--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

‘สิทธัตถะ’

ขอน้อมเศียรบูชา “องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า”
ครานั้น พระเจ้าสุทโธทนะ โปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และ เชิญพราหมณ์ ผู้เรียนจบ “ไตรเพท” จำนวน 108 คนเข้าวัง..

เพื่อที่จะทำนาย พระราชกุมาร ที่เพิ่งจะประสูติได้เพียง 5 วัน!

ต่างพร้อมใจถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ” แปลว่า “ผู้มีความสำเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนตั้งใจจะทำ”

ในพระพุทธประวัติ ยังกล่าวต่อไปว่า..
ได้มีการคัดเลือกพรามหณ์ผู้ทรงคุณวุฒิเพียง 8 คนเท่านั้น.. และ “พรามหณ์ 7 คนแรก” ทำนายเหมือนกันหมดทั้ง 7 คนว่า..มีความเป็นไปได้ในสองทางคือ...

ทางแรก.. หากว่าทรงเสด็จอยู่ครองเรือน ก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม
อีกทาง..หากทรงผนวชเป็นบรรพชิตจักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า!!

ก็มี..แต่เพียง “โกณทัญญะพรามหณ์” คนเดียวซึ่งอายุน้อยที่สุดในหมู่พรามหณ์ด้วยกัน“ฟันธง” พร้อมทำนายไปทางเดียวเลยว่า...

“พระราชกุมารจะเสด็จออกจากวังเพื่อทรงผนวชเป็นบรรพชิต แล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หมดสิ้นกิเลสแล้วในโลกนี้”

จากนั้นมาจวบจนบัดนี้..โดยเฉพาะเรา “คนไทย” ไล่เดียะยาวมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปี สืบทอดเป็นสายใยเชื่อมต่อกันมามิได้ขาด

ด้วยการได้ยึดเอา “พระพุทธเจ้า” และ“หลักธรรม” คำสอนมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ..ปลาบปลื้มกับ “ศาสนาพุทธ” ที่นำพาพวกเราเดินมาถูกทางตลอด

แม้โลกใบนี้จะถูกฉุดกระชากไปด้วย“เท็คโนโลยี่”และ“อารยะธรรม” ต่างๆ

ซึ่งทำเอา“สันดานคน”ถูกดัดแปลงแทบไม่เหลือความเป็น“มนุษย์”..จะมีก็แต่คำสอน
ของ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ที่คอย ซึม ซับ และ กระซิบแผ่วๆ แทรกอยู่ในดวงจิตของชาวพุทธอยู่เสมอ..เป็นการเตือนให้มี “สติ” ระลึกไว้ตลอด

ด้วยการให้ ลด ละ เลิก ไม่ โลภ โกรธ หลง กับกิเลสที่วางเป็น “กับดัก” ล่อไว้

สมควรแล้วที่ ปู่ ย่า ตา ทวด ของเรารับเอา “พุทธศาสนา” มาเป็นที่ ยึดมั่น บูชา และ“กราบไหว้” ได้อย่างสนิทใจ..ซึ่งจะหาอะไรมาเทียบกับพระองค์มิได้แล้วในโลกนี้

แล้วมึงเป็นใคร?..หือ ไอ้ “ส้มจีน”!!

คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
________________________________________________________________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น