ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ช่วงนี้ "ธาริต เพ็งดิษฐ์" อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถูกแฉกระจายตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนถึงเรื่องส่วนตัวบนถนนศรีอยุธยา
"จตุพร พรหมพันธุ์" ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย คู่ปรับ ขู่ว่า เร็วๆ นี้ เตรียมแฉเรื่องใหญ่ของ "ธาริต" ให้คนช็อคตะลึงกันทั้งประเทศ
ชีวิตของ"ธาริต" มีเรื่องให้ช็อคได้ตลอดทุกนาที เชื่อหรือไม่ เขามี บอดี้การ์ด รอบตัว บางช่วงเวลาต้องหลบซ่อนในเซฟเฮ้าส์
เอาเข้าจริงแล้ว ชีวิตลูกผู้ชายชื่อ ธาริต ยังมีอะไรมากกว่านั้นที่หลายคนยังไม่รู้ ทุกวันนี้ ธาริต คล้องพระ 5 องค์
กล่าวกันว่า เขายังมี หมอดูส่วนตัว ที่คอยดูฤกษ์ยาม ให้แคล้วคลาด จากเคราะห์ร้ายและกรรมเก่า
ก่อนหน้านี้ หมอดู 3 คน ยืนยันฟันธงว่า ดวงธาริต รุ่งโรจน์ไปอีกนาน
ล่าสุด"ธาริต"เปิดห้องทำงาน ให้ ผู้สื่อข่าว เจาะลึกในหลายประเด็นที่ทั้งมิตรและศัตรูของเขา อยากรู้
@ประกาศ ศอฉ. 100/2553ปล่อยผีท่อน้ำเลี้ยง "ทักษิณและคนเสื้อแดง"ทั้งยวง เพราะตรวจอะไรไม่เจอ ใช่ไหม
ตอบอย่างนั้นไม่ได้ครับ นัยสำคัญที่พบก็คือ มีการชี้แจงธุรกรรมต้องสงสัยไม่ได้จำนวนหนึ่ง หมายความว่าเราเริ่มต้นจาก 152 ราย ต่อมากปลดล็อกเหลือ 83 ราย ใน 83 ราย เราให้เขามาชี้แจง โดยใช้วิธีตั้งโจทย์ว่าธุรกรรมต้องสงสัยคืออะไรบ้าง เขาก็มาชี้แจง 2 รอบ บางคน 3 รอบ
เมื่อชี้แจงเสร็จ เราก็ปลดล็อกทันที เพราะถือว่าการชี้แจงเสร็จแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นการละเมิดสิทธิ์มากเกินไป ก็คือ เขาทำธุรกรรมได้ปกติ แต่ในประกาศฉบับนี้ ยังบอกให้แบงก์คอยติดตามว่าถ้ามีธุรกรรมที่ผิดปกติให้รายงาน
เมื่อปลดล็อกแล้ว ถามว่าธุรกรรมที่เขามาชี้แจงก็จะมีที่ชี้แจงได้และไม่ได้ ส่วนที่ชี้แจงไม่ได้ขณะนี้เราได้ตั้งเป็นคณะตรวจสอบขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อมาตรวจสอบทั้งหมดว่าที่ชี้แจงไม่ได้มียอดเท่าไหร่ และชี้แจงไม่ได้เพราะอะไร
ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับศอฉ.แล้ว เป็นอำนาจของดีเอสไอโดยตรง แต่เราก็ต้องระมัดระวังเพราะเราไม่ได้ใช้กฎหมายศอฉ. ฉะนั้นก็คงเปิดเผยไม่ได้
@ ควานไม่เจอท่อน้ำเลี้ยงคุณทักษิณ(ชินวัตร)และเครือข่ายไม่เจออะไรเลยหรือ
ผมคงไม่อาจแยกได้ แต่ตอบได้เลยว่า มีธุรกรรมที่ชี้แจงไม่ได้อยู่พอสมควร ซึ่งจะได้ทำการตรวจสอบเชิงลึกต่อไปว่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่อย่างไร แต่ต้องบอกว่าขณะนี้เป็นการตรวจสอบขั้นต้นเท่านั้น ก็คือ ตั้งโจทย์ แล้วคุณมาชี้แจง ชี้แจงได้จบเลยชี้แจงไม่ได้เราก็ทำต่อ ว่าที่ชี้แจงไม่ได้มันคืออะไร แต่ในขณะนี้คุณทักษิณและเครือข่ายทำธุรกรรรมได้ตามปกติ
ผมต้องพูดเรื่องห้ามทำธุรกรรมว่า มีทั้งวัตถุประสงค์หลักและวัตถุประสงค์รอง วัตถุประสงค์หลักคือ ตัดขาดและป้องปราม ซึ่งบรรลุวัตถุประสงค์ไปแล้ว เพราะว่าเมื่อเราใช้มาตรการนี้ มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องการชุมนุมหยุด
ส่วนวัตถุประสงค์รองคือ การตรวจสอบย้อนหลัง 9 เดือน ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ขณะนี้กำลัง On Process เพราะที่ On Process มันเริ่มต้นจากที่ให้ส่งเอกสาร 9 เดือน แล้วมาตั้งโจทย์ให้คุณตอบ ตอบได้ก็จบ ตอบไม่ได้ก็ตรวจต่อ
เช่น บอกว่า ถอนเงินสดไป 500 ล้าน ถามว่าถอนไปทำไม ถอนไปที่ไหน ถ้าคำตอบบอกว่าถอนไปซื้อสลาก อย่างนี้เข้าข่ายชี้แจงไม่ได้ เราก็ต้องตรวจว่าแล้วมันคืออะไร เอาไปสนับสนุนการกระทำผิดหรือไม่อย่างไร แต่ต้องทำในเชิงลับ
@ดีเอสไอ ยั้งมือ ไม่ตีหมาให้จนตรอกใช่ไหม
ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ต้องเข้าใจว่าการตัดต่อน้ำเลี้ยงหรือการสั่งห้ามทำธุรกรรมเกิดในช่วงที่ความสงบยังมีอยู่ ฉะนั้นการมีมาตรการหลายๆ มาตรการของศอฉ.เป็นสิ่งจำเป็นพื่อจะหยุดยั้ง
ส่วนตัวผมเชื่อว่า มาตรการนี้มีส่วนช่วยหยุดยั้งการชุมนุมอย่างหนึ่ง อาจจะไม่ใช่กลุ่มคน 152 ราย แต่อย่างน้อยก็ป้องปรามคนกลุ่มอื่น อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็แล้วแต่ แล้วทันทีที่การตรวจสอบเสร็จสิ้นลง ศอฉ. ก็ปลดล็อกทันที
ฉะนั้นจะเป็นการยื้อไว้หรือเป็นการกลั่นแกล้ง ไม่ใช่แน่นอน ซึ่งก็มองได้หลายมุม บางมุมก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าซีเรียสกับเขา ตีเขาเป็นหมาจนตรอก บางมุมก็มองว่าล้มเหลว เพราะไม่สะใจ ซึ่งไม่ได้หรอกครับ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายและมีพยานหลักฐาน แต่ถามว่าความจำเป็นขณะเกิดสถานการณ์วิกฤตช่วงพฤษภาคม การใช้มาตรการที่กฎหมายให้ทำได้ โดยส่วนตัวผมเห็นว่าเหมาะสมแล้ว
@ กลุ่มที่ต้องตรวจสอบในเชิงลึกจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่
ผมกำหนด เส้นตาย ว่าต้องทำให้เสร็จภายใน 20 กันยายนนี้
@ ถามจริง ๆ ว่า มีเงินไหลเข้ามาหล่อเลี้ยงการชุมนุมคนเสื้อแดง จริงๆ หรือ
เราเชื่อว่าจริง มันไหลมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เพราะการชุมนุมก็ต้องใช้เงิน เราก็เชื่อเช่นนั้น แล้วมาตรการอะไรก็ตามที่สามารถยับยั้งการชุมนุมโดยผิดกฏหมาย ก็ต้องนำมาใช้ รวมถึงมาตรการการห้ามทำธุรกรรมด้วย
@มีข้อวิจารณ์ว่า หลักฐานของดีเอสไอน่าจะมาจากวิธีการทำงานแบบสหวิทยาการ ที่หนักแน่นมากกว่าปากคำพยาน ที่พลิกล้นได้ตลอดเวลา
ถ้าจะตรวจดู ผมจะถ่ายทอดตามที่เป็นจริงเท่านั้น แต่ต้องเรียนว่าการจะไปดำเนินคดีใครหรือจับใครอาศัยเพียงคำซัดทอดของพยานไม่พอหรอกครับ คำซัดทอดเป็นประโยชน์ในเบื้องต้นเท่านั้น โดยเฉพาะในหมู่ผู้ต้องหา เพราะคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกันเองน้ำหนักมันน้อย ถ้าจะมีคำซัดทอด ก็เป็นเพียงประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน แต่ต้องหาหลักฐานประกอบให้มากกว่านั้นแน่นอน
เราจะพิสูจน์ความผิดคนโดยเอาเพียงคำพูดพยาน แล้วถ้าถึงเวลาที่เขาเบิกความไม่เป็นอย่างที่เขาให้การก็เสียเลยครับ ฉะนั้น พยานทั้งหมดที่เราดำเนินคดีฐานการก่อการร้ายแล้วอัยการเห็นชอบสั่งฟ้อง โดยไม่ได้สอบสวนเพิ่มเติมเลย เพราะคงเห็นว่าเพียงพอแล้ว มันเป็นพยานที่เรียกว่าอยู่ในระบบการพิสูจน์พยาน ซึ่งไม่ใช่อาศัยคำให้การของคนสองคนหรอก
มันจะมีความยึดโยงกัน เช่น บอกว่าชุดนี้เป็นชุดที่ไปยึดอาวุธยุทธภัณฑ์มา มันก็จะมาสอดคล้องกับภาพถ่ายบนเวที สอดคล้องกับอาวุธที่ยึดได้ สอดคล้องกับประจักษ์พยานที่เห็นยิง หรือทำร้าย มันต้องมีจิ๊กซอร์ที่มาต่อกัน ไม่ใช่พยานปากหนึ่งปากใด ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกครับ
@ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่า สำนวนจากดีเอสไอไปถึงศาลน้อยมาก เพราะสำนวนไม่สมบูรณ์ ดีแต่โม้
ไม่จริงครับ เรามีสถิติชี้วัดว่า คดีของเรา 90 % อัยการสั่งฟ้องตาม จากตัวชี้วัดที่ ก.พ. ร.ควบคุมเราไว้ที่ 80 แต่เราทำได้ถึง 90 และตั้งแต่ก่อตั้งดีเอสไอมา เราทำได้ 90 ตลอด อาจจะมีบางที่อัยการเห็นต่าง แต่เล็กน้อยครับ เพียง 10% แล้ว 10% ที่ว่านี้ บางทีข้อหามันหลายข้อหา อัยการก็อาจจะมองในมุมหลักว่าเอาข้อหาหลักพอ ข้อหาย่อยไม่ต้องก็ได้ มันก็จะเป็นมิติที่อาจจะสั่งต่างกันไปบ้าง แต่ในหลักจริงๆ ยังคงยืนเรื่องฟ้องอยู่
@ ขณะนี้ กลุ่มคดีความมั่นคงและคดีการเมือง มีมากน้อยแค่ไหน
ที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำคดีการเมืองหรือคดีความมั่นคงเลย เราทำคดีเศรษฐกิจครับ ดีเอสไอ ออกแบบมาเพื่อทำคดีเศรษฐกิจ แล้วคดีความไม่สงบ คดีความมั่นคงมันก็เพิ่งจะเกิด
@ นี่คือเหตุหนึ่งที่ดีเอสไอ.ขอเพิ่มคน แล้วที่ประชุมครม.ก็อนุมัติตามที่ขอ
เหตุหนึ่งครับ ถ้าจะมองว่าเป็นเหตุฉุกเฉิน ส่วนที่เป็นเหตุจำเป็นก็คือ เรากำลังจะขยายความผิดที่เรารับผิดชอบ ดีเอสไอรับผิดชอบคดีพิเศษอยู่ 2 ประเภท ประเภทหนึ่งเรียกว่า เป็น ความผิดท้ายพระราชบัญญัติ ซึ่งขณะนี้เรามี 27 ประเภทคดี เรากำลังจะเสนอเพิ่มอีก 11 ประเภทคดี คดีหลักๆ ก็จะเป็นพวกค้ามนุษย์ ยาเสพติด คดีอาชญากรระหว่างประเทศ คดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก
จริงๆแล้ว ดีเอสไอตั้งมาเข้าปีที่ 8 เราไม่เคยปรับโครงสร้างและเพิ่มอัตรากำลังเลย ในขณะที่เรารับผิดชอบคดีสำคัญทั่วประเทศ ถ้าจะเทียบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งทำการสืบสวนสอบสวนคดีสามัญทั่วไป 2 แสนกว่า เทียบอัตราส่วนไม่ได้เลย
ในขณะที่ดีเอสไอ เรามีอัตราอยู่ที่ 779 คน ทำให้มีเหตุจำเป็นที่ต้องเพิ่ม ฉะนั้น จะต้องถือว่ามีทั้ง 2 เหตุ ที่เราขอแล้วครม.ให้ คือ เหตุจำเป็นเฉพาะ คือ เรื่องคดีความไม่สงบและคดีมุ่งร้ายต่อสถาบัน ฯ หรือคดีล้มเจ้า และเหตุปกติทั่วไป คดีเราเพิ่มมากขึ้น
@ แล้วจะต้องเพิ่มในส่วนใดบ้าง
เพิ่มสำนักครับ แต่ขณะนี้ยังไม่นิ่ง ที่ขอครม. คือ เรายังไม่ได้ขอให้ Approof โครงสร้าง แต่เราขอครม.เห็นชอบในอัตรา ส่วนโครงสร้างเราจะทำตามกระบวนการ ของการออกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการใหม่
โดยโครงสร้างเราคาดว่าจะมีสำนัก เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 6 สำนัก เช่น ด้านคดีเกี่ยวกับค้ามนุษย์อาชญากรที่เป็นองค์การระหว่างประเทศ ด้านคดีทรัพยากรธรรมชาติ เน้นที่ดินของรัฐที่มีการบุกรุก แล้วจะมีสำนักปฏิบัติการพิเศษโดยตรง มีสำนักบริหารคดี เพราะหัวใจสำคัญของการทำคดีมันจะต้องมีส่วนอำนวยการหรือส่วนบริหาร ก็จะมีสำนักบริหารคดี แล้วกลุ่มงานบริหารงานบุคคลก็จะยกระดับเป็นสำนัก ให้มีประสิทธิภาพในการดูแลคนเรื่องวินัย การเทรนนิ่งต่างๆ
ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณา คาดว่าสักประมาณประมาณ 200 คน จะเป็นการรับโอน และรับใหม่ประมาณ 100 คน ส่วนพนักงานราชการ 175 คน ก็จะรับใหม่ทั้งหมด
@ มีการจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินคดีอย่างไร หรือไม่
ลำดับความสำคัญมี 2 อย่างครับ อย่างหนึ่งคือ คดีมีตัว เช่น คดีก่อการร้าย มีการจับผู้ต้องหาได้ มีการวางกรอบเวลากฎหมายกำหนดไว้ เช่น ต้องฟ้องภายใน 84 วัน อย่างนี้เหมือนไม่มีทางเลือกเป็นอื่น ดีเอสไอกับอัยการต้องทำงานร่วมกันแล้วต้องเบ็ดเสร็จภายใน 84 วัน เพราะถ้าผู้ต้องหาหลุดไปในคดีร้ายแรง มันจะมีปัญหามากเลย
อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าไม่ตัว โดยทั่วไป เราถือเป็นหลักพื้นฐานว่า มีห้วงระยะเวลาทำคดีไม่เกิน 6 เดือน ซึ่งเราใช้ทุกคดี ถ้าเกินจากนั้นก็ต้องมีเหตุผลว่าทำไมยังไง
สรุปก็คือ เราคงไม่ได้จัดลำดับก่อนหลัง แต่เราทำตามความจำเป็น ให้ความสำคัญ เท่ากันหมด ยกตัวอย่างคดีล้มเจ้า เราไม่ได้จับตัวใคร ฉะนั้นก็มีเวลา ในกรอบ 6 เดือน ก็ยังทำงานอยู่ โดยเราจะพิสูจน์ทั้งความผิดและความถูก
@ คดีล้มเจ้าจะใช้เวลานานแค่ไหน
เราตั้งต้น 6 เดือนครับ ขณะนี้ผ่านไปแล้ว 2 เดือนเศษ
@ เท่าที่ดูก็มีมูลใช่หรือไม่
บางคน บางกลุ่ม
@ ในส่วนคดีเศรษฐกิจ มีเรื่องอะไรสำคัญที่กำลังดำเนินการอยู่บ้าง
อยากให้ดูบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ ซึ่งจะมี 22 ประเภทคดี แล้วบวกอีก 5 ก็คือ ภาษีทั้งหมด รวมเป็น 27 คดี แต่ใน 22 คดี จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงินการธนาคารด้านเศรษฐกิจ เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร กฎหมายเกี่ยวกับสถาบันการเงิน คดีคุ้มครองผู้บริโภค คดีสิ่งแวดล้อม คดีฮั้วประมูล เป็นต้น โดยเฉพาะคดีพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุด คือ การสั่งไม่ฟ้องคดีหุ้นชินคอร์ปภาค 2 ฉะนั้น เราทำงานตรงไปตรงมา ถ้าผมเทกไซด์ ผมสั่งฟ้องไปแล้ว ฉะนั้น ต้องว่าไปตามเนื้อผ้า ไม่ผิดก็คือไม่ผิด
@ มีหลายคนคาใจกรณีสั่งไม่ฟ้องทีพีไอ จากการตรวจสอบ หลักฐานและพยานไม่มีจริงๆ หรืออย่างไร
นอกจากเราไม่พบว่าเขาไซฟ่อนแล้ว เรากลับพบว่าเขาทำอย่างตรงไปตรงมา เรื่องนี้ผมตั้งข้อสังเกตว่า ชุดพนักงานสอบสวนชุดเดิมซึ่งเขาก็ลาออกไปแล้ว คดีไม่ได้ตั้งต้นที่คดียุบพรรค แต่ตั้งต้นที่คดีคุณประชัย(เลี่ยวไพรัตน์) เป็นคดีหลัก แต่เขากลับไม่เดินหน้าเรื่องคดีคุณประชัย
เขาไปเดินหน้าเรื่องยุบพรรค จนกระทั่งส่งไปแล้ว แล้วเรื่องคุณประชัยก็แขวนค้างอยู่ ก็มีเสียงพูดว่า ที่ไม่เดินหน้าเพราะว่าไม่ผิด ก็ค้างไว้เลย ซึ่งตอนมาใหม่ๆ ผมก็ได้ยิน(นะ) แต่ก็ฉงนใจเหมือนกันว่า ทำไมไม่ทำคดีหลักให้เสร็จ
@ เป็นไปได้ไหม ที่พนักงานสอบสวนชุดเดิมทำไม่ครบกระบวนการ
พอเปลี่ยนพนักงานสอบสวน เพราะชุดเดิมลาออก ผมไม่ใช่ว่าเอาที่เขาทำมาสั่งไม่ฟ้อง(นะ ) เราทำต่อจนสิ้นกระแสความ เราตั้งชุดใหม่ แล้วผมก็ตั้งพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดี ดีเอสไอ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ก็สอบสวนจนเสร็จสิ้น พนักงานสอบสวนก็เสนอความเห็นมาว่า ไม่พบการกระทำความผิด และหลักฐานต่างๆ ยังชี้ยืนยันว่ามีการจ้างกันจริง ไม่ใช่ไซฟ่อน ผมก็สั่งตามเขา
พอสั่งไปก็เป็นประเด็น คือ การทำคดีมีทั้งคนถูกใจและไม่ถูกใจ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับความไม่สงบในบ้านเมืองขณะนี้ อยู่ที่ว่าคนไม่ถูกใจแสดงอาการแค่ไหน
@ หมายความว่า คุณประชัย ใช้จ่ายเงินจริง เพื่อให้เครือข่ายภาคใต้ทำโปรโมชั่นปูนทีพีไอ.
ใช่ครับ มีหลักฐาน มีบัญชีงบดุลถูกต้องหมด แต่เราต้องแยกว่า ส่วนเงินที่ได้รับจากการว่าจ้าง ก็อาจจะมีกำไรบ้าง แล้วจะไปสนับสนุนพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่งก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกัน ผมก็ไม่ได้ไปทำอะไรกับเรื่องยุบพรรค
เพียงแต่ผมอธิบายว่า ต้นทางคือคดีหลัก ไม่ได้ไซฟ่อนเงิน ก็เท่านั้น แล้วก่อนหน้านี้ คุณประชัยได้ยื่นหนังสือมาเป็นรายละเอียดครบถ้วน
@ ยังมีคดีใหญ่ที่โยงกับคุณทักษิณอีกหรือไม่
น่าจะยังมีอีก
@ จริงๆแล้ว คดีการเมืองคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของคดีทั้งหมดที่ดีเอสไอกำลังทำอยู่
ที่ผ่านมา เราไม่ได้ทำคดีการเมืองเลย แต่เมื่อเกิดเหตุวิกฤต คณะกรรมการคดีพิเศษยกระดับจากคดีสามัญซึ่งก็สมเหตุสมผลให้มาเป็นคดีพิเศษ เพราะดีเอสไอจะได้สนธิกำลัง ทำร่วมกับอัยการ กับหน่วยงานอีก 13 หน่วยได้ แต่ถ้าให้อยู่กับตำรวจ ตำรวจทำคนเดียว ก็อาจจะช้าและไม่ทันการ
เพียงแต่ดีเอสไอไม่ได้เตรียมการเพื่อทำคดีอย่างนี้ เราออกแบบเพื่อทำคดีเศรษฐกิจ แต่เมื่อคดีอย่างนี้เกิดขึ้น เหมือนทุกคนก็ไม่คาดคิดว่าวิกฤตจะเกิดในบ้าน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องทำ
ฉะนั้น ผมไม่อยากไปเทียบเป็นสัดส่วน เพราะว่ามันเป็นเหตุเฉพาะ เดี๋ยวมันก็เลิกไป แต่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย 200 กว่าคดี อาจจะสัก 2 ปีเสร็จ รวมทั้งล้มเจ้าด้วย
แต่ที่เราทำได้ไว ฟ้องก่อร้ายได้ทัน 84 วัน ก็เพราะเป็นคดีพิเศษ ตำรวจก็มาช่วยเรา หน่วยงานความมั่นคง ที่สำคัญคืออัยการ มาทำงานร่วม ก็รับไม้ต่อกันได้เลย ถ้าเราปล่อยให้ตำรวจทำตามลำพัง อาจจะมีปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่าตำรวจไม่มีประสิทธิภาพ(นะ ) แต่ทำตามลำพังคนเดียว ทำไม่ไหวครับ งานอย่างนี้ต้องสนธิกำลังกัน
@ ช่วงเวลาการทำงานของคุณ จะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน
เราเป็นหน่วยบังคับใช้กฎหมาย ผมมีความเห็นว่า ในภาวะบ้านเมืองที่แตกแยกเป็นฝักฝ่าย แล้วยังคงไม่คลี่คลายวิกฤตเสียทีเดียว สิ่งที่ดีที่สุดคือ การปฏิบัติตามกฎหมาย
ในฐานะที่ผมเป็นนักกฎหมายและทำงานด้านนี้ ไม่มีอะไรดีเท่ากับกฎหมาย คือ การบังคับตามกฎหมาย เพราะกฎหมายเป็นเครื่องมือ เป็นบรรทัดฐานของสังคม ถ้าเราบังคับใช้กฎหมายอย่างทั่วถึงตรงไปตรงมา จริงจัง ไม่เพิกเฉย ไม่ใส่เกียร์ว่าง ผมคิดว่าความสงบสุขของสังคมจะกลับมา แล้วก็จะเกิดความเป็นธรรมด้วย
ฉะนั้น ช่วงเวลาที่ผมยังอยู่ในหน้าที่นี้ ผมจะทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด คงไม่สามารถจะไป อวดอ้าง หรือเนรมิต บันดารอะไร คงไม่ใช่ แล้ววิธีทำงานที่ดีที่สุดของผมก็คือ การทำตามกฎหมาย บุคคลากรของเราก็ทุ่มเทและเสียสละ
ผมจะพูดในที่ประชุมเสมอว่า เรื่องความรักชอบทางการเมือง เป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญซึ่งเราไม่ห้าม ใครจะชอบสีอะไร พรรคไหนก็ว่ากันไป แต่เมื่อทำงานแล้วต้องเป็นมืออาชีพ แยกความรักชอบออก ถ้านำมาปนกับการทำงาน การดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ในฐานะพนักงานสอบสวนก็จะเสียไป
ผมเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่เราโดยเฉพาะคดีความไม่สงบที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าเขา ได้ตั้งใจทุ่มเท และทำงานอย่างตรงไปตรงมา ผมเคยพูดว่าอาจจะมี 4-5 % ที่อาจจะดูเป๊ บ้างก็เป็นธรรมดาในองค์กร แต่ก็มีไม่มากหรอกครับ
@ แต่ก็ไม่ได้หวั่นไหวกับเสียงวิจารณ์จากพรรคเพื่อไทยและ การข่มขู่เอาชีวิต
ผมคิดว่า หน้าที่หน่วยบังคับใช้กฎหมาย ที่ต้องรับผิดชอบงานคดีอย่างนี้ มันก็เป็นภาระที่ใครก็ตามที่มารับผิดชอบ ก็ต้องทำอย่างนี้ ขืนไม่ทำงานสิครับ จะมีปัญหาว่าเราละเว้นการทำงาน ฉะนั้น เราต้องทำงานของเรา ให้ดีที่สุด ส่วนการจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ก็เป็นธรรมดา โดยเฉพาะผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดี ยังไงเขาก็ไม่ชอบอยู่แล้ว เมื่อก่อนอาจจะแค่บุคคล แต่เดี๋ยวนี้ขยายไปยังพรรคการเมืองซึ่งเป็นสถาบันตามระบอบประชาธิปไตย ก็ดูจะเป็นเรื่องใหญ่โต
คำว่าใหญ่โตของผม คือ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคม ที่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งจะมาดิสเครดิต ตอนนี้ก็โดนกันเต็มๆ ไม่ว่าจะดีเอสไอ อัยการ จะเปิดเผยกำพืด ไปกันใหญ่โตเลย แต่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
@ แต่ก็มีการแฉเรื่องส่วนตัวคุณ
ก็ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่า ในภาวะที่บ้านเมือง ไม่ปกติ โดยเฉพาะเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีครอบครัวที่โชคร้ายสูญเสียสมาชิก ถูกเผากิจการ บาดเจ็บล้มตายมากมาย ฉะนั้น ถ้าเทียบกันแล้ว ครอบครัวผมได้รับผลกระทบน้อยมาก
ส่วนเรื่องความจริง ผมกับภรรยาก็จะพิสูจน์ในศาลดีที่สุด ดีกว่ามาโต้ทางสื่อ อยากเรียนว่า ถ้ามันเป็นเรื่องการรับเงินไม่ถูกต้อง ไม่มีใคร เอาเข้าบัญชีหรอกครับ แสนกว่าบาท(เนี่ย) มาเข้าบัญชีทำไม แล้วเรื่องก็เกิดขึ้น 2 ปีกว่าแล้ว ทำไมถึงมาตอนนี้ แล้วไปจับขั้วกับ พรรคการเมืองที่อยู่ในข่ายการถูกกล่าวหาว่าก่อการร้าย
@ ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิตมากขึ้นไหม
เป็นธรรมดาครับ ในสถานการณ์และการข่าวอย่างนี้ เป็นการข่าวของเราเอง และหน่วยงานความมั่นคงก็เตือนมา ผมก็มีหน้าที่ปฏิบัติตนตามที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยเขากำหนดอย่างเคร่งครัด หรือเรียกว่าเป็นเด็กดี
เขาไม่ให้ไปที่ไหน ไม่ให้ทำอะไร ก็ต้องเชื่อฟังเขา เจ้าหน้าที่จะได้ทำงานไม่ลำบาก บางทีใช้โทรศัพท์ อยู่ในพื้นที่อันตราย เขาก็จะเปิดแจมเมอร์ โทรศัพท์ผมก็ถูกตัดไปเลย จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะเป็นงานของเขา ก็ต้องเชื่อฟังเขา
@ กลัวตายมากไหม
ผมเป็นปุถุชน จะบอกว่า ไม่กลัวเลยก็คงโกหก ฉะนั้นก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้ท้อถอย แล้วก็คิดว่างานก็ต้องทำต่อไป กลัวไปก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะต้องทำงาน ก็ไม่เป็นไร มีผู้ใหญ่ เพื่อนฝูงให้พระดีๆ มาคล้อง (หัวเราะ)
เดิมผมคล้องพระอยู่ 3 องค์ มีหลวงปู่ทวด มีพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี วัดบางขุนพรหม แล้วก็พระพระซุ้มกอ แล้วก็มีเพื่อนสนิทให้พระหูยาน ลพบุรี มาอีกหนึ่งองค์ แล้วน้าชายก็ให้พระรอดมาอีก 1 องค์ รวมเป็น 5 องค์
@ ทำงานกับนายกฯอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) เป็นยังไงบ้าง
ท่านก็ให้ความเมตตา ถามว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไร ท่านก็ช่วยดูแล เรื่องอัตรากำลังต่างๆ ในฐานะผู้บังคับบัญชาต่างๆ ท่านก็ดูแลเรา
@ อะไรคือความยากลำบากในการทำคดีการเมือง
ยากลำบากตอนที่คดียังไม่เข้ามาในมือ ยากลำบากตอนที่เป็นกรรมการศอฉ. ความยากลำบากก็คือ ต้องขบคิดตลอดว่าทำยังไงเหตุการณ์ถึงจะสงบ และความสูญเสียเกิดน้อยที่สุด
ทุกคนล่ะครับ ไม่ใช่เฉพาะผม และข้อกล่าวหาที่ว่า ดีเอสไอ ตามอัยการก็ตาม อยู่ในศอฉ. ก็อยู่ในศอฉ.หมดล่ะครับ หน่วยงานความมั่นคง เพราะเป็นเรื่องความไม่สงบในบ้านเมือง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายก็ต้องไปช่วยกัน เป็นโครงสร้างกฎหมายอยู่แล้ว
@ ได้ข่าวว่าคุณมีพระอาจารย์ดี คอยดูฤกษ์ยาม
คงไม่ใช่หรอกครับ(หัวเราะ) มติชน ออนไลน์ เขียนว่า มีหมอดู 3 คน ผมก็นึกว่าเขาเอาไปดูให้ผม ไม่ใช่หรอกครับ
@ มีข้อครหาว่า ดีเอสไอรับใช้การเมือง จะชี้แจงอย่างไร
ผมอยากจะเรียนว่า การทำงานในดีเอสไอ เป็นงานในรูปคณะกรรมการ ไม่ได้ทำคนเดียว ใบสั่งมันสั่งกันไม่ไหวหรอกครับ ทุกคนมีอิสระในการทำงานของตัวเอง ที่ผ่านมา ผมยืนยันว่า การเมืองไม่ได้แทรกแซง แต่ผมมีจุดอธิบายว่า เราต้องยอมรับว่า บุคคลในการเมืองบางคน จะมีแผล คือ กระทำความผิดติดตัวไว้
ยกตัวอย่างว่า ถ้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง มาแจ้งความกับดีเอสไอ ให้ไปดำเนินคดีกับอีกพรรคหนึ่งว่าทำผิด แล้วคนนั้นทำผิดจริง ดีเอสไอก็ต้องไปจัดการ อย่างนี้ดีเอสไอถูกใช้เป็นเครื่องมือมั๊ย ผมว่าไม่ใช่นะ
ฉะนั้น จุดนี้เป็นจุดที่ดีเอสไอ รับภาระ คือต่างฝ่ายต่างก็ มีแผล ก็จะมาร้องทุกข์เรา เราก็ตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบก็เจอ เจอเราก็จัดการ ส่งฟ้องอัยการ จับกุม ก็จะถูกครหาว่าใช้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือไปแกล้ง ไม่ใช่แกล้งหรอกครับ แต่เพราะผิด
การใช้เป็นเครื่องมันต้องเอาไปแกล้ง เขาไม่ผิด แล้วเอาข้อหาไปยัดเขาให้เขาผิด อย่างนี้แกล้ง ซึ่งไม่มีครับ แต่อย่างที่เรียนว่า ไม่ต้องไปแกล้งหรอก เพราะต่างฝ่ายต่างมีเรื่องผิดกันทั้งนั้น
@ ดีเอสไอจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเมืองหรือไม่
ผมยอมรับว่า บทบาทอธิบดีดีเอสไอ มีบทบาทสูง ถ้าตัวอธิบดี มีความตั้งใจที่จะแกว่งไปตามการเมืองก็อยู่ในวิสัยที่เป็นได้ มันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ซึ่งจะเป็นหรือไม่อย่างไ รคงพูดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องอนาคต และขึ้นอยู่กับการเมืองด้วยว่าจะลงมาวุ่นวายมากน้อยแค่ไหน
แต่สำหรับผม ที่ทำงานมาจะครบ 1 ปี ผมยืนยันว่าฝ่ายการเมืองที่มีแกนนำเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมาวุ่นวายกับผม ผมทำงานโดยเสรี ถ้าเราไม่วางตัวอย่างที่ควรจะเป็น ก็จะทำงานลำบาก แล้วการเมืองก็ไม่เคยมาสั่งผม ว่าเรื่องไหนต้องฟ้องหรือไม่ฟ้อง ไม่มีครับ
@ ในอนาคต มีการพูดถึงความเป็นองค์อิสระของดีเอสไอหรือเปล่า
ผมกลับมองว่า เรื่องนี้ขึ้นกับการเมือง เพราะฝ่ายการเมืองกำกับดูแลภาครัฐเยอะมาก ถ้าเราจะไปสร้างเกราะป้องกันองค์กร คงไม่ไหว แต่ถ้าเราได้นักการเมืองที่มีสปิริต ตั้งใจบริหารการเมืองที่ดี แล้วก็ไม่แทรกแซงระบบงานยุติธรรม บ้านเมืองจะไปได้ดี ผมเสนอให้แก้ที่การเมืองดีกว่า แต่นั่นเป็นโจทย์ที่ใหญ่มากสำหรับบ้านเมือง
**********************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น