จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“สนธิ-จำลอง” นำแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯเข้ารายงายตัวรับทราบข้อกล่าวหาชุมนุมบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง เผยแกนนำรุ่น 1 และรุ่น 2 จำนวน 30 คนโดนคนละ 12 ข้อหา หนักสุดคือก่อการร้ายและซ่องโจร ทุกคนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอเวลาทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร 30 วัน “สนธิ” ประกาศฟ้องกลับตำรวจใช้อำนาจกลั่นแกล้ง อ้างการชุมนุมไม่ได้สร้างความเสียหาย ด้านผู้ช่วย ผบ.ตร. ยืนยันทำตามกรอบกฎหมาย มั่นใจสรุปสำนวนส่งอัยการได้ก่อนสิ้นเดือน ก.ย.
ที่กองปราบปราม บรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและแนวร่วมที่ถูกตำรวจออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาจากการบุกชุมนุมยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิระหว่างวันที่ 25 พ.ย.-3 ธ.ค. 2551 ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยมีบรรดาแนวร่วมตามมาให้กำลังใจจำนวนมาก ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการนำแผงเหล็กมากั้นบริเวณทางเข้าอาคารกองปราบ และไม่อนุญาตให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปภายใน ขณะเดียวกันได้จัดกำลังหน่วยคอมมานโดของกองปราบไว้ 170 นาย คอยดูแลความเรียบร้อยโดยรอบ รวมถึงติดกล้องวงจรปิด 50 ตัวรอบพื้นที่เพื่อบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมด สำหรับพนักงานสอบสวนจัดให้มีทั้งหมด 20 ชุดๆละ 30 นาย มาจากกองปราบปรามกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสถานีตำรวจภูธรสมุทรปราการ
“ปฐมพงศ์-วีระ” แจ้งขอเลื่อนพบตำรวจ
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกแกนนำและแนวร่วมทั้งหมดมารับทราบข้อกล่าวหา 79 ราย ก่อนหน้านี้มีผู้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว 5 ราย ครั้งนี้มีผู้มารับทราบข้อกล่าวหา 59 ราย โดยมี 6 รายแจ้งขอเลื่อนการเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ประกอบด้วย พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ นายวีระ สมความคิด นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ นายสมชาย วงศ์เทศ และ น.ส.ต้นขวัญ แสงอาทิตย์
ทุกคนพากันปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
สำหรับผู้เข้ารายงานตัวครั้งนี้ทุกคนปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอเวลา 30 วันในการทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้นได้เดินทางกลับโดยไม่ต้องยื่นประกันตัว เนื่องจากมาเข้าพบตามหมายเรียก
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เปิดเผยว่า ถูกแจ้งข้อกล่าวหากว่า 10 ข้อ ที่หนักสุดคือซ่องโจร ก่อการร้าย ซึ่งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอทำคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร โดยพนักงานสอบสวนนัดให้มาพบอีกครั้งในวันที่ 20 ก.ย.
“จำลอง” งงถูกยกเป็นหัวหน้าก่อการร้าย
“เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกคนที่ได้รับหมายเรียกในครั้งนี้ในหมายเรียกจะระบุเหมือนกันหมดคือ พล.ต.จำลองพร้อมพวกตำรวจอาจจะเห็นว่าผมมีอาวุโสมากที่สุดเลยยกให้เป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ในอดีตผมเป็นหัวหน้านักเรียนนายร้อย จปร. แต่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้จะกลายมาเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย” พล.ต.จำลองกล่าวและว่า เจ้าหน้าที่อนุญาตให้พาผู้ที่ไว้วางใจมาได้จึงพา พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ อดีตนายทหารราชองครักษ์เวร มาด้วย ดูเอาแล้วกันคนที่ยืนข้างหลังเป็น พล.อ. แต่คนที่ยืนพูดอยู่ข้างหน้าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย
ด้าน พล.อ.กิตติศักดิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยเข้าแจ้งความกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เรื่องถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เวลาล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้วคดีกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงอยากฝากเตือนตำรวจในเรื่องนี้ด้วย
แกนนำ 30 คนโดนอ่วมคนละ 12 ข้อหา
นายสำราญ รอดเพ็ชร หนึ่งในผู้ต้องหา กล่าวว่า คดีนี้แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 1 และรุ่น 2 รวม 30 คน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 12 ข้อหา ซึ่งทุกคนให้การปฏิเสธทั้งหมด
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า แม้จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาร้ายแรงก็ไม่หนักใจ เพราะมั่นใจในพยานหลักฐานว่าสามารถหักล้างข้อกล่าวหาได้หมด โดยเฉพาะข้อกล่าวหาก่อการร้าย
“สนธิ” ยันการชุมนุมไม่ทำให้เสียหาย
“การชุมนุมของพันธมิตรฯไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายเลย เพราะนายเสรีรัตน์ ปศุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้ขึ้นเบิกความต่อศาลแพ่งเองว่าพันธมิตรฯใช้พื้นที่แลนด์ไซส์ ซึ่งเป็นพื้นที่เข้าออกด้านนอก ขณะที่คนของ ทอท. เองยอมรับเรื่องนี้เช่นกัน ข้อกล่าวหาต่างๆจึงเป็นเพียงสิ่งที่เลื่อนลอย เรื่องนี้เป็นเพียงคดีการเมือง เป็นการรับงานจากนักการเมือง ผมและทุกคนที่ตกเป็นผู้ต้องหาพร้อมจะต่อสู้จนถึงที่สุด” นายสนธิกล่าวพร้อมยืนยันว่าจะฟ้องกลับ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน อย่างแน่นอน และจะฟ้องร้องในทันที ไม่รอให้คดีนี้สิ้นสุดก่อน โดยผู้ต้องหาทั้งหมดจะแยกกันฟ้องมี 79 คนก็ฟ้อง 79 คดี และฟ้องในทุกช่องทางที่มี ทั้งศาลปกครอง คดีแพ่ง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้รอขึ้นศาลได้เลย
อ้างมีใบสั่งจากนักการเมือง
นายสนธิกล่าวอีกว่า พล.ต.ท.สมยศอ้างว่าทำตามหน้าที่ แต่ข้อเท็จจริงเป็นการทำตามคำสั่งของนักการเมือง อยากฝากถึงนักการเมืองว่าพวกนี้ไม่เคยจำบทเรียนในอดีต วันนี้มีอำนาจ วันหน้าก็หมดอำนาจได้ ขอเตือนไว้สักวันกรรมจะตามทัน
นายสนธิได้พูดผ่านโทรโข่งกับแนวร่วมที่ตามมาให้กำลังใจว่า “ผมขอพูดเป็นตัวแทน 79 คนที่โดนข้อกล่าวหา เราไม่กลัว การทำงานเพื่อชาติเพื่อเมืองมันต้องมีการถูกกลั่นแกล้ง แต่เชื่อผม คนเราทำดีเพื่อแผ่นดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ถ้าไม่ได้ทำงานเพื่อชาติเพื่อเมืองจะโดนยิง 200 นัดแล้วรอดได้อย่างไร รัฐบาลรู้ว่าใครยิงผมก็รู้ และคนที่ยิงก็นอนไม่หลับ อยากยิงอีก แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นต่อชาติที่พวกพี่น้องรักจริง ไม่เหมือนคนบางคนร่วมงานกับทักษิณแล้วมาร่วมมือประชาธิปัตย์ แล้วมาบอกว่ารักสถาบัน แต่ 4 ปีที่ทักษิณหมิ่นสถาบันกลับไม่ทำอะไรเลย”
เตรียมออกหมายจับพวกที่เหลือ
พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง สรุปการรับรายงานตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาของแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯว่า จากที่ออกหมายเรียกไป 79 ราย เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาครั้งนี้ 59 ราย ขอเลื่อน 6 ราย และมีมารับทราบข้อกล่าวหาไปก่อนหน้านี้แล้ว 5 ราย ส่วนที่เหลือยังไม่ได้ติดต่อพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งสาเหตุที่ยังไม่เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งจะพิจารณาขออำนาจศาลออกหมายจับต่อไป
สรุปสำนวนส่งอัยการได้เดือนหน้า
“ทุกคนที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาให้การปฏิเสธทั้งหมด และขอใช้สิทธิให้การในชั้นศาล จากนี้ไปจะเร่งทำสำนวนให้เสร็จเพื่อส่งอัยการ ซึ่งตอนนี้คืบหน้าไปกว่า 90% แล้วก่อนสิ้นเดือน ก.ย. น่าจะส่งอัยการได้แน่นอน” พล.ต.ท.สมยศกล่าวพร้อมยืนยันว่า การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามหน้าที่และตามขั้นตอนของกฎหมาย หากผู้ต้องหาคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจะฟ้องกลับก็เป็นสิทธิ แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกว่าขอบเขตของอำนาจหน้าที่
ยันไม่มีใบสั่งจากนักการเมือง
ส่วนกรณีที่นายสนธิอ้างว่ามีการเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำคดีนั้น พ.ต.ท.สมยศยืนยันว่า ตั้งแต่เข้ามารับช่วงทำคดีนี้ต่อจากผู้รับผิดชอบคนเก่าไม่เคยได้รับการติดต่อจากนักการเมือง หรือมีนักการเมืองรายใดมาสั่งการให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ การทำคดีนี้พนักงานสอบสวนทำในรูปของคณะกรรมการที่มีการประชุมกันตลอดเวลา ขอให้เห็นใจตำรวจด้วย เพราะถ้าไม่ทำจะถูกแจ้งข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
“การถูกแจ้งข้อกล่าวหาจำนวนมากอาจทำให้กระทบความรู้สึกว่าโดนหนักไป แต่ขอให้เข้าใจว่าเราทำตามกฎหมาย เรื่องนี้เมื่อส่งสำนวนถึงอัยการแล้วอัยการอาจสั่งไม่ฟ้องก็ได้ หากเห็นว่าพยานหลักฐานอ่อนเกินไป” ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อมีการแจ้งข้อหาก่อการร้ายต้องโอนคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือไม่ พล.ต.ท.สมยศกล่าวว่า เรื่องนี่อยู่ที่รัฐบาล จะให้ฝ่ายปฏิบัติเป็นคนเสนอไม่ได้ ต้องให้ผู้คุมนโยบายเป็นผู้กำหนด
**********************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น