ที่มา.บางกอกทูเดย์
พล.อ.อนุพงษ์-อภิสิทธิ์
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยกเลิกต่างจังหวัดพอไหว
เพราะการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นอำนาจเผด็จการทางทหาร
ยิ่งลากยาวนานไปเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ประเทศไทยถูกต่างประเทศมองในแง่ลบมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเมื่อวันนี้อยากจะสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง แล้วจะมามัวพึ่งพิงอำนาจเหนือกฎหมายปกติต่อไปอีกทำไม...
นี่คือแรงกดดันสำคัญที่สุดที่ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถที่จะแก้ต่างอะไรได้เต็มปากเต็มคำ ตราบเท่าที่ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปเรื่อยๆเช่นนี้
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรี จำเป็นต้องมีการผ่อนลมออกจากลูกโป่ง ก่อนที่ลูกโป่งจะระเบิด ด้วยการทยอยยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปทีละ 2-3 จังหวัด โดยยังคงเหลือพื้นที่ซึ่งเป้นไข่แดงเอาไว้ อย่างเช่น พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า จะกลายเป้นจุดอ่อนในแง่ภาพลักษณ์ของรัฐบาล ของนายอภิสิทธิ์ และของกองทัพ ก็ตาม
ดังนั้นท่าที ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่พูดถึงการทยอยยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่าเป็นการพิจารณามาจากหลายหน่วยงานที่เสนอให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเมินผล คิดว่าจะมีการเสนอเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งฝ่ายที่รวบรวมประเมินผลเป็นหน้าที่ สมช. ซึ่งเห็นว่าจะมียกเลิกเพิ่มเติมอีก 2-3 จังหวัด
ที่น่าสนใจก็คือ ประเด็นที่ว่าการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะสามารถสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดมากขึ้นหรือไม่นั้น แม้แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ยังเห็นด้วยว่าต้องมีส่วนไม่มากก็น้อย
“เพราะหลายคนเห็นว่ากฎหมายนี้ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เมื่อมีคนคิดเช่นนั้นแล้วเรายกเลิกก็ต้องเป็นคุณ แต่การจะเอาคำตอบจากตนคนเดียวว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยคงไม่ใช่ เพราะมีฝ่ายปกครอง ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายเจ้าหน้าที่หลายส่วน ต้องฟังความเห็นร่วมกัน ซึ่งการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะทำให้คนที่อยากให้ยกเลิกสบายใจขึ้น”
อย่างไรก็ตามท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ ยังคงกังวลลึกๆกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยอ้างว่าการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำได้ภายใต้กรอบกฎหมาย ซึ่งการกระทำภายใต้กฎหมายยอมรับ และความคิดของทุกคนชาติยอมรับในความเคลื่อนไหวที่บริสุทธิ์ใจและเป็นไปตามกฎหมาย และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนอื่นไม่เป็นไร ถือเป็นประชาธิปไตยทางตรง
ส่วนที่ว่าเห็นควรจะพิจารณายุบ ศอฉ.เมื่อใดนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ออกตัวว่า เข้าใจว่าถ้ายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหมด ศอฉ.ก็คงจบ หรือหากศอฉ.ทำงานคั่งค้างให้หมดแล้วคงจบ
“แต่ยังไม่มีการคุยกัน และ ยังไม่มีใครตั้งประเด็นนี้ขึ้นมา”
สะท้อนชัดว่า จนถึงวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลเท่านั้น ที่ลึกๆแล้วยังไม่อยากสูญเสียกลไกหรือเครื่องไม้เครื่องมือในการกุมอำนาจเอาไว้ก่อน จนกว่าจะมีความมั่นใจว่าสามารถสยบความเคลื่อนไหวต่างๆได้หมดแล้วจริงๆ จึงค่อยมาว่ากันอีกที
เพราะจนถึงวินาทีนี้ กอ.รมน.ยังคงถูกส่งออกไปปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนกับประชาชนในพื้นที่อยู่ตลอด ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผยว่า เท่าที่ประเมินจากการรายงานที่ส่งมาพบว่า ประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้น
“เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเอาข้อเท็จจริงลงไป ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าฝ่ายใดไม่มีโอกาสทำอย่างอื่น นอกจากเสนอความจริงให้คนในชาติรับรู้ว่าเป็นอย่างไร ไม่มีโอกาสพูดสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะมีผลโดยตรงในความรับผิดชอบโดยตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ ดังนั้นมีโอกาสอย่างเดียวในการเสนอความเป็นจริงชี้แจงว่าอะไรเป็นอะไร ประชาชนมีสิทธิ์รู้ความเป็นจริงซึ่งได้ผล”
แบบนี้ก็แปลว่า กำลังทหารยังคงพยายามกระชับพื้นที่ในหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
เท่ากับว่า ตามใดที่ยังไม่มีความมั่นใจ เชื่อขนมกินได้เลยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คงจะใช้เป็นยันตร์ป้องกันตัวไปอีกระยะยาวแน่ๆ
เพราะยิ่งหากดูท่าทีของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ระบุว่าหลังจากยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ จ.เชียงราย เชียงใหม่ และอุบลราชธานี ไปแล้ว ในส่วนอีก 7 จังหวัดที่เหลือนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา
โดย ศอฉ.พยายามประเมินสถานการณ์ตามสภาพที่เป็นจริง
แต่จะสนองตอบต่อนโยบายของนายกรัฐมนตรีได้รวดเร็วแค่ไหนก็จะทำตามนั้น
“อย่างไรก็ตามก็ต้องระมัดระวังเรื่องผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย”นายสุเทพระบุ
ส่วนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ออกมาระบุว่านอกเหนือจาก 3 จังหวัดที่เพิ่งยกเลิกไปแล้วยังมีแนวโน้มว่ายังมีอีก 3 จังหวัด ที่จะสามารถประกาศยกเลิกได้อีก นายสุเทพ อ้างว่า ก็คิดอยู่ตลอดเวลา
สำหรับปัญหาของกรุงเทพฯ ที่ถือเป็นศูนย์กลาง แต่ทำไมไม่พิจารณาให้ชัดว่าจะยกเลิกพ.ร.ก.หรือไม่อย่างไร เพราะต่างชาติเองก็ยังมองด้วยความเป็นห่วง ว่าทำไมจึงใช้กฎหมายปกติดูแลไม่ได้ ซึ่งนายสุเทพ ออกตัวว่า เมื่อต่างชาติมองก็ต้องเอามาคิด
“แต่ถ้าเรามองกันเองก็ยิ่งต้องให้ละเอียดลึกซึ้งไปอีก ต้องดูว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการก่อความไม่สงบ ทำให้เกิดปัญหาในกรุงเทพฯ กระทบต่อบ้านเมืองโดยส่วนรวมมาก การที่จะเลิกหรือไม่เลิก พ.ร.ก.ต้องคิดให้รอบคอบเป็นพิเศษ”
สำหรับกระแสที่ว่าจะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในกรุงเทพฯ ไว้จนถึงสิ้นปีโน่นเลย นายสุเทพบอกเพียงว่า ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นเมื่อนั้นเมื่อนี้ แต่เมื่อไหร่ที่มั่นใจว่าสามารถดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยได้ ก็จะตัดสินใจ
สอดคล้องกันเป็นอย่างดีกับท่าทีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่พูดชัดเจนว่า ในส่วนของกรุงเทพฯ คงมีความเป็นไปได้ยากที่จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของหลายๆอย่าง
แม้จะยอมรับว่าการที่จะบอกให้ทุกพื้นที่หมดความเคลื่อนไหวเลย แล้วค่อยยกเลิก พ.ร.ก. คงเป็นไปได้ยาก เพราะอย่างไรก็ตามบ้านเมืองต้องกลับเข้าสู่ภาวะที่สามารถใช้กลไกและกฎหมายปกติได้ หากตรงไหนเจ้าหน้าที่มีความพร้อม สถานการณ์มีความสงบมากขึ้น แม้จะมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองบ้าง แต่ไม่ใช่การใช้ความรุนแรงก็จะยกเลิก
อย่างในจ.เชียงใหม่ และจ.เชียงราย ก็มีการร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบทางลบต่อเรื่องการท่องเที่ยวด้วย จึงต้องพิจารณายกเลิก
“พื้นที่ที่ยังยากที่สุดคือกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะทยอยยกเลิกต่อไป” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนที่มีมีการตั้งข้อสังเกตุว่า สาเหตุที่รัฐบาลทยอยยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดต่างๆ ก็เพียงเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการใช้เป็นข้ออ้างในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกทม. และปริมณฑลไว้ข้ามปี... ใช่หรือไม่???
เล่นเอานายอภิสิทธิ์ถึงกับหลุดประโยคที่ว่า
“ทำไมล่ะครับ ผมยังไม่เข้าใจตรรกะ เราดูตามความเป็นจริง”
พร้อมกับปฏิเสธถึงกรณีของ กทม. ที่ถูกมองว่ามีโอกาสจะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ ว่าจนถึงขณะนี้เพิ่งต่อไปครั้งเดียว และหลายจังหวัดก็ได้ทยอยยกเลิกก่อนครบกำหนด รัฐบาลไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องต่ออายุกี่รอบ
“เราต้องการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตรงไหนมีความพร้อมก็ยกเลิก ตรงไหนยังมีปัญหา และเจ้าหน้าที่ต้องการเครื่องมือ ก็ต้องคง พ.ร.ก. เอาไว้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ยอมรับว่าในส่วนของกรุงเทพฯ มีความเป็นไปได้ยากที่จะยกเลิก”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ฉะนั้นจากท่าทีทั้งหมด ประมวลออกมาได้อย่างชัดเจนว่า ในส่วนของพื้นที่ต่างจังหวัด ทางรัฐบาลก็คงจะผ่อนปรน ลดแรงกดดันไปเรื่อยๆ ทยอยปลดล็อกให้
แต่สำหรับกรุงเทพฯนั้น คงต้องรอกันอีกนาน เพราะทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ศอฉ. เป็นสิ่งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะขาดไปไม่ได้เลย
ตราบเท่าที่ผลโพลลับๆยังคงยืนยันตรงกันว่า เลือกตั้งเมื่อไหร่ พรรคเพื่อไทยจะได้เสียง ส.ส.เป็นอันดับ 1
งานนี้เมื่อยังไม่อยากให้ความพ่ายแพ้ปรากฏ ก็ต้องยื้อลากยาว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปเรื่อยๆก่อนนั่นแหละ
เพราะนี่คือเกมการเมืองแบบไทยๆ สไตล์ประชาธิปัตย์ นั่นเอง!!!
***************************************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น