--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ย้ายเพราะเงินแต่อ้างประชาชน แบบนี้สังคมต้องช่วยกันสั่งสอนให้รู้สำนึก

ไทยโพสต์
บทบรรณาธิการ

เกทับกันไปมาระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ภูมิใจไทย เพื่อแผ่นดิน ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ต่อการย้ายพรรคย้ายสังกัดของบรรดาเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย ที่แม้จะไม่ถึงกับฝุ่นตลบแต่ก็สร้างความคึกคักให้กับแวดวงการเมืองไม่น้อยในช่วงที่การเมืองหลายอย่างดูจะแน่นิ่งไปหมด และยังไม่มีทีท่าว่าจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหญ่เลยแม้แต่น้อย ดังนั้น การเปิดตัวของพรรคการเมืองอย่างพรรคภูมิใจไทยที่โชว์พลังดูด ส.ส.ต่างพรรครวมถึงแกนนำกลุ่มก๊วนการเมืองและอดีตรัฐมนตรีมาเข้าพรรคภูมิใจไทยจึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจอย่างมาก

ท่ามกลางกระแสข่าวและการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้กันไปต่างๆ โดยที่แท้จริงแล้วไม่ใช่แค่พรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แต่ก็มีหลายพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ก็มี ส.ส. ต่างพรรค หรืออดีต ส.ส.มาติดต่อขอย้ายเข้าพรรคเช่นกัน บนเหตุผลและการตัดสินใจของนักการเมืองที่ย่อมแตกต่างกันไปตามปัจจัยการเมืองของแต่ละคน

ไม่ว่าจะเป็นการย้ายพรรคเพราะเห็นว่าพรรคใหม่ที่จะย้ายไปด้วยมีอนาคตที่ดีกว่า มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล หรือมีเงินสนับสนุนทางการเมือง ให้ดีกว่าทั้งเงินรายเดือนหรือเงินเพื่อนำใปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่โดยสรุปแล้วจะพบว่านักการเมืองไทยส่วนมากจะย้ายพรรคเพราะผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งพรรคใหม่ให้ดีกว่าพรรคที่สังกัดอยู่ในปัจจุบันมีเพียงส่วนน้อยมากที่ย้ายพรรคเพราะเห็นว่าแนวทางการเมืองของตนเองกับพรรคที่สังกัดอยู่ไปด้วยกันไม่ได้ อุดมการณ์การเมือง หรือแนวคิดการทำการเมืองแตกต่างกัน

การย้ายพรรคของนักการเมืองจึงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับประชาชนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งนักการเมืองบางคนเรียกได้ว่าย้ายพรรคทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจนประชาชนในพื้นที่ยังจำไม่ได้แล้วว่าอยู่พรรคการเมืองไหน เพราะนักการเมืองเหล่านี้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่เลือกคนไปเป็น ส.ส. เพราะความนิยมส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวกับพรรคการเมือง

ดังนั้น พวกนักการเมืองเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้ยึดติด หรือคิดจะร่วมกันสร้างพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองอย่างแท้จริง แต่คิดจะหาประโยชน์จากการย้ายพรรคเรี่อยไปเสมือนกับการเร่ขายประมูลตัวกัน พรรคไหนให้ราคาที่ดีกว่า จ่ายเงินอุดหนุนในการเลือกตั้งดีกว่า หรือจะให้ผลประโยชน์การเมืองที่ดีกว่าเช่น เก้าอี้รัฐมนตรี ตำแหน่งทางการเมือง เมื่อตกลงกันได้ ก็ทำการย้ายพรรค เร่ขายตัวกันเรื่อยไป แล้วปากก็อ้างว่าที่ย้ายพรรคเพราะอุดมการณ์ของตนเองกับพรรคที่สังกัดเดิมไปด้วยกันไม่ได้ หรือประชาชนในพื้นที่เรียกร้องให้ย้ายพรรค แต่แท้ที่จริงแล้วก็คือย้ายเพราะ "เงิน-ผลประโยชน์" ล้วนๆ แต่ทำปากดีเอาประชาชนมาอ้างเพื่อหากินไปวันๆ

แต่ยังดีที่ระยะหลังประชาชนเริ่มมีความรู้และความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น ไม่ได้เลือก ส.ส. เพียงเพราะความคุ้นเคยจากรูปแบบเดิมๆ เช่น มาร่วมงานบวช งานแต่งงาน ของประชาชนในพื้นที่ แต่งานในสภาผู้แทนราษฎรไม่ทำ หรือไม่สนใจประชาชน ไม่สนใจในการพัฒนาพื้นที่เลือกตั้ง พอเลือกตั้งทีหนึ่งก็เอาเงินใส่ซองมาซื้อเสียง ทำให้ระยะหลังเริ่มเห็นได้ชัดว่าบรรดา ส.ส.ที่ย้ายพรรคบ่อยๆ แม้จะมีข้อจำกัดต่างๆ

เช่น คุณสมบัติของผู้ลงสมัคร ส.ส. ในการสังกัดพรรคการเมืองที่มีระยะเวลาแน่นอน ทำให้การย้ายพรรคทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทำได้ยากขึ้น แต่ก็ยังมี ส.ส.-อดีต ส.ส.หลายคนหาช่องว่างจากกฎหมายทำการย้ายพรรคได้ตลอด แต่เมื่อประชาชนมีความรู้ความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น การเลือก ส.ส.ก็เปลี่ยนไป ทำให้นักการเมืองที่ย้ายพรรคบ่อยๆ และย้ายแบบไม่มีเหตุผล ย้ายเพราะผลประโยชน์ที่ตัวเองได้ฝ่ายเดียวส่วนรวมไม่ได้ก็พาสอบตกกันเป็นจำนวนมากปีละครั้ง อันถือเป็นการสั่งสอนพวกนักการเมืองได้เป็นอย่างดี

ดังนั้น แม้ตอนนี้ประเมินแล้วคาดว่าจะเหลือเวลาอีกนานกว่าจะยุบสภา แต่ก็เชื่อว่าการย้ายพรรคของพวกนักการเมืองก็คงเกิดขึ้นเรื่อยๆ อันถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากประชาชนเห็นว่านักการเมืองคนไหนเป็นพวกขายตัว ย้ายพรรคโดยไม่มีเหตุผล ไม่ได้ย้ายพรรคเพราะเห็นว่าพรรคที่อยู่เดิมสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติ ทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้ แต่ย้ายเพราะตัวเองได้ประโยชน์ ถ้าเป็นแบบนี้ประชาชนไม่ว่าจะเป็นเขตเลือกตั้งไหนจะช่วยกันสั่งสอน เช่น ไม่เลือกเข้าไปเป็น ส.ส. แบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าจะดีไม่น้อย.

*****************************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น