--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ไร้น้ำยาหยุดระเบิดป่วนเมือง

บทบรรณาธิการ ไทยโพสต์

ยังคงเกิดเหตุระเบิดป่วนเมืองไม่เลิกรา ท่ามกลางเสียงเตือนจากหลายฝ่ายว่าการวางระเบิดข่มขู่และสร้างสถานการณ์ในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง เช่น นนทบุรี จะมีอย่างต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 19 กันยายน 2553 อันเป็นวันสัญลักษณ์สำคัญทางการเมืองคือวันครบรอบรัฐประหาร 19 กันยายน ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หลังจากล่าสุดมีคนร้ายวางระเบิดสามจุดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คือ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2553 ที่ผ่านมาคือ 1.หน้าโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย เขตพญาไท ถนนศรีอยุธยา ท้องที่ สน.พญาไท 2.ลานจอดรถเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ท้องที่ สภ.เมืองนนทบุรี และ 3.ลานจอดรถข้างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ท้องที่ สภ.เมืองนนทบุรี

ซึ่งก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่เกิดเหตุ ทางฝ่ายรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะตำรวจก็จะต้องแสดงท่าทีแข็งขันว่าจะต้องเร่งติดตามสอบสวนจับกุมผู้ต้องสงสัยมาดำเนินคดี แต่สุดท้ายหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เคยมีอะไรคืบหน้า เอาแค่เหตุการณ์ที่ผ่านไปไม่นาน เช่น การยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารคิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ และเหตุคนร้ายวางระเบิดไว้บริเวณหน้าอาคารคิงเพาเวอร์ หรือเหตุระเบิดหน้าเซ็นทรัล ราชดำริ ที่อยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ หรือการยิงเอ็ม 79 ใส่บริเวณลานจอดรถ ที่ทำการของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีของกรมประชาสัมพันธ์ ย่านวิภาวดีรังสิต

ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการสาวไปถึงตัวผู้วางแผนลงมือได้ ยิ่งเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์พอสื่อมวลชนไปทำข่าวอย่างอื่น ตำรวจและทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินก็เลิกที่จะเกาะติด แต่พอเกิดเหตุระเบิดขึ้นก็จะทำเป็นทีท่าว่าจะเอาจริงเอาจัง จนสุดท้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาบาดเจ็บล้มตายไปโดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถให้หลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนได้เลย

เรื่องนี้มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นกันหลากหลาย บนท่าทีเหมือนกับแสดงความแข็งขัน แต่ก็เกิดคำถามเหมือนกันแล้วว่า เหตุใดจึงไม่ร่วมมือร่วมใจกันให้มากกว่านี้ในการหยุดระเบิดทำลายประเทศชาติ เช่น คำกล่าวของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกที่บอกเรื่องนี้ไว้ล่าสุดว่า กองทัพเคยนำทหารออกมาเต็มเมืองไปหมดและลดระดับลงมา ซึ่งหน้าที่หลักเป็นของตำรวจ และสถานีตำรวจในพื้นที่ กทม.ที่มี 88 สถานี ซึ่งหากไม่พอเราจะจัดเจ้าหน้าที่ทหารไปช่วยพร้อมกับเครือข่ายภาคประชาชน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ประชาชนจะต้องเข้าใจ เพราะถ้าพื้นที่ไหนเจ้าหน้าที่ดูแลเข้มงวดเขาก็ไม่ทำ แต่ถ้าพื้นที่ไหนไม่มีเจ้าหน้าที่เขาก็จะไปทำ ดังนั้น โดยตรรกะเราอาจจะต้องดูทุกจุด ถ้า 500 เมตรดูไม่เพียงพอก็จะต้องดูทุก 100 เมตร แต่ทำไม่ได้ การที่มีคนทำอยู่ถือเป็นการทำร้ายคนทั้งประเทศ ทำให้เกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและสังคม รัฐบาลก็ไม่มีเสถียรภาพ ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ เศรษฐกิจไปไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคนทำไม่น่าจะทำ เพราะเป็นการทำร้ายคนทั้งประเทศ ถ้ามีคนบาดเจ็บล้มตายจะยิ่งทำให้สถานการณ์บ้านเมืองย่ำแย่

ขณะที่ฝ่ายตำรวจ ทาง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ที่เพิ่งรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อ 7 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา มีภารกิจสำคัญในการป้องกันและปราบปรามเรื่องนี้ อันเป็นสิ่งที่ ผบ.ตร.จะต้องแสดงฝีมือให้สังคมเห็นโดยเร็ว เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนานและมีท่าทีว่าจะเกิดขึ้นต่อไป อันทำให้ประชาชนต่างต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น หลังมีคำขู่จากบางฝ่ายว่าอาจจะเกิดเหตุระเบิดรุนแรงตามย่านชุมชน เช่น สถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งตอนแรกดูเหมือนประชาชนจะไม่ค่อยเชื่อ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกฝ่ายก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากยังเกิดเหตุแบบนี้ต่อไป โดยที่รัฐบาล ตำรวจ กองทัพ ศอฉ. ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องพิจารณาทบทวนตัวเองได้แล้วว่าจะลอยตัวแบบนี้อยู่ได้อย่างไร.

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น