--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"อดัม คาเฮน" ถอดชนวนการแตกหัก ผนึก "อำนาจ -ความรัก" กฎสำคัญ 7 ประการ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันจันทร์ ที่ผ่านมา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรมีการจัดงานเสวนาในหัวข้อ "เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน"โดยสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิดอกไม้และนกกระดาษเพื่อสันติภาพสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรมสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถานีโทรทัศน์ทีวีไทยสมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร บริษัทไทยประกันชีวิต คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน

นายอดัม คาเฮน กล่าวว่า ตลอดการทำงาน 20 ปีเพื่อถอดบทเรียนความขัดแย้งจากสถานการณ์ต่างๆ นั้น ได้พยายามหาคำตอบง่ายๆจากคำถามหนึ่ง คือเราจะแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและมีความขัดแย้งที่สุดด้วยวิธีที่สันติได้อย่างไรซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมามีการลองผิดถูกมาเป็นจำนวนมากและได้พบกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ โดยสิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้คือการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์แล้วคะเนสถานการณ์อนาคตต่อไปว่าหลังจากนี้อาจจะเกิดอะไรขึ้นได้อีกบ้างด้วยวิธีที่เรียกว่าห้องปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลง

"ผมได้เริ่มทำงานในบริษัทเชลล์ซึ่งเป็นบริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่โดยขณะที่ร่วมทำงานนั้นเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ซึ่งกระทบต่อตลาดน้ำมันโดยตรงทางบริษัทจึงกลับมาคิดว่าควรทำอะไรบางอย่างเพื่อตีความสถานการณ์และแก้ปัญหาอย่างสมเหตุสมผลทั้งนี้ท้ายที่สุดแล้วได้ค้นพบว่าเราต้องตอบคำถามที่เจาะจงในเรื่องราวต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีเกณฑ์และความเกี่ยวโยงอย่างท้าทายและแจ่มชัด"

จากนั้นได้เข้ามาแก้ปัญหาในแอฟริกาใต้โดยประยุกต์จากแผนงานของเชลล์ ซึ่งสถานการณ์ในขณะนั้นมีความวุ่นวายเกิดการจราจล กระทั่งคนในแอฟริกาใต้ตระหนักและกังวลทั้งนี้การแก้ปัญหาในขณะนั้นมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาประกอบด้วยทุกภาคส่วนในสังคม อาทิ นักวิชาการ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลซึ่งทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผิวขาวหรือผิวดำก็มาร่วมกันแก้ปัญหาผ่านกระบวนการจำลองสถานการณ์ในอนาคต หรือที่เรียกว่า Scenarios

ขณะนั้นมีการตั้งคำถามกันว่าอะไรอาจจะเกิดขึ้นมาได้บ้างและจะจบประเด็นพิพาทตรงนี้ได้หรือไม่อย่างไร โดยในตอนนั้นมีการสรุปผลว่าหากเป็นรัฐบาลผิวขาวก็จะเป็นสถานการณ์นกกระจอกเทศคือรัฐบาบาลจะมุดหัวลงไปในทราย ไม่ยอมฟังอะไรแต่สุดท้ายแล้วก็จะต้องโงหัวขึ้นมาและพบกับปัญหาในที่สุด แต่หากเป็นรัฐบาลผิวดำ ก็จะกระทบต่อคนผิวขาวกระทบต่ออำนาจและเศรษฐกิจซึ่งหากพิจารณาโดยสภาพการณ์แล้วก็จะกลายเป็นเป็ดป่วย เป็ดที่ไม่พร้อมขาหักปีกหัก ซึ่งจะเหมือนอิคะเริส เทพปกรณัมของกรีกที่เอาปีกมาจากนกนางนวล แล้วติดปีกด้วยขี้ผึ้งเมื่อโดนแสงอาทิตย์ก็หลุดลงมา ไม่ประสบผลสำเร็จในที่สุด

"หากกระบวนการเปลี่ยนผ่านเร็วเกินไปก็จะไม่ได้ผลถามว่าถ้ามีรัฐบาลแล้วจะยั่งยืนหรือไม่เพราะตอนนี้รัฐบาลไม่สามารถจัดการสถานการณ์ได้และถ้าเอาเงินของคนรวยไปให้คนจน เอาเงินผิวขาวไปให้ผิวดำก็แก้ปัญหาไม่ยั่งยืนสุดท้ายทุกอย่างก็จะพังทะลายพินาศยับเยิน"

การแก้ปัญหาของเมลสันแมนดาร่ามีทั้งคนคาดการณ์ว่าสำเร็จและผิดพลาดแต่สุดท้ายแล้วจะเห็นว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้น เริ่มมาจากการบินช้าๆอย่างมีกระบวนการ เป็นการบรรลุผลช้าๆ อย่างต่อเนื่องซึ่งแม้ว่าคณะทำงานต่างๆ จะมีความขัดแย้งไม่ลงรอยกันแต่ก็สามารถร่วมทำงานในเชิงสร้างสรรค์กันได้

"มีการพูดเล่นๆ ในตอนนั้นว่าแอฟริกามีทางเลือกสำหรับแก้ปัญหา 2 ทาง 1.เชิงปฏิบัติคือให้ทุกคนคุกเข่าอ้อนวอนให้เทวทูตมาช่วยแก้ปัญหา 2.เชิงปาฏิหาริย์คือต้องหาทางเดินไปร่วมกันซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือการทำงานในเชิงปาฏิหาริย์"

หลักการแก้ปัญหานั้นเมื่อพูดถึงปัญหาที่ซับซ้อน จำเป็นต้องแก้ไขเชิงพลวัตคือแม้ว่าเหตุผลจะกระจัดกระจายแต่สุดท้ายก็ยังเชื่อมโยงกันอยู่ดังนั้นต้องค่อยๆ แก้ทีละอย่าง มองการแก้ปัญหาเป็นรายประเด็นแต่ใช้วิธีการแก้เป็นองค์รวมส่วนความซับซ้อนเชิงสังคมที่เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคลและสถานการณ์ต้องเข้าใจว่าไม่สามารถใช้กำลังมาแก้ไขได้ต้องนำผู้ที่มีส่วนได้เสียเข้ามาด้วยการใช้กระบวนการการมีส่วนร่วม

สถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนมากสามารถใช้ประสบการณ์จากอดีตมาศึกษาได้แต่หากมีความซับซ้อนมาก จำเป็นต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลารวมทั้งต้องร่วมมือกันอย่างเป็นระบบเพราะไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวคนเดียวได้

" ผมมีโอกาสได้เข้าไปร่วมแก้ปัญหาในประเทศกัวเตมาราซึ่งมีสถานการณ์ความขัดแย้ง สงครามกลางเมืองซึ่งหลังจากสถานการณ์สิ้นสุดลงหลายฝ่ายมีการพูดคุยกันว่าจะบูรณประเทศอย่างไรซึ่งขณะนั้นมีการดึงทุกภาคส่วน ทั้ง ฝ่ายนักการเมือง ประชาชน นักวิชาการทหาร เข้ามาร่วมห้องปฏิบัติการเชิงสังคมมีการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อดำเนินกิจกรมและแลกเปลี่ยนความรู้กัน"

สิ่งจำเป็นในการแก้ปัญหาคือต้องหยั่งรู้ หรือรับรู้เชิงลึกซึ้งโดยเฉพาะกระบวนการฟังและการพูดทั้งนี้หากเปลี่ยนวิธีการฟังก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและผลการทำงานได้ทั้งนี้การพูดอาจจะแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือการพูดลักษณะดึงข้อมูลออกมาพูดซ้ำๆ ซึ่งก็จะไม่มีอะไรใหม่และการอภิปราย ที่พัฒนาขึ้นแต่ก็เป็นการพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดเท่านั้นและก็จะไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่เช่นกัน

"สองวิธีนี้เป็นเพียงการผลิตซ้ำในสิ่งที่รู้อยู่แล้วและจะได้สัจพจน์เดิมๆ ดังนั้นต้องปรับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งคือการสานเสวนาซึ่งไม่ใช่แค่บอกว่าตัวเองคิดอะไรอยู่แต่ต้องพยายามอธิบายให้คนฟังเข้าใจว่า ทำไมถึงคิดแบบนี้ความคิดเหล่านี้มาจากไหน ส่วนการฟังก็ต้องใส่ใจที่จะฟังในทุกรายละเอียดไม่ใช่ฟังเพื่อตัดสินว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยแต่ต้องพยายามสร้างความเข้าใจว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น"

สิ่งสำคัญคือจำเป็นต้องสร้างผัสสะร่วมให้เกิดขึ้นเพราะเมื่อทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกันก็จะรับรู้การเปลี่ยนแปลง เข้าใจโลกเป็นส่วนหนึ่งของโลกซึ่งทำให้เปิดจิตเปิดใจเปิดโอกาสในการทำงานร่วมกันได้

แม้การสานเสวนาจะมีการพัฒนาขึ้นแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมดตัวอย่างเช่นในกัวเตมารายังมีเอ็นจีโอที่ประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมสานเสวนาอีกแล้วเนื่องจากรัฐบาลพยายามกดดันให้ยุติการชุมนุมประท้วงนั่นเป็นเหตุให้จำเป็นต้องกลับมาคิดว่ายังมีอะไรผิดพลาดหรือนอกเหนือการสานเสวนาเพื่อยุติปัญหา

สิ่งที่พบคือปัจจัยมูลฐานสำหรับแก้ปัญหาต้องมี 2 ประการคือ 1.ด้านจิตใจหรือ Love ซึ่งเป็นสิ่งช่วยเชื่อมประสานรอยร้าวได้ดีที่สุด2.พลังขับเคลื่อน หรือ Powerที่เป็นพลังขับเคลื่อนสรรพชีวิตให้บรรลุผลสูงสุดได้โดยทั้งสองส่วนต้องผลึกเข้ากัน ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้

"ความสันติและการรับมือกับประเด็นความซับซ้อนในสังคมจะเกิดขึ้นได้จากการบวนการแก้ไขอย่างเป็นระบบ การมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การสานเสวนา การสร้างผัสะร่วมและการผนึกความรักและอำนาจเข้าร่วมกัน"

สำหรับปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทยนั้น ผมเพิ่งมาถึงประเทศไทยเพียงสี่วันและคิดว่าไม่ใช่เวลาเพียงพอจะเข้าใจสถานการณ์ในเมืองไทยอย่างชัดแจ้งคงไม่เหมาะที่จะวิเคราะห์หรือให้คำแนะนำทั้งหมดแต่จากประสบการณ์จากที่อื่นๆได้ตั้งข้อสังเกตและคาดว่าสถานการณ์ของประเทศไทยมีความซับซ้อนในหลายๆด้าน และเพิ่มพูนขึ้นมา จนถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเหลืองหรือแดงแต่เป็นเรื่องความหลากหลาย เราต้องเข้าใจเรื่องตัวปัญหาซึ่งความขัดแย้งระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คุมกำลังผู้มีอำนาจหรือนักวิชาการมาแก้ปัญหาได้ง่ายๆแต่ต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกันแก้ปัญหา

"วิธีแก้ไม่ใช่ใช้อำนาจหรือปราบปรามใครคนใดคนหนึ่งแต่ต้องพยายามสร้างสรรค์กระบวรการผ่านรัฐ โดยใช้ความรักแต่ความรักก็ไม่ใช่แค่ยื่นดอกกุหลาบ แต่ต้องมีความรักเชิงสมานฉันท์สร้างความเชื่อมโยง และบรรเทาประเด็นต่างๆ ได้ไม่น้อยนอกจากนี้ยังตองสร้างเอกภาพ ยอมรับการสูญเสียที่เกิดขึ้น"

อดัมสรุปผลการสัมมนาไว้ 7 ประการ ดังนี้

1.ทราบว่าพื้นฐานที่คิดว่าจะรู้สึกในช่วงการสนทนาเบื้องต้นคุณค่าหรือค่านิยมในการพิจารณาประเด็นต่างๆ เป็นเรื่องที่ดีทราบถึงจุดเชื่อมโยงต่างๆ ได้คุยกับคนที่ไม่เคยได้คุยเลยถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากในการสานเสวนาซึ่งถือเป็นจุดประสานระหว่างความรักและพลังการขับเคลื่อน

2.สิ่งต่างๆ ไม่มีสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องศึกษาให้ละเอียดว่าการแก้ปัญหาใดสำเร็จหรือล้มเหลวและต้องสร้างการมีส่วนร่วม

3.การขยับพัฒนาการจนถึงขั้นสานเสวนา เป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ไม่ง่ายปริภูมิหรือทิศต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาด้วยจะสร้างปริภูมิอย่างไร หรือสร้างสมรรถนะอย่างไร

4.ถ้ามีคนไม่อยากคุยจะทำอย่างไรจำเป็นต้องหาวิธีการกระตุ้นให้คนพูดคุยมากกันขึ้น อย่างประเทศโคลัมเบียซึ่งมีกองโจรผิดกฎหมายมาก แต่ต้องให้เขาได้รับรู้ จึงได้มีการถ่ายทอดสดและมีการเปิดสายให้พูดคุยมีกองโจรโทรศัพท์เข้ามาถามว่าต้องหยุดยิงปืนด้วยหรือไม่หากมีการร่วมสานเสวนา เราตอบไปว่า ไม่มีข้อตกลงเบื้องต้นใดๆเพียงแต่ต้องการเข้ามาพูดคุยกัน ไม่ต้องหยุดยิงก็ได้

5.การแก้ปัญหาความซับซ้อนอย่างเป็นระบบ หากบอกว่าสิ่งนี้ถูกนอกเหนือจากนี้ผิด นั้นเป็นประเด็นที่สำคัญ ต้องดึงและมองหลากหลายส่วนทั้งมุมรากหญ้าด้วย ต้องมองให้เห็นช้างทั้งตัวพร้อมๆ กันไม่ใช่มองส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้สื่อมวลชนยังช่วยผลักดันด้วย

6.ไม่เห็นด้วยเต็มที่กับประเด็นว่าต้องเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพราะประโยชน์ส่วนบุคคลไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่เราต้องทำงานด้วยอำนาจและความรักดังนั้นเอกภาพที่ไม่เคารพเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลก็ไม่สมบูรณ์นัก

7.ต้องใช้เวลา เพราะไม่มีสิ่งวิเศษใดที่จะพัฒนาได้ทันทีนั่นถือเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาอย่างน้อยๆ หลายเดือนอนาคตของประเทศไทยไม่ได้สร้างด้วยฝรั่ง 2 คนแต่มาจากที่ทุกคนที่จะคงเห็นคำตอบจากตัวของท่านเอง

************************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น