--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พลาดทั้งคู่ : ได้คืบจะเอาศอก !!?

เข้าเกียร์ถอยหลังจนแทบจะเกียร์พังกันเลยทีเดียว สำหรับพรรคเพื่อไทย เมื่อเจอแรงต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ฉบับสุดซอย ฝีมือแก้ไขร่างของกรรมาธิการฯ ที่ก่อเหตุเรียกแขกทั่วทุกทิศจนเกินคาด

ลำพังม็อบสวนลุมฯ ม็อบอุรุพงษ์ หรือม็อบเดินสายของพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะไม่น่ากลัว เพราะพยายามจุดมานานแต่ก็จุดไม่ติด แต่พอมีพลังต้านที่ไม่ใช่ม็อบหน้าเดิมๆ โดยเฉพาะสายวิชาการมหาวิทยาลัยเปิดฉากต้านเท่านั้น

ไม่เพียงชุบชีวิตม็อบหน้าเดิมเท่านั้น แต่ยังขยายวงเป็นม็อบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเบรกกันตัวโก่ง หัวทิ่มหัวตำไปตามๆกันเลยทีเดียว

เพราะไล่มาตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวน ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดหมด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ครั้งนี้ชัดเจนเลยว่าฝีมือและความเท่าทันเกมการเมืองมีมากน้อยแค่ไหน หรือว่าไม่มีเอาเสียเลย!!!

ประเด็นพลาดแรกก็คือ “เหลิง” เพราะคิดตื้นๆว่า ที่ผ่านมาแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ทำได้หลายเรื่องผ่านฉลุย ขนาดลงมติโล๊ะ ส.ว.สรรหา ทั้งหมด เพื่อสวนกลับการเล่นแง่ตุกติกที่ไม่เป็นไปตมข้อตกลง ซึ่งการหักดิบให้หมดอายุเลือกตั้งกันใหม่ในเดือนมีนาคมปีหน้า

40 ส.ว.สรรหาดิ้นพราดๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฝ่ายค้านก็หมดท่าเช่นกัน เพราะฟืนเปียกจุดไม่ติด

ยิ่งร่าง นิรโทษกรรม ฉบับ วรชัย เหมะ ผ่านวาระ 1 แบบที่ทั้งฝ่ายค้าน และ 40 ส.ว. หมดแรงต้าน จึงคิดว่าแบบนี้ชนะแน่ เลยให้ ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ นำทีมกรรมาธิการแก้ไขให้เป็นเหมาเข่ง เท่านั้นได้เรื่องเลย

การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 นั้น ชาวบ้าน นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มีใจเป็นธรรมทั้งหลาย ลึกๆรู้ดีว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับอัปลักษณ์ ที่คลอดออกมาจากมดลูก คมช. โดยฝีมือของ ประสงค์ สุ่นศิริ แถมใช้กองทัพขู่ ขณะที่รัฐบาลขณะนั้นก็หลอกล่อให้รับๆไปก่อน ไม่พอใจค่อยไปแก้ไขกันทีหลัง
และที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ก็แก้ไขได้ หากพรรคเพื่อไทยจะแก้ไขบ้างด้วยอำนาจนิติบัญญัติ แล้วองค์กรอิสระ หรือใครต่อใครต้านไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้เลย มันก็ส่อเจตนาลำเอียงชัด

ฉะนั้นคนส่วนใหญ่ที่มีใจเป็นธรรม เขาถึงไม่หือไม่อือกับการที่สภาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำบ้าง โล๊ะทิ้ง ส.ว.ลากตั้งบ้าง... แต่มันไม่ใช่สำหรับเรื่องการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง

ยิ่งตลอดมานับตั้งแต่ปี 2548 ฐานข้อมูลในความคิดความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่ง มาจากการปลูกฝังของแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จนทำให้คนที่เชื่อไม่เพียงปักใจว่า รัฐบาลอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ทุจริต คอรัปชั่น และเอื้อประโยชน์พวกพ้อง แต่ได้กลายเป็นความโกรธเกลียดสะสมมายาวนาน

ยิ่งในโลกของสื่อและสังคมออนไลน์ ขั้วตรงข้ามทักษิณ ขั้วตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ได้ให้ข้อมูลเพื่อปลูกฝังความเกลียดชังเพิ่มตลอดเวลา สะท้อนชัดจากคอมเมนท์ในโลกออนไลน์ ที่คนทั้งประเทศเห็นและรับรู้ว่ามีกลุ่มคนที่เกลียดชังอย่างรุนแรงอยู่จริง

แต่พรรคเพื่อไทยตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวน ทำเหมือนไม่รู้ว่ามีความรู้สึกในขั้วนี้ดำรงอยู่ ตลอดมาจึงไม่เคยที่จะมีการสร้างความเข้าใจ หรือหาทางเปลี่ยนฐานความเชื่อเพื่อให้ความโกรธเกลียดลดลงมาเลย

ฉะนั้นแม้ว่าการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง จะเหมาหมดทุกสีทุกกลุ่ม ทุกคนทุกระดับ แต่เมื่อมี อดีตนายกฯทักษิณ อยู่ในข่ายด้วยเท่านั้น คนกลุ่มนี้ไม่มีวันที่จะรับได้อย่างเด็ดขาด

ในขณะที่บรรดาคณาจารย์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะอาจารย์ทางด้านนิติศาสตร์ ไม่สามารถที่จะยอมรับวิธีการแก้ไขร่างฝีมือกรรมาธิการได้ รวมทั้งการขยายเป็นการเหมาเข่ง จึงได้กลายเป็นเรื่อง

เพราะแม้แต่คนเสื้อแดงก็ยอมรับไม่ได้เช่นกัน

อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยมองข้ามสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือในการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2554 แม้พรรคเพื่อไทยจะชนะได้คะแนนเสียงทั่วประเทศ 15 ล้านเสียงก็ตาม แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ 12 ล้านเสียง

แถมเป็น 12 ล้านเสียงที่ไม่เอาพรรคเพี่อไทย ไม่เอาอดีตนายกฯทักษิณเสียด้วย

เป็น 12 ล้านเสียงที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ฉะนั้นปรากฏการณ์ต้านนิรโทษกรรมเหมาเข่งจึงเกิดขึ้นทั่วประเทศอย่างที่เห็น หรือแม้แต่คนไทยในต่างแดนก็มีด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อต้นปีที่ผ่านมา คะแนนของคนกรุงเทพฯที่เทให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร 1.2 ล้านเสียงนั้น ส่วนหนึ่งคือแฟนคลับประชาธิปัตย์ก็จริง แต่อีกส่วนหนึ่งคือคะแนนจากพวกที่ไม่เอาพรรคเพื่อไทย

ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยลืมไปหรือเปล่าว่า คะแนน 1.2 ล้านเสียงนั้น มีทั้งกลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัย พนักงานรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการ นักธุรกิจ ศิลปินดารา ส่วนหนึ่งที่รวมอยู่ในนั้นด้วย เมื่อเกิดกรณีต้านนิรโทษกรรมเหมาเข่งขึ้นมา คนกลุ่มนี้ถึงได้ออกมากันอย่างหลากหลาย

แค่ในกรุงเทพฯ 1.2 ล้านเสียงที่เลือกคุณชายหมู หากออกมาแค่ 10% ก็เท่ากับ 1.2 แสนคนแล้ว

ในขณะที่ ส.ส. สก. และ สข. ของพรรคเพื่อไทย กลับทำไม่รู้ไม่ชี้ใดๆ ยังไปเที่ยวไปทัวร์ต่างประเทศกันเฉยเลย เพราะประมาทคิดว่าไม่มีอะไร

ดังนั้นยิ่งเมื่อได้สื่อโทรทัศน์ที่รายงานข่าวม็อบตลอดเวลาว่ามากันเท่านั้นเท่านี้ แล้วจะไปไหนต่อ นัดกันตอนกี่โมง รายการเล่าข่าวของ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ทางช่อง 3 กลายเป็นการแจ้งนัดหมายที่ดีที่สุด

โทรทัศน์ของรัฐ ก็แข่งกันรายงานด้วยเช่นกัน โดยที่ข่าวรัฐบาลแทบจะตกเวทีไปเลย กระแสต้านก็เลยกลายเป็นเทรนด์เป็นกระแสไปในที่สุด... เฮ้ย ข่าวทีวีบอกว่าเค้าออกกันมาเยอะแล้ว เราไปกันเถอะ!!! เราไปดีมั้ย???

จุดเหล่านี้แหละที่พรรคเพื่อไทยพลาดอย่างมหันต์

และทำให้ม็อบสวนลุมฯ ม็อบอุรุพงษ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ฉกฉวยประโยชน์จากสถานการณ์รุมต้านครั้งนี้ไปได้อย่างเต็มๆ

จนสุดท้ายต้องเข้าเกียร์ถอยหลังฝุ่นตลบ เพราะไม่ได้เบรกแค่ร่างกฎหมายฉบับเหมาเข่งสุดซอยฉบับเดียว แต่ต้องถอนร่างหมดทั้ง 6 ฉบับ

เสียหายหนักทั้งๆที่หลังจากนายประยุทธ์นำทีมกรรมาธิการฯแก้ไข ก็ระงมไปด้วยเสียงเตือนแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของอดีตนายกฯทักษิณ ก็ยังออกมาเตือน ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย

แต่ดวงจะซวย เสียงเตือนต่างๆไม่ได้เข้าหูของกรรมาธิการ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้ใหญ่ภายในพรรค คณะกรรมการบริหาร คณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค ล้วนมืดบอดในสถานการณ์ไปหมด เพราะยังดันทุรังมีมติให้ ส.ส.พรรคเดินหน้าต่อ ดันวาระ 2 วาระ 3 รวดเดียวเสร็จตอนตี 3 ตี 4 จึงยิ่งกลายเป็นประเด็นต้านหนักยิ่งขึ้น

สุดท้ายจึงเจอเกมหนักอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้

ก็อย่างที่ โอ๊ค เขียนเฟซบุ๊กนั่นแหละว่า... ใช่ครับพี่... ดีครับผม... เหมาะสมครับนาย... มักจะลงท้ายด้วยคำว่า “ฉิบหายแล้วครับท่าน” ทุกทีไปครับ...

โอ๊คยังอ่านได้ขาด แล้วถามว่าบรรดา ส.ส. บรรดากรรมการบริหารพรรค กรรมการยุทธศาสตร์ และผู้ใหญ่ในพรรค ทำไมจึงอ่านไม่ขาด ถึงได้พลาดพลั้งในทางการเมืองขนาดนี้

ยังดีที่วันนี้เริ่มจะตั้งหลักได้แล้ว ยอมถอยสุดซอย ถึงขึ้นลงนามสัตยาบรรณกับพรรคร่วมรัฐบาล ว่าจะไม่
เอาร่างนิรโทษกรรมฉบับเจ้าปัญหามาพิจารณาอีก หากว่าวุฒิสภามีมติคว่ำร่างฯ

แต่กลายเป็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังหลงใหลได้ปลื้มที่จู่ๆเพื่อไทยเขี่ยลูกมาเข้าเท้าฟรีๆแบบนี้ ก็เลยคิดว่าเป็นโอกาสทองที่จะทำลายคู่แข่งทางการเมืองให้สิ้นซากในคราวนี้ไปเลย เพราะเห็นมีผู้คนออกมาต้านนิรโทษกรรมเยอะ

ตรงนี้แหละที่จะกลายเป็น “ผลัดกันพลาด”คนละที จากความดื้อรั้นดันทุรังทางการเมือง

เพื่อไทยพลาดก่อนเพราะดื้อรั้นดันทุรังจะเหมาเข่งสุดซอย

ตอนนี้ประชาธิปัตย์กำลังจะพลาดบ้าง เพราะจะเอาแรงต้านนิรโทษกรรม มายกระดับเป็นการขับไล่รัฐบาล

ประชาธิปัตย์กำลังตามืดตามัวด้วยอารมณ์คึกเกินพิกัด จนลืมไปแล้วว่า บรรดาเสียงบริสุทธิ์ที่ออกมาต้านนิรโทษกรรมเหมาเข่งไม่ได้นั้น เขาจะเอาด้วยหรือเปล่ากับการขับไล่รัฐบาล???

อย่าลืมว่าคนพวกนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง เป็นเพียงแค่ต้องการกติกาที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานของหลักนิติรัฐ นิติธรรม และคนกลุ่มนี้รู้ดีว่าการยกระดับไล่รัฐบาล สุดท้ายแล้วประชาธิปัตย์ก็คือพรรคที่จะคว้าผลประโยชน์ทางการเมืองไปเต็มๆ

ไม่เช่นนั้นทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ คงไม่พยายามที่จะปลุกกระแสให้อยู่ยาวไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้หยุดเมื่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยรวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลยอมถอย

โดยเฉพาะนายสุเทพ วันนี้ขึ้นเวทีด้วยลีลาที่ยิ่งกว่า โน้ต อุดม แต้พานิช หรือ เบิร์ด ธงไชย เวลาเอนเตอร์เทนคนดูเสียอีก

ใครจะคิดว่า คนสูงวัยนายสุเทพ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองสุราษฎร์ จะใช้มุกดราม่าก้มกราบ จะใช้ลีลาวิ่งไปวิ่งมาบนเวที เพื่อแลกเสียงเฮ หวังเรียกความนิยมสุดๆให้ได้... ลงทุนเพื่อให้ม็อบอยู่ต่ออย่างสุดชีวิต

ลืมคำพูดก่อนวันที่หน้าเวทีอภิปรายจะหนาแน่นไปด้วยผู้คนไปจนหมดสิ้น ที่เคยบอกว่าจะสู้เพื่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม แต่วันนี้เลยเถิดไปถึงขั้นหลุดปากจะตั้งศาลประชาชน มาพิพากษารัฐบาล มาพิพากษาคนในตระกูลชินวัตร

ถามว่าถ้าปลุกระดมกันแบบนั้น แล้วหลักนิติรัฐ นิติธรรม หลักกฎหมาย หลักยุติธรรม ที่พรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่หัวแถวยันหางแถวชอบอ้างปาวๆอยู่เป็นประจำนั้น... จะอยู่ตรงไหน???

ถ้าเล่นการเมืองกันแบบนี้ แล้วเกิดวันหนึ่งมีม็อบประชาชนรวมกลุ่มตั้งศาลประชาชนเล่นงานฆาตกร 99 ศพบ้างล่ะ... และถ้าวันนั้นบอกว่าจะพิพากษาโทษคนใน “ตระกูลเทือกสุบรรณ”บ้างล่ะ จะรู้สึกอย่างไร

แต่สำคัญที่สุด ขื่อ แปของบ้านเมืองจะอยู่ตรงไหน หากเล่นการเมืองแบบไม่สนใจกฎหมายบ้านเมืองกันแบบนี้... ขอเตือนกันตรงๆแบบนี้แหละ เพราะไม่อยากที่จะเห็นคนไทยไม่ว่ากลุ่มใดก็ตามลุกขึ้นมาเข่นฆ่าทำลายล้างกันเอง

วันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงก็ประกาศชัดแล้วว่า ไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่ง แต่ก็ไม่เอาการเล่นเกมเล่นการเมืองนอกระบบ หรือการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยการปลุกระดมเช่นนี้

ฉะนั้นขอเตือนว่า สุเทพ หยุดเถอะ รู้จักพอเสียบ้าง อย่าคิดแต่จะฉวยโอกาสอย่างเดียว

ถ้าพรรคเพื่อไทยเลวจริง ทุจริตคอรัปชั่น สวาปามกันปากมันจริงๆ เอาไปใช้เล่นงานตอนหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อให้ได้ชัยชนะอย่างสวยงามตามระบบไม่ดีกว่าหรือ

ได้เป็นรัฐบาลก็สง่างาม กว่าการที่ยืมมือประชาชนโค่นล้มรัฐบาลเพื่อให้ตนเองได้เป็นรัฐบาล

แต่หากจะคิดว่า เคยสั่งสลายการชุมนุมจนมีคนตายมา 99 ศพ บาดเจ็บกว่า 2 พันคนมาแล้ว ยังไม่มีอะไร ฉะนั้นหากจะปลุกม็อบให้อยู่ยาวโดยไม่สนใจสิ่งที่จะเกิดขึ้น สิ่งที่จะกระทบกับประเทศไทย จะอะไรหนักหนานั้น ก็ตามใจ

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม... พระท่านเตือนสติอยู่เสมอแล้วนะ อย่าลืม

ที่มา.บางกอกทูเดย์
-------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น