ที่มา.บางกอกทูเดย์
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ
แกนนำยันคู่แข่งหนุนนั่งหัวหน้าพรรค
ทันทีที่มีข่าวแพร่สะพัดว่าจะมีการแต่งตั้งพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เข้ามารับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็กลายเป็นกระแสกระหึ่มสังคมการเมืองไทยในทันที
ทุกคนมองว่านี่คือความพยายามที่จะลบล้างข้อครหาความไม่จงรักภักดี และเป็นขบวนการล้มสถาบัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยโดนกล่าวหาในเรื่องนี้มาโดยตลอด
หากเป็น พล.ต.อ.โกวิท ข้อกล่าวหาป้ายสีเรื่องสถาบัน ก็น่าจะยุติความคลางแคลงไปได้แน่
เพราะหากมองประวัติของ พล.ต.อ.โกวิท ก็ต้องบอกว่า เป็นการเดินแต้มคูทางการเมืองที่น่าทึ่งจริงๆ
พล.ต.อ.โกวิท นอกจากจะได้รับการการันตีในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันแล้ว ที่ผ่านมาต้องถือว่ามีความตรง มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง และได้ชื่อว่าเป็นนายตำรวจที่ตรงไปตรงมาที่สุดคนหนึ่งของวงการสีกากี
ที่สำคัญชีวิตราชการส่วนใหญ่สังกัดตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) จึงรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาโดยตลอด
ตั้งแต่สมัยสมเด็จย่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร
เพราะหนึ่งในหน้าที่สำคัญของ ตชด. คือถวายการอารักขาอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ที่ผ่านมาก็ได้รับการยอมรับจากคนในแวดวงสีกากีและสังคมโดยรวม ว่าไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย แม้ในวันที่ต้องถูกรัฐบาลเผด็จการทหารสั่งย้ายเพราะไม่ยอม ซ้ายหัน ขวาหัน ตามคำสั่ง
แม้ว่าการขึ้นเป็นผบ.ตร.จะอยู่ในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่จริงๆแล้วก็เป็นเพราะอาวุโสสูงสุด และไม่มีเรื่องเสียหาย ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังต้องแต่งตั้งให้เป็นผบ.ตร.
แต่ในช่วงดำรงตำแหน่งผบ.ตร.ในยุคพ.ต.ท. ทักษิณนั้น พล.ต.อ.โกวิท ก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือหรือใช้อำนาจอย่างไม่เหมาะสมเพื่อใครทั้งสิ้น
แม้แต่กระทั่งช่วงรัฐประหาร คมช.ขึ้นมามีอำนาจ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2549 หลังจากนั้นไม่นาน พล.อ.สุรยุทธ์ ก็สั่งย้ายผบ.ตร.มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ซึ่งผู้คนในวงการสีกากี ต่างรู้ดีว่า พล.ต.อ.โกวิท เด้งเพราะหัวแข็งเกินไป และตรงเกินไป
ขนาดตอนที่เกิดการปฏิวัติใหม่ๆ มีขั้วอำนาจบางกลุ่มความพยายามเจรจาให้ลดความเข้มในการดำเนินคดีกับม็อบขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ แต่พล.ต.อ.โกวิท ก็ไม่ยอม แถมสั่งให้ดำเนินการไปตามหลักฐานที่ปรากฏอย่างเป็นกลาง และเป็นธรรมที่สุด
สุดท้าย พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เลยใช้อำนาจย้ายพล.ต.อ.โกวิท ให้มาเป็นที่ปรึกษา เพื่อให้พ้นเก้าอี้ผบ.ตร.อย่างเด็ดขาด แต่คำสั่งดังกล่าวกลายเป็นคำสั่งที่ขัดกับพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ เพราะมีบัญญัติไว้ว่าการจะย้ายตำรวจออกนอกหน่วย ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว
พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มีขึ้นเพื่อปกป้องมิให้ตำรวจถนักการเมืองครอบงำนั่นเอง
และทำให้ พล.ต.อ.โกวิท จึงต้องลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรี ปกป้องหลักการ รวมไปถึงวงการสีกากี เพื่อมิให้นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจอื่นๆ ก้าวล่วงเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องในอนาคต
แต่ค่อนข้างที่จะเป็นการต่อสู้ที่โดดเดี่ยวมาก เพราะแม้แต่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ก็ยังแหยงอำนาจ คมช. จึงอ้อมแอ้มว่านายกฯ น่าที่จะมีอำนาจย้ายผบ.ตร.พ้นตำแหน่งได้
ทำให้ พล.ต.อ.โกวิท เดินหน้าสู้ ด้วยการฟ้องศาลปกครอง จนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวออกมา ทาง พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เลยต้องอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองไปยังศาลปกครองสูงสุด
แต่ศาลปกครองสูงสุด ก็ยังคงมีความเห็นสอดคล้องกับศาลปกครอง จนศาลปกครองกลางที่พิจารณาคดีที่พล.ต.อ.โกวิท ฟ้องพล.อ.สุรยุทธ์ เดินหน้ามาใกล้ถึงบทสรุป เมื่อมีคำสั่งให้คู่กรณียื่นเอกสาร และหลักฐานคำร้องครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 กันยายน 2550 ก่อนนัดฟังคำพิพากษา
วันที่ 28 สิงหาคม 2550 พล.อ.สุรยุทธ์ จึงต้องชิงออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งเก่า และเป็นคำสั่งที่ให้มีผลย้อนหลังกลับไปยังวันที่ออกคำสั่งย้าย พล.ต.อ.โกวิทด้วย
เลยทำให้คดีนี้ยุติไปดื้อๆ ส่วน พล.ต.อ.โกวิท ก็จึงยังได้ชื่อว่าเป็นผบ.ตร.จนเกษียณอายุราชการ ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.มหาดไทย
ดังนั้นหากมองตามคุณสมบัติเช่นนี้ ก็บอกได้ว่า นี่คือการส่งสัญญาณพิเศษเพื่อมุ่งหวังผลในเรื่องปรองดอง โดยอาศัยมือของ พล.ต.อ.โกวิท นั่นเอง
ดังนั้นแม้ว่าช่วงแรกๆในพรรคเพื่อไทยอาจจะงง หรืออาจจะรับมุกไม่ทัน แต่สุดท้ายเสียงขานรับก็ดังกระหึ่ม
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สมาชิกพรรคหลายคนไม่ขัดข้องกับชื่อ พล.ต.อ.โกวิท เพราะเป็นนายตำรวจที่มีความซื่อสัตย์ มีประสบการณ์ในการบริหารองค์กรใหญ่ ซึ่งคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. ตราบใดที่ยังมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องยุบพรรค
ส่วนที่ว่า หาก พล.ต.อ.โกวิท ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค จะเป็นการลดบทบาท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย หรือไม่ พ.อ.อภิวันท์ ชี้แจงว่า พล.อ.ชวลิต ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง และต้องการเข้ามาสร้างความปรองดอง รวมถึงแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
พ.อ.อภิวันท์ กล่าวถึงการเดินหน้าสร้างความปรองดองว่า แนวทางการสร้างความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจะต้องชี้แจงให้ชัดเจน ว่าความขัดแย้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกิดจากสาเหตุใด และต้องทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นภายใต้มาตรฐานเดียว นอกจากนี้ การปรองดองจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูในวันที่ 14 ก.ย.ที่จะมีการประชุมพรรค ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรคจะเป็น พล.ต.อ.โกวิท หรือไม่ เพราะทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมพรรคด้วย แต่ส.ส.ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครขัดข้อง
ส่วนที่ว่า คนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ทางพรรคจะชูให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปหรือไม่นั้น เป็นคนละเรื่องกัน และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องนำมาหารือกันภายในพรรคอีกครั้ง
และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ในฐานะที่เป็นคนสนิทของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คิดว่า พล.อ.ชวลิตมีปัญหาหรือไม่ หากทางพรรคจะเอา พล.ต.อ.โกวิทมานั่งเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งพ.อ.อภิวันท์ ยืนยันว่า พล.อ.ชวลิตก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะให้พล.ต.อ.โกวิทมานั่งในตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพราะเชื่อว่าในสถานการณ์การเมืองเช่นนี้จำเป็นต้องหาคนที่จะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นให้ได้
ดังนั้นจึงเชื่อว่าบรรยากาศทางการเมืองของไทยในอนาคตก็จะดีขึ้นกว่าที่เป็นที่อยู่
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธาน ส.ส.ภาค กทม.พรรคเพื่อไทย ระบุว่า จริงๆแล้วพรรคเพื่อไทยมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคอยู่ตลอด ดังนั้นคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ จะต้องเป็นผู้ที่สามารถนำพาพรรคไปสู่เป้าหมายได้ ต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และสามารถแก้ปัญหาทางการเมืองให้เกิดความปรองดองได้
จึงเชื่อว่า พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หากเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ จะสามารถทำงานให้กับพรรคได้ เพราะเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ทำงานดูแลปัญหาให้กับประชาชนและข้าราชการมาโดยตลอด
ซึ่งคงต้องรอดูการตัดสินใจของสมาชิกพรรคอีกครั้งในการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรควันที่ 14 กันยายน อย่างไรก็ตามจากที่เคยร่วมงานกับ พล.ต.อ.โกวิท ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนมาก่อน เป็นคนที่พูดอะไร ค่อนข้างเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติหน้าที่ งานไหนไม่ชัดเจนก็ไม่ดำเนินการ เรื่องใดที่รับปากก็จะทำงานให้สำเร็จ
และพล.ต.อ.โกวิท เป็นคนหนึ่งที่คนในกองทัพรู้จัก และมีความสนิทสนมกันมาตลอด จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการหยิบมาพิจารณา แต่การที่ พล.ต.อ.โกวิท จะมาเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ได้เกี่ยวโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีการติดต่อหรือสั่งการมาที่พรรคแต่อย่างใด
ด้านนายพายัพ ชินวัตร ประธาน ส.ส. ภาคอีสาน กล่าวแค่ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องที่พรรคจะพิจารณาเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ส่วนหากมีการเสนอชื่อ พล.ต.อ.โกวิท เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนตัวเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะสม และคงไม่มีปัญหาอะไร
รวมทั้งนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ยอมรับว่า ไม่ทราบรายละเอียดการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่จากข่าวและทวิตเตอร์ ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าจะเป็นการส่งสัญญาณในการสร้างความปรองดอง และน่าจะทำให้พรรคมีความเป็นระบบมากขึ้น
แต่ผู้ที่จะเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมากนัก ก็ต้องให้หลายฝ่ายเข้ามาช่วยทำงาน ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
และที่สำคัญพรรคเพื่อไทย ต้องปรับโครงสร้าง ปรับนโยบายให้เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งต้องรักษาบทบาทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยต้องไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงสั่งพรรคได้ เพราะจะสูญเสียความเข้มแข็งของพรรคไป แต่ขณะเดียวกัน พรรคต้องไม่ทิ้งการต่อสู้ของประชาชนแบบสันติวิธี ดังนั้นการจัดลำดับความสำคัญระหว่างพรรค และกลุ่มคนเสื้อแดง จึงเป็นเรื่องยากพอสมควร
นายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการหารือกันนอกรอบระหว่างส.ส.ในภาคต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอีสานได้เห็นตรงกันว่า เมื่อมีสัญญานมาว่ามีชื่อของพล.ต.อ.โกวิท เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็เท่ากับว่า ส.ส.ในพรรคต้องฟังสัญญานนี้ เพราะน่าจะมีการมองถึงการแก้ปัญหาทั้งในเรื่องภาพลักษณ์ของพรรคที่ถูกโจมตี
รวมทั้งการเตรียมเรื่องการปรองดองและเตรียมเลือกตั้งในอนาคต
จึงคาดว่าในวันอังคารที่ 14 กย.ที่จะมีการประชุมวิสามัญพรรค ซึ่งมีวาระพิเศษคือเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ พล.ต.อ.โกวิท น่าจะมาแรงที่สุด คือ ส.ส.ส่วนใหญ่จะโหวตเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคแน่นอน
ส่วนรายชื่อบุคคลอื่นในพรรคที่มีส.ส.เสนอหลายคน เช่น พล.อ.ชวลิต นั้น เท่าที่ส.ส.สอบถามไปทางพล.อ.ชวลิต ล่าสุดนั้นได้มีการปฎิเสธว่าจะไม่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เนื่องจากต้องการเข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทยเพื่อทำประโยชน์ให้บ้านเมือง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ( นปช.)กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกันในรายละเอียดต้องรอให้พล.ต.อ.โกวิท เข้ามาทำงานในพรรคจริงๆเสียก่อน โดยหลักการปรองดองใดๆ ต้องอยู่บนหลักของความเสมอภาค เท่าเทียม ถามว่าถ้าไม่มีการชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตจะปรองดองอย่างไร
ดังนั้นการปรองดองจะละเลย 91 ศพและผู้บาดเจ็บไม่ได้ จึงไม่ใช่ว่าใครมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้วเรื่องเหล่านี้จะไม่มีแล้ว แต่เรื่องคนตายจะยังอยู่เพราะมีผู้บาดเจ็บและล้มตายจริง การปรองดองจึงไม่ใช่ยอมจำนวน ส่วนพรรคการเมืองก็ไม่ใช่การรวมศูนย์แต่รวมความคิดเห็น
“กรณีเสนอชื่อพล.ต.อ.โกวิท เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเรื่องของความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ทั้งหมดต้องรอให้มีความชัดเจน โดยพล.ต.อ.โกวิท เข้ามารับตำแหน่งจริงเสียก่อนแล้วค่อยพูดคุยกัน อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าคนที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยมีความจงรักภักดี และพล.ต.อ.โกวิทก็จงรักภักดี”
เพราะเหตุนี้แหละที่แม้แต่พรรคชาติไทยพัฒนา และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ยังเชื่อว่าการเปลี่ยนตัว หน.พรรคเพื่อไทย จะส่งผลดีทางการเมือง
อย่างเช่น นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา มองว่า การเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทยน่าจะมีนัยทางการเมือง 2 ประเด็นคือ เตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้า หรือ เพื่อสานต่อภารกิจการสร้างความปรองดองในชาติ แต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้น่าจะส่งผลดีทางการเมือง เพราะพรรคเพื่อไทยจะได้มีทิศทางและภารกิจที่ชัดเจนมากขึ้นว่า จะมียุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างไร
ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาอยากฝากถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ อย่าละทิ้งภารกิจเรื่องการสร้างความปรองดองในชาติ เพราะปัญหาความแตกแยกในสังคมมีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาทางการเมือง ดังนั้นนักการเมืองต้องเป็นคนเริ่มกระบวนการปรองดอง ซึ่งเรื่องนี้จะสำเร็จได้ก็ต้องอาศัยความจริงใจจาก 2 พรรคใหญ่
และไม่อยากให้มองว่า ใครเริ่มเดินหน้าเรื่องนี้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทางการเมือง เพราะการเอาชนะทิฐิของตัวเองนั้น ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาพร้อมสนับสนุนกระบวนการนี้ ขณะเดียวกันพร้อมอ้าแขนรับสมาชิกพรรคอื่นที่จะมาร่วมงานการทางการเมืองด้วยกัน เพราะข้อดีของพรรคชาติไทยพัฒนาคือ ไม่เป็นศัตรูกับใคร
แม้แต่จอมกอด อย่างนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ก็ฉวยจังหวะออกมาระบุว่าเป็นความโชคดีของพรรคเพื่อไทยหากได้ พลตำรวจเอกโกวิท วัฒนะ เป็นหัวหน้าพรรค เพราะพลตำรวจเอกโกวิท เป็นคนดี และมีความจงภักดีจริง
นี่แหละที่ทำให้ทุกฝ่ายมองว่า เป็นการเลือกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ละเอียดลึกซึ้ง และเหนือชั้นจริงๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น