ผมนั่นเอง ยังไง ปีนี้กลับไปเจอกันแน่นอน"
นักการเมืองฝ่ายแดง ที่อยู่ระหว่างลังเล ตัดสินใจเปลี่ยนพรรค เมื่อฟัง "เสียง" จาก "ทักษิณ" แล้ว อาจต้องทบทวน
"ผมเป็นคนไม่ทิ้งใครก่อน แต่ถ้าใครจำเป็นจะทิ้งผม ก็ไม่ว่ากัน แต่เชื่อว่า ส่วนใหญ่แล้ว คงจะไม่ทิ้งกันในยามนี้...เมื่อความจริงปรากฏ...ของจริงก็จะอยู่ได้ ของปลอมก็จะอยู่ไม่ได้"
เสร็จภารกิจชุมนุมสามัคคีเฉพาะกิจ ส.ส.หลายคนแยกย้ายไปสังเคราะห์ถอดรหัสแนวคิด "ทักษิณ-เฉลิม และทีม 111"
ได้บรรทัดเดียวตรงกันทุกกลุ่มว่า ทั้งทีมเพื่อไทยต้องตั้งเป้าชนะเลือกตั้งให้ได้แบบพรรคเดียวเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล
นับนิ้วคำนวณ-ดีดลูกคิดรางกันแล้ว ปัจจุบันมีเพียง 189 เสียง หากจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวแบบ "แลนด์สไลด์" ต้องได้ 270 เสียงเท่านั้น
ภารกิจพิชิตทำเนียบรัฐบาล ถูกวางไว้บนบ่านักการเมืองค่ายเพื่อไทย ทั้ง 3 ทีม
หากจุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์ คือความเป็น "สถาบันพรรค" ที่เก่าแก่
จุดแข็งของพรรคเพื่อไทย คือความเป็น "พรรคเฉพาะกิจ" ที่รวมตัวเร็ว-แรง
การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งอีก 6 เดือนข้างหน้า จะผลิกโฉมหน้ากากเมืองไทย... อีกครั้ง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น