นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
(อีเมลล์ Abhisit@abhisit.org)
เรื่อง การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของรัฐบาลไทย
เรียน นายกรัฐมนตรี
ตามท่านทราบเป็นอย่างดีว่า สำนักงานกฎหมายแห่งนี้เป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและสมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งถูกกล่าวหาทางอาญาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพมหานครเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 (เราจะเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวในจดหมายฉบับนี้ว่า “การชุมนุม”) เราเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงท่านในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรับมนตรี และในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลที่มีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ
เราได้ส่งจดหมายเพื่อย้ำเตือนรัฐบาลของท่านถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 และครั้งล่าสุดในวันที่ 6 สิงหาคม 2553 เนื้อหาจดหมายได้ย้ำเตือนรัฐบาลไทยถึงพันธกรณีที่มีต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) โดยต้องมีการจัดการสอบสวนถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของพลเรือนกว่า 80 รายที่ถูกสังหารในระหว่างการชุมนุม และยังระบุถึงหน้าที่ที่รัฐบาลที่จะต้องให้โอกาสแก่ทีมทนายของผู้ถูกกล่าวและทางสำนักงานกฎหมายของเราในการเข้าถึงพยานหลักฐาน แต่จนถึงบัดนี้ท่านไม่ได้ตอบสนองถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวของเรา
เป็นที่ปรากฏชัดว่า แทนที่คณะรัฐบาลของคุณจะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ แต่กลับพยายามปกปิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กองทัพไทยกระทำต่อผู้ชุมนุมที่ปราศจากจากอาวุธระหว่างการชุมนุม
โดยในวันที่ 20 เมษายน 2553 รัฐบาลของท่านได้ถอดถอนเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจากหน้าที่ในการสอบสวนเหตุการณ์การสังหารประชาชน โดยมอบหมายหน้าที่ดังกล่าวให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แต่ในสี่เดือนที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ดำเนินการสอบสวนการสังหารดังกล่าวแต่อย่างใด จากพยานหลักฐานนี่รัฐบาลมีอยู่มากมาย อาทิ รูปพรรณสัณฐานผู้กระทำการ และหลักฐานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวได้สัดส่วนต่อความรุนแรงหรือไม่ จึงไม่เป็นเรื่องยากแต่อย่างใดที่รัฐบาลจะดำเนินการสอบสวนคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา โดยศาลไทยได้ระบุว่าจะต้องมีการระบุและแสดงรูปพรรณสัณฐานผู้กระทำความผิดในการสังหารประชาชน (อ้างอิงจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแห่งประเทศไทย บทที่ 2 มาตรา 148)
อย่างไรก็ตาม คณะรัฐบาลของท่านได้จับกุมและกล่าวหาแกนนำนปช.ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิของถูกกล่าวหา ในปัจจุบันแกนนำนปช.ทั้ง 19คนยังคงถูกรัฐบาลคุมขังตามอำเภอใจ
ในวันที่ 28 สิงหาคม 2553 เป็นเวลา 4เดือนกว่าหลังจากการสังหารประชาชนในระหว่างการชุมนุม ท่านได้ตอบสนองข้อเรียกร้องสาธารณชนโดยให้กรมสอบสวนคดีพิเศษจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อที่จะสอบสวนถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว เราขอกล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นไม่ได้มีความเป็นธรรมหรือเป็นอิสระ เพราะคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นในวันที่ 7 เมษายน 2553 ภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน ได้กล่าวหาแกนนำเสื้อแดงหลายครั้งว่าสมรู้ร่วมคิดในการล้มล้างระบอบกษัตริย์ และยังมีการใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินแม้ว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะกลับสู่ปกติแล้วก็ตาม ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่เอื้อต่อการสอบสวนที่มีความเป็นอิสระและเป็นธรรมอย่างแท้จริง
การที่คณะรัฐบาลของท่านปฏิเสธที่จะยกเลิกพระราชกำหนดฉุกเฉิน และเพิกถอนอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของคุณพยายามปกปิดข้อเท็จจริง แม้จะมีพยานที่อยู่ในเหตุการณ์และวิดีโอบันทึกเหตุการณ์จำนวนมากที่ระบุว่ากองทัพไทยมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือนทั้ง 80 รายก็ตาม การที่ ศอฉ. ได้ถอดถอนอำนาจหน้าที่ของกรมตำรวจในการสอบสวนคดีดังกล่าวในวันที่ 20 เมษายน 2553 ทำให้กระบวนการการสอบสวนคดีเกิดความล่าช้า กรมสอบสวนคดีพิเศษมีผลการชันสูตรพลิกศพของผู้เสียชีวิตทั้งหมด แต่ทางทีมทนายของผู้ถูกกล่าวหาและญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้รับผลการชันสูตรดังกล่าว หรือวิดีโอบันทึกเหตุการณ์การการสลายชุมนุมแต่อย่างใด
แม้ว่าจะมีหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายหรือวิดิโอมากมายที่ระบุรูปพรรณสัณฐานทหารที่ยิงอาวุธใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่ยังไม่มีการจับกุมหรือสอบสวนสมาชิกกองทัพไทยแม้แต่คนเดียว กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ดำเนินการสอบสวนพยานในเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างเช่น ไม่มีการเรียกผู้บริหารอาคารที่กลุ่มทหารมือปืนลอบสังหารใช้เป็นที่ซุ่มยิงประชาชนมาสอบสวนว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่ซุ่มยิงได้อย่างไร หรือเรียกให้กลุ่มบริษัทคมนาคมขนส่งกรุงเทพมหานครระบุรูปพรรณสัณฐานบุคคลที่อยู่ในรางรถไฟฟ้าในวันที่ 19 พฤษภาคมที่ปรากฏในในวิดีโด และความล่าช้าของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นส่งผลให้หลักฐานเหล่านั้นเน่าเปื่อยผุพัง และสร้างความยากลำบากในการระบุพยาน
และยังเป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลได้สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวในประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้พยานเกิดความหวาดกลัวที่จะให้ข้อมูลอันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ และการคงพระราชกำหนดฉุกเฉิน ยังทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจอย่างล้นเหลือในการคุกคามผู้ต้องสงสัย สร้างความหวาดกลัวไปทั่ว อย่างน้อยที่สุดคือ การ์ดนปช. 3รายเสียชีวิตจากสาเหตุอันผิดธรรมชาติหลังจากการชุมนุม นอกจากนี้ ศอฉ.ยังใช้อำนาจในการยึดทรัพย์สินของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะมีการล้างแค้นโดยการสอบสวนทรัพย์สินของฝ่ายตรงข้าม และมีการใส่ร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การยิงและลอบวางระเบิดเอ็ม79 โดยไม่หลักฐานที่แน่ชัดผ่านทางสื่อที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษเพิกเฉยต่อข้อกล่าวหาอันมีมูลในเรื่องการทุจริตทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งเหล่านี้แสดงในเห็นถึงความสองมาตรฐานที่ใช้ทำลายการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงของเจ้าหน้ารัฐอย่างต่อเนื่อง และสิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นว่าคณะรัฐบาลของท่านปราศจากความน่าเชื่อถือที่จะดำเนินการสอบสวนคดีเกี่ยวกับการสังหารประชาชนอย่างเป็นอิสระหรือเป็นธรรม ในขณะเดียวกันรัฐบาลยังโยนความรับผิดต่อการตายของประชาชนทั้งหมดให้กับแกนนำนปช.
เราขอย้ำเตือนในท่านเห็นถึงความล้มเหลวของท่านในการเยียวยาเหยื่อของอาชญากรรมอันทารุณ อาทิ การสังหารประชาชนโดยใช้ศาลเตี้ยหรืออำนาจมืด ซึ่งเป็นการละเมิดต่อสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง รวมถึงบทบัญญัติกรุงโรมซึ่งเป็นรากฐานของศาลอาญาระหว่างประเทศที่บัญญัติให้ทหารหรือพลเรือนผู้มีอำนาจเหนือประชาชนที่ล้มเหลวในการดำเนินการสอบสวนดำเนินคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติต้องรับผิดชอบ หากปรากฏชัดว่ากลุ่มคนดังกล่าวได้จงใจเพิกเฉยต่อข้อมูลที่ระบุชัดแจ้งว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าว ซึ่งได้ระบุไว้ในบทบัญญัติกรุงโรม มาตรา 28 (b) (III) หลักการดังกล่าวยังเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่สามารถนำไปปรับใช้กับประเทศไทยได้
และจากการกระทำของรัฐบาลที่ได้กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความไม่เต็มใจและความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลในการดำเนินการการสอบสวนคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างเป็นอิสระ
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าว
ด้วยความนับถือ
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์
ลอนดอน สหราชอาณาจักร
จดหมายฉบับนี้ยังถูกส่งไปให้
Madam Navi Pillay (ทางอีเมลล์)
กรรมการข้าหลวงใหญ่สอทธมนุษยชนสหประชาชาติ
กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
Mr. Geert-Jan Alexander Knoops (ทางอีเมลล์)
สำนักงานกฎหมาย Knoops & Partners Advocaten
กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น