มติชนออนไลน์
โดย วันชัย ตัน
คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า "ความตายเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาเพื่อให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวด ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย อาจเป็นความรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ แล้วเราก็หยิบสิ่งที่ธรรมชาติให้มาหยุดยั้งความเจ็บปวดนั้น"
แล้วอะไรที่ทำให้พี่สืบเจ็บปวดหัวใจขนาดนั้น
.............
ต้นฤดูฝนที่ผ่านมา ผมเดินทางกลับไปอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกครั้งหนึ่งในรอบหลายปี พร้อมกับพรรคพวกหลายสิบคนที่อยากมาตามรอยอดีตข้าราชการกรมป่าไม้คนหนึ่ง
สำหรับหลายคน เขื่อนเชี่ยวหลานอาจจะเป็นสถานท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพแปลกตา เห็นเกาะหินปูนรูปร่างแปลกอยู่กลางอ่างเก็บน้ำ ราวกับทะเลสาบกุ้ยหลินของเมืองจีน
แต่สำหรับผมแล้ว การไปเขื่อนเชี่ยวหลานครั้งแรกของผมเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เป็นภาพที่อยู่ในใจไปตลอดชีวิต เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ สืบ นาคะเสถียร
ผมดั้นด้นไปตามหาสืบ นาคะเสถียร กลางอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน เมื่อได้ทราบว่าเขาเป็นหัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในการช่วยชีวิตสัตว์ป่าที่หนีตายจากน้ำท่วมไปติดค้างอยู่ตามต้นไม้และเกาะกลางอ่างเก็บน้ำภายหลังการสร้างเขื่อน
ผมจำได้แม่นยำว่า วันหนึ่งขณะที่เราผูกเรือกับตอไม้กลางทะเลสาบ เพื่อช่วยชีวิตชะนีตัวหนึ่ง ปรากฏว่างูจงอางสีดำมะเมื่อมขนาดลำข้อมือ ยาวร่วม 3 เมตรพุ่งทะยานออกมาจากโพรงในตอไม้ ทุกคนบนเรืออ้าปากค้างด้วยความตกใจ และโล่งอกเมื่องูจงอางพุ่งลงน้ำ
"ตามมันไป จับมันให้ได้" พี่สืบบอกพวกเรา และเมื่อเราช่วยกันใช้สวิงจับงูขึ้นมาบนเรือแล้ว คราวนี้ทุกคนหันหน้ามามองกันเลิกลั่ก ใครจะเสี่ยงตายเป็นคนจับงูพิษยัดใส่กระสอบ...ยังไม่ทันไรพี่สืบใช้มือกดหัวจงอาง เจ้าจงอางใช้เขี้ยวพิษกัดสวิงอย่างแรงพร้อมทั้งปล่อยน้ำพิษสีเหลืองใสๆ ไหลเยิ้มออกมาจนหมด จับมันใส่ถุงกระสอบ ใช้เชือกผูกมัดแน่นหนา
ผมเดินไปพูดกับพี่สืบว่า ไปเรียนจับงูมาตั้งแต่เมื่อใด พี่สืบบอกว่า "ผมก็เพิ่งหัดจับงูพิษเป็นครั้งแรกในชีวิต" ผมนับถือน้ำใจของพี่สืบที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานเต็มที่ แกมีลูกน้องหลายคน แต่เมื่อต้องเสี่ยงอันตราย พี่สืบออกหน้ารับเอง
หลังจากนั้นเราก็มีโอกาสพบกันสม่ำเสมอในงานต่างๆ โดยเฉพาะการรณรงค์คัดค้านการสร้างเขื่อนน้ำโจน ที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่พี่สืบเป็นแกนนำในการคัดค้านอย่างแข็งขันแม้ว่าจะเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ และเขาขึ้นไปพูดตามเวทีสาธารณะต่างๆ จนคนทั่วไปรู้จักสืบดี เพราะทุกครั้งสืบจะพูดออกมาจากหัวใจ โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า "วันนี้ผมขอพูดในนามของสัตว์ป่าทุกตัว เพราะพวกเขาพูดเพื่อตัวเองไม่ได้"
ปลายปี 2532 พี่สืบเล่าให้ผมฟังว่า กำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต คือพี่สืบได้รับทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในขณะเดียวกันทางผู้ใหญ่ก็สั่งให้ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่ตอนนั้นแทบจะไม่มีใครรู้จัก
หากเป็นคนทั่วไป ก็คงจะเลือกการไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่สำหรับพี่สืบแล้ว เขารู้ดีว่าป่าห้วยขาแข้งมีความสำคัญอย่างไร หากปกป้องไม่ได้ ป่าด้านตะวันตกของเมืองไทยก็คงพินาศ
ไม่กี่ปีต่อมา ข้าราชการกรมป่าไม้ตัวเล็กๆ ผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลในตำนาน ภายหลังการยิงตัวตายในป่าห้วยขาแข้ง และเหนืออื่นใด ความตายของเขาได้สั่นสะเทือนผู้คนในสังคมไทยที่ทราบข่าวอย่างรุนแรง
มีผู้คนมากมายพากันตั้งคำถามว่า เหตุใดหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จึงตัดสินใจยิงตัวตาย
วันที่ผมไปรอรับศพพี่สืบที่นำมาจากป่าห้วยขาแข้ง เอามาตั้งไว้ที่วัดมหาธาตุบางเขน จำได้ดีว่าวันแรกไม่มีศาลาว่าง ต้องฝากโลงเอาไว้ ในความรู้สึกถึงเพื่อนและพี่ชายคนนี้ ผมเขียนบันทึกสั้นๆ ไว้ว่า
"คนส่วนใหญ่อาจมีชีวิตเพื่อครอบครัวและตัวเอง แต่สำหรับสืบ นาคะเสถียรแล้ว เขารักและหวงแหนชีวิตสัตว์ป่าและป่ามากกว่าตัวเองและครอบครัวเสียอีก เขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อสิ่งอันเป็นที่รักยิ่ง เขาวิ่งพล่านไปทั่ว เพื่อส่งเสียงบอกให้ผู้ใหญ่ และผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับสภาพการล่าสัตว์และทำลายป่าห้วยขาแข้ง
...ไม่มีใครสนใจ เสียงตะโกนของเขาไม่มีใครอยากได้ยิน
ก่อนรุ่งสางของวันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2533 เสียงปืนนัดหนึ่งจึงดังกึกก้องขึ้นในป่าห้วยขาแข้ง
สองอาทิตย์ต่อมา ห่างจากบริเวณที่เกิดเสียงปืนดังไม่กี่สิบเมตร ข้าราชการระดับสูงจากกรมป่าไม้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนับร้อยคน ได้แห่กันมาประชุมปรึกษาหารือในการป้องกันการทำลายเขตรักษาป่าห้วยขาแข้งอย่างแข็งขัน
สืบ นาคะเสถียร รอวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เขามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งแห่งนี้ เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านเมืองหันมาสนใจปัญหาอย่างจริงจัง แต่ดูเหมือนจะมีเพียงความนิ่งเงียบในระบบราชการไทย
ก่อนตายไม่นาน พี่สืบได้เล่าให้ฟังว่า มีโอกาสได้พบรัฐมนตรีคนหนึ่งและพยายามอธิบายปัญหาการตัดไม้ในห้วยขาแข้งที่พัวพันกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย แต่รัฐมนตรีตัดบทไม่ใส่ใจ และทุกวันนี้ก็ยังลอยหน้าลอยตาดำรงตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
พี่สืบคงเจ็บปวดกับระบบราชการจนถึงที่สุด
หากไม่มีเสียงปืนในราวป่านัดนั้น การประชุมครั้งนั้นก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน
พี่สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งเขาอาจจะถูกยิงตายจากการบงการของผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย
พี่สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งลูกน้องซึ่งเขาเป็นคนส่งไปปฏิบัติหน้าที่ ต้องถูกยิงตายอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีใครสนใจ สืบไม่ใช่คนกลัวตาย แต่ทนไม่ได้ที่ลูกน้องเขาต้องตายไปต่อหน้า โดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้
พี่สืบมีความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้สัตว์ป่าและป่าไม้ในป่าห้วยขาแข้งอยู่รอด
เขาพยายามทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากประชาชนให้ดีที่สุดเท่านั้น
เมื่อความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อห้วยขาแข้งถูกทำลายลงอย่างย่อยยับจากระบบราชการ และผู้มีอำนาจในเมืองไทย ที่ไม่เคยสนใจปัญหาการทำลายธรรมชาติอย่างจริงจัง
เขาเคยปรึกษาแม่ว่าจะลาออกและไปบวช แต่เขาก็ไม่ลาออก การลาออกเป็นการทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อห้วยขาแข้ง และทรยศต่อหน้าที่ของเขา
แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่สามารถทำให้ความมุ่งมั่น ความเชื่อของเขาเป็นจริงได้
สืบ นาคะเสถียร เป็นคนไม่เคยทรยศต่อหลักการ และความมุ่งมั่นของตัวเอง
บางทีการตั้งใจฆ่าตัวตายอาจเป็นเพียงหนทางเดียวที่ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้
ภายหลังการเสียชีวิตของสืบ นาคะเสถียร ได้ก่อให้เกิดกระแสอนุรักษ์ครั้งใหญ่ในสังคมไทย และต่อมาไม่นาน ยูเนสโก ได้ประกาศให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ตามเจตนารมณ์ของพี่สืบ ส่งผลให้เกิดความหวงแหนดูแลป่าทั้งสองผืนอย่างจริงจังจากคนทั้งประเทศ ปริมาณสัตว์ป่าในรอบหลายปีได้เพิ่มขึ้น อันเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า และมูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้ทำงานอย่างจริงจังในการอนุรักษ์ผืนป่าเหล่านี้ รวมถึงการขยายพื้นที่ดูแลไปทางผืนป่าตะวันตก อันประกอบด้วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 6 แห่ง อุทยานแห่งชาติ 11 แห่ง เป็นผืนป่าติดต่อกัน 11.7 ล้านไร่ โดยประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เคยขัดแย้งกันมาตลอด ให้หันมาจับมือกันดูแลรักษาป่า สืบทอดความฝันของสืบ นาคะเสถียร
เสียงปืนในราวป่าห้วยขาแข้งเมื่อยี่สิบปีก่อน ยังคงดังกึกก้องมาจนถึงบัดนี้
หมายเหตุ : เชิญร่วมงาน 20 ปีสืบ นาคะเสถียร ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 31 ส.ค.-19 ก.ย. 2553 และร่วมชมคอนเสิร์ต 20 ปีสืบ นาคะเสถียร วันที่ 19 ก.ย. 2553 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบถามรายละเอียดได้ที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร โทร.0-2224-7838-9
ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวันฉบับวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 11852
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น