--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ใครบิดเบือน?

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

กรณีระเบิด 3 จุดในวันเดียวเมื่อวันที่ 8 กันยายน จุดแรกที่ลานจอดรถห้างย่านงามวงศ์วาน นนทบุรี เป็นถุงทะเลแบบทหารที่ภายในบรรจุระเบิดแสวงเครื่องตั้งระเบิดด้วยนาฬิกาไว้ในถังดับเพลิง จุดที่ 2 ที่ลานจอดรถข้างตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นถุงผ้าทะเลเหมือนจุดแรก และจุดที่ 3 พบระเบิดใส่กระเป๋านักเรียนวางไว้ใต้บันไดสะพานลอยหน้าโรงเรียนสันติราษฎร์ เป็นถังดับเพลิง 2 ถังภายในบรรจุปุ๋ยยูเรียกับดินระเบิด

แม้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำ แต่ก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหวั่นไหวให้กับประชาชนไม่น้อย ซึ่งก่อนหน้านี้เกิดเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน และยังจับผู้ก่อเหตุไม่ได้ ทั้งที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยังวางมาตรการคุมเข้มเพื่อรับการก่อเหตุในพื้นที่จุดเสี่ยงถึง 454 จุด ตลอด 24 ชั่วโมง

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประชาชนจะตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการทำงานของ ศอฉ. และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของคนบางกลุ่มที่ต้องการให้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปหรือไม่

แม้ล่าสุด พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะปฏิเสธว่าไม่ใช่การกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปก็ตาม แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป

แต่ไม่ใช่ใช้วาทกรรมย้อนถามกลับว่าถ้าไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะยิ่งเกิดเหตุการณ์ป่วนเมืองอีกมากน้อยแค่ไหน ทั้งที่ ศอฉ. และเจ้าหน้าที่รัฐควรถามตัวเองถึงประสิทธิภาพในการทำงานว่ามีมากน้อยแค่ไหน เพราะมีทั้งอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน งบประมาณ และกำลังเจ้าหน้าที่มากมาย

เรื่องความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงไม่ใช่รับแต่ความดี แต่ความผิดไม่ยอมรับหรืออ้างแต่มือที่สามที่ไม่หวังดีกับบ้านเมือง เหมือนกรณีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ศอฉ. พยายามยัดเยียดการสังหารโหดประชาชนและเจ้าหน้าที่ 91 ศพไปให้ “ไอ้โม่ง” และเสื้อแดงที่กลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ไม่ใช่การกระทำของทหารหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ยังไม่มีการชันสูตรพลิกศพอย่างเป็นทางการ

แต่ข่าวที่ปรากฏต่อสาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศคือ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ศอฉ. เป็นผู้รับผิดชอบต่อคำสั่ง “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับวงล้อม” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน ซึ่งทุกฝ่ายต้องพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ออกมาแถลงยืนยันความบริสุทธิ์โดยไม่มีหลักฐานหรือผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการใดๆ

**********************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น