--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ฑูตซาอุฯโต้'สุเทพ'แต่งตั้ง'สมคิด'พันคดีฆ่า'อัลรูไวลี่'

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ฑูตซาอุฯโต้"สุเทพ"คดีแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิดซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่า"อัลรูไวลี่"นั่งผช.ผบ.ตร. กำหนดเข้าสู่กระบวนการไต่สวนของศาลเริ่ม25พ.ย.2553

รายงานเกี่ยวกับแถลงการณ์ของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2553 นั้น ทางสถานทูตฯ ซาอุดิอาระเบียมีความประสงค์ที่จะชี้แจงประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้

สถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบีย ต้องการเน้นย้ำ ตามที่ได้เคยกล่าวไว้ในแถลงการณ์ดังกล่าวก่อนหน้านี้ว่าทางสถานทูตฯ ยึดหลักนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงหรือก้าวก่ายกิจการภายในใดๆ ของในแต่ละประเทศ และไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันของประเทศไทยแต่อย่างใด หรือมีเจตนาที่จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในประเทศนั้นๆ คำกล่าวข้างต้นมีเพียงเฉพาะประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับซาอุดีอาระเบียโดยปราศจากประเด็นอื่นใดที่นอกเหนือจากนี้ ขณะที่ทางสถานทูตฯ กำลังดำเนินเรื่องคดีต่างๆ ที่ค้างอยู่ด้วยความระมัดระวังอย่างสูงสุดและปฏิบัติด้วยวิธีที่เคารพต่อสถานการณ์อ่อนไหวทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน

สถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียขอชี้แจงหมายเหตุที่คัดค้าน และแสดงความกังวลในแถลงการณ์ก่อนหน้านี้นั้น ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าหัวข้อที่เป็นปัญหาคือ ประเด็นที่ตรงกับความกังวลเกี่ยวกับคดีคงค้างทั้ง 3 คดีของซาอุดิอาระเบียและยังไม่ได้รับการแก้ไขเป็นเวลานานมากกว่า 20 ปีคือคดีการโจรกรรมเครื่องเพชรจากราชอาณาจักรประเทศซาอุดิอาระเบียโดยคนงานไทย ซึ่งเป็นเหตุตามมาด้วยการฉ้อฉล ยักยอกเครื่องประดับที่ถูกโจรกรรม คดีลอบสังหารนักการทูตของประเทศซาอุดิอาระเบียที่ประจำการอยู่ในประเทศไทย และคดีสุดท้ายคือการหายตัวไปและฆาตรกรรม นายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งส่งผลลดระดับของความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกด้านๆ

ดังนั้นทางสถานเอกอัครราชทูตฯ มีสิทธิ์สมควรปฏิบัติตามหน้าที่หลัก โดยการติดตามความคืบหน้าของการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย ขณะที่สนับสนุนให้ทางการเปิดเผยถึงสิ่งที่เป็นข้อสงสัยต่อคดีทั้ง 3 ในปัจจุบันซึ่งรอนานกว่า 20 ปี อีกทั้งให้สอดคล้องกับนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียที่ให้อุปถัมภ์สนับสนุนการเจริญสัมพันธไมตรีอย่างใกล้ชิดกับมิตรประเทศทั่วโลก เป็นเวลานานกว่า 20 ปีตั้งแต่ทางการซาอุฯ ตกตะลึงต่อเหตุการณ์คดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น ทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้แสดงความเข้าใจและมีความอดทนต่อการติดตามคดี อีกทั้งได้ให้ความร่วมมืออย่างดีต่อเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนเพื่อเปิดเผยคดีอาชญากรรมดังกล่าว นอกจากนี้เป็นหน้าที่ของสถานทูตฯที่ปฏิบัติตามหน้าที่รับใช้ต่อคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและคำนึงถึงการปกป้องผลประโยชน์โดยให้ความร่วมมือกับอำนาจจากภาครัฐของไทย

สถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียยังคงยืนยันและได้แสดงท่าทีหลายครั้งในการเรียกร้องและคาดหวังที่จะเห็นความโปร่งใส มีความยุติธรรมและการไม่เข้าไปแทรกแซงกับการแก้ปัญหาคดีค้างที่เกี่ยวข้องกับประเทศซาอุดิอาระเบีย และณ โอกาสนี้ขออ้างถึงนโยบายของรัฐบาลไทยโดย ฯพณฯนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะต่อรัฐภา ณ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551(2008) ซึ่งรวมถึงกฎหมายและความยุติธรรม

8.2 กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
8.2.2 พัฒนากฎหมายเพื่อการบริหารความยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพโปร่งใสและเป็นธรรมต่อทุกกลุ่ม

ในขณะที่สถานทูตฯ สนับสนุนการริเริ่มอย่างเต็มที่ของรัฐบาลไทย และเป็นสิ่งที่ทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้มองว่าคือจุดเริ่มต้นของความคืบหน้ามากกว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และความคืบหน้าของคดีทั้ง 3 คดี ประสบผลสำเร็จโดยรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรทั้ง 2 อย่างเต็มรูปแบบ
ในการนี้ ตามที่สถานทูตฯ ได้เคยแถลงไปว่า ทางสถานทูตฯ ยังไม่ได้มีข้อสรุปใดๆ ต่อทั้งสามคดี หรือยังไม่ได้กล่าวโทษบุคคลใด ว่าได้กระทำผิด หรือต้องรับผิดชอบในการดำเนินการใดๆ ของคดีอาชญากรรมที่รู้กันดีตามหัวข้อที่ตกเป็นประเด็น เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมและศาลไทยที่จะเป็นฝ่ายพิสูจน์และดำเนินการที่จำเป็นอันสอดคล้องกับกฎระเบียบตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ทางสถานทูตฯ ตั้งข้อสังเกตเห็นว่า ตามมาตรา 95 พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติปี พ.ศ. 2547 ระบุว่า ข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา จะต้องถูกสั่งพักราชการจนกว่าการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ ดังนั้นทางสถานทูตฯ จึงแสดงความเห็นดังนี้

1.สถานทูตฯ เพียงแต่ประหลาดใจต่อคำให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับคดีนายอัลรูไวลี่ที่ค้างอยู่ ซึ่งหนึ่งในห้าผู้ต้องหาในคดีนี้ (ซึ่งตัดสินโดยสำนักอัยการสูงสุด) โดยที่พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ไม่มีความผิด และยังคงปฏิบัติทำงานในหน้าที่ และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามที่ทางสถานทูตได้รับทราบว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของไทยได้ตัดสินสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 5 คนในคดีการหายตัวและคดีฆาตกรรมของนายอัลรูไวรี่ และมีกำหนดจะเข้าสู่กระบวนการการไต่สวนของศาลที่จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.2553

2.สถานทูตได้แสดงความกังวลตามที่นายเทพเทือกมีมติเห็นชอบกับ ก.ตร.ว่าพล.ต.ท.สมคิดเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อการกระทำความผิดใดๆในคดีของนายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ ในขณะที่สถานทูตฯ มีความเห็นว่าพล.ต.ท.สมคิด ยังมีส่วนพัวพันต่อคดีอาชญากรรมตามที่กล่าวมาข้างต้น ก.ตร. หรือหน่วยงานใดๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตัดสินพิจารณาว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์นั้นล้วนขัดแย้งโดยตรงกับข้อเท็จจริงตามกฎหมายไทยและอำนาจนิติบัญญัติ (อำนาจนิติบัญญัติ) ซึ่งในกรณีนี้ พล.ต.ท. สมคิดยังตกเป็นจำเลยและยังไม่ได้ถูกพิจารณาดำเนินคดี

สุดท้ายนี้สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยเน้นย้ำว่าทางรัฐบาลอุดิอาระเบียได้คาดหวังอย่างสูงสุดว่าการรักษาคำมั่นสัญญาของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของฯพณฯนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะซึ่งให้ความสำคัญสูงสุดต่อการแก้ไขปัญหาคดีค้างทั้ง 3 คดีอย่างเป็นกรณีพิเศษเพื่อที่จะปูทางไปสู่การฟื้นฟูและปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียและราชอาณาจักรไทย

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น