--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

เมื่อรัฐบาลไทยพยายามตีสนิทกับผู้นำเผด็จการ

บทความล่าสุดของผมที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร Huffington Post ได้กล่่าวถึงเรื่องที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวประเทศจากประชาคมโลก ซึ่งเป็นผลมาจากที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เพิกเฉยที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ในขณะนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยกำลังร้อนตัว เป็นที่น่าเสียดายว่า การตอบโต้ในรูปแบบเดียวที่รัฐบาลไทยใช้คือการสร้างความคลุมเครือ และรัฐบาลอภิสิทธิ์และกลุ่มกองทัพที่สนับสนุนรัฐบาลสร้างใช้เวลาสี่ปีในการช่องโหว่เอื้อต่อการใช้อำนาจเผด็จการของกลุ่มตน และแทนที่จะตอบโต้นโยบายกดดันของประเทศคู่ค้าสำคัญ อย่างประเทศเยอรมัน และประเทศพันธมิตรอันยาวนาน อย่างประเทศสหรัฐ โดยการแสวงหาความชอบธรรมในโดยการเลือกตั้ง ดำเนินกระบวนการปรองดองสมานฉันท์อย่างจริงจัง หรือ/และ ปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รัฐบาลไทยเลือกที่จะประจบสอพลอประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นประชาธิปไตย

โดยเมื่อไม่นานมานี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กดดันให้สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยยกเลิกกำหนดการในวันที่ 13 กันยายน ซึ่งจัดโดยสมาพันธ์สิทธิมนุษยชน (IFHR) ที่ตั้งอยู่ ณ.กรุงปารีส และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเวียดนาม (VCHR) โดยจะมีการสัมมนาเกี่ยวกับรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนขององค์กรภายใต้หัวข้อ “From ‘Vision’ to Facts: Human Rights in Vietnam under Its Chairmanship of ASEAN.”

เริ่มแรกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้พยายามระรานให้ทางสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยใช้วิธีสกปรก โดยการใช้ชื่อองค์กรประกาศ “ยกเลิกการประชุมดังกล่าว เพราะอาจจะมีการแถลงข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหารแก่ประเทศเพื่อนบ้าน” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้อธิบายถึงเหตุผลอันน่าทึ่งแก่สื่อมวลชน ดังนี้

“ผมอยากจะกว่าถึงการประชุมที่จัดขึ้นโดยสมาพันธ์สิทธิมนุษยชน (IFHR) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเวียดนาม (VCHR) ในวันที่จันทร์ที่ 13กันยายน 2553 ณ.สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) โดยการประชุมดังกล่าวจะมีการแถลงรายงานขององค์กรภายใต้หัวข้อ ‘From Rhetoric to Reality: HUMAN RIGHTS IN VIETNAM, Under its Chairmanship of ASEAN in 2010′ ว่า

“แม้รัฐบาลไทยจะให้ความสำคัญอย่างมากกับหลักเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น และความหลากหลายทางความคิด แต่รัฐบาลไทยมีนโยบายอันยาวที่จะไม่อนุญาตให้กลุ่มองค์กรหรือบุคคลใดใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรมอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศอื่น ดังนั้นผมจึงหวังว่าสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศจะเคารพจุดยืนอันนี้ และไม่อนุญาตให้มีการใช้สถานที่ขององค์กรในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว

“ผมขอขอบคุณทุกท่านสำหรับความเข้าใจและความร่วมมือ”

และจากความน่าเชื่อถือขององค์กร ทางสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ขัดขืนรัฐบาลไทย โดยปฏิเสธที่จะไม่ปฏิบัติตนเสมือนหน่วยเสริมกำลังของรัฐแห่งการปกปิดข่าวสารอันไร้สาระนี้ แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้บังคับให้มีการยกเลิกการประชุมอย่างไม่สะทกสะท้าน โดยการปฏิเสธให้สององค์กรเดินทางเข้าประเทศ

หากพิจารณาดูตารางกิจกรรมของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศอย่างคร่าวๆแล้วจะพบว่าการจัดการประชุมครั้งนี้เป็นการดำเนินกิจกรรมปกติทั่วไปที่ของทางสมาคม โดยมาคมมักจะจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับสถานการณ์อันน่าอัปยศของสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่าง พม่า กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เรื่อยมา ดังนั้นจึงน่าสงสัยว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์กลัวว่าข้อมูลเหล่านั้นอาจจะทำลายภาพลักษณ์ในเรื่องที่ไม่สำคัญของประเทศไทย หรือต้องการที่จะปกป้องประเทศคอมมิวนิสต์อย่างเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในปิศาจร้ายในจินตนาการของประเทศไทยมายาวนานกันแน่

หรืออาจจะเป็นไปได้ว่านายอภิสิทธิ์และเหล่าพวกพ้องอาจจะกำลังมองหาสถานที่ลี้ภัยในประเทศเวียดนามหลังจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ถูกขับไล่ลงจากอำนาจ มีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้ และแน่นอนว่าแนวทางในการปฏิบัติของรัฐบาลไทยในแง่ของสิทธิมนุษยชนนั้นมีความคล้ายคลึงกับผู้นำเผด็จการที่ดำรงตำแหน่งอย่างยาวนานในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเวียดนาม ลาว พม่าและสิงค์โปร์มากขึ้นทุกวัน การกระทำดังกล่าวเป็นแผนการที่จะเชิญชวนประเทศดังกล่าวให้ตกลงให้ความช่วยเหลือบางอย่าง เมื่อประเทศไทยกำลังเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับประเทศประชาธิปไตยในประเทศตะวันตกอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยจึงแสดงหากลุ่มพวกพ้องเผด็จการในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน

เราคงต้องดูต่อไปว่าประเทศเวียดนามหรือประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะร่วมมือกันในการควบคุมองค์กรหรือบุคคลในภูมิภาคที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเสื่อมถอยของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยหรือไม่ การกระทำอันน่าตำหนิของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแสดงในเห็นถึงความปวดร้าวที่ประเทศไทยกำลังตกอยู่ภายใต้การนำของเหล่าผู้นำเผด็จการที่ไร้ความสามารถอย่างนายอภิสิทธิ์และกลุ่มอำมาตย์ผู้หนุนหลัง

ไม่เกิน 10ปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ในปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในหลายประเทศเผด็จการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น