พลังประชาชน พลังม็อบบริสุทธิ์ ที่ออกมาคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ฉบับสุดซอย
ถือเป็นบทเรียนทางการเมืองสำหรับนักการเมือง และพรรคการเมืองไทยได้เป็นอย่างดี
มันคือคำเตือน หากเป็นสิ่งที่ประชาชนรับไม่ได้ ก็ยากที่จะฝืนหรือต้านทานกระแสความรู้สึกของประชาชน
นับตั้งแต่วันแรกที่กรรมาธิการฯ ที่นำโดยนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ออกมาแปลงสาร แก้ไขร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของนายวรชัย เหมะ ที่ผ่านสภามาในวาระที่ 1 โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่รับได้ ให้กลายเป็นเหมาเข่งที่ประชาชนรับไม่ได้ จนออกมาคัดค้านกันพรึ่บนั้น
“บางกอก ทูเดย์” ได้ออกโรงเตือนตั้งแต่แรกแล้วว่า กรรมาธิการฯกำลังเล่นกับไฟ และแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ต้นในฐานะจิตวิญญาณประชาธิปไตย
แล้วก็เป็นอย่างที่เตือนจริงๆ เพราะเมื่อกรรมาธิการฯดันทุรังยืนยันด้วยเสียงข้างมาก พร้อมดันเข้าสภาฯพิจารณาวาระ 2 แล้วลงมติเร่งจังหวะผ่านวาระ 3 ไปด้วยเลยในช่วงตี 3 ตี 4 แรงต้านแรงคัดค้านจึงออกมาหลากหลายกลุ่มในทันที
และทำให้กลายเป็นโอกาสของม็อบขั้วตรงข้าม ของพรรคการเมืองตรงข้ามอย่างพรรคประชาธิปัตย์ฉกฉวยสถานการณ์ในทันทีเช่นกัน
ไม่เพียงเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และกลายเป็นบาดแผลของความน่าเชื่อถือในสายตาของสังคมที่ขั้วตรงข้ามนำไปใช้ขยายแผลหวังผลกันอุตลุด
แต่ยังต้องถือว่าเป็นความบกพร่องอย่างร้ายแรงของคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ที่ประเมินผิดพลาดจนพรรคเกือบพัง ซึ่งหากเป็นในการสงครามสมัยก่อน คณะกรรมการยุทธศาตร์พวกนี้หากไม่ถูกประหารหมด ก็ต้องถูกถอดยศเป็นไพร่ราบทหารระดับล่างไปหมดแล้วแน่นอน
ไม่สามารถที่จะมานั่งทำทองไม่รู้ร้อนได้เหมือนอย่างวันนี้แน่ๆ
มีอย่างที่ไหนปล่อยให้ขบวนการเชลียร์นายใหญ่ เล่นกันจนพัง กลายเป็นทำให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกที่นั่งลำบากอย่างในขณะนี้
ทำให้บรรดาลูกเด็กเล็กแดงที่เคยอยู่สบายๆ ไปเที่ยวไปไหนตามถนนตามห้างได้โดยไม่ต้องหวาดกังวล กลายเป็นต้องลำบาก จะไปไหนก็ไม่กล้า เพราะพรรคการเมืองตรงข้ามพยายามปลุกเร้ามวลชนให้ขยายผลไปเล่นงานในระดับตระกูล
ยังดีที่สังคมไทยโดยรวมที่เป็นพลังบริสุทธิ์ ไม่ได้มึนเมาไปกับกระแสปลุกเร้าของแกนนำอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่พูดราวกับคนเมายา ทำให้เมื่อพรรคเพื่อไทยถอยกรูด ถอนร่างต่างๆอย่างหมดสภาพ บรรดาผู้ที่คัดค้านร่างนิรโทษกรรมเหมาเข่ง จึงพึงพอใจและหยุด ณ จุดที่ลงตัว
แต่ก็ใช่ว่าจะไว้ใจเสียทีเดียว ก่อนหยุดก็ยังปรามเหมือนให้รู้ว่า หากมีการตระบัดสัตย์ ยัดไส้สอดไส้กลับมาอีกครั้งเมื่อใด เป็นเจอของจริงชุดใหญ่จัดหนักกว่าเดิมอีกแน่นอน
180 วันจากนี้ไป ถือเป็นจุดวัดใจ วัดความบริสุทธิ์ใจของพรรคเพื่อไทยกับพลังบริสุทธิ์
ฉะนั้นจากนี้ไปทางเลือกของพรรคเพื่อไทยมีแต่ช่วยกันประคับประคองให้รัฐบาลได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนจริงๆ
เลิกซะทีเถอะกับการปล่อยให้ใครบางคนทำให้รัฐบาลต้องเสียรังวัด ไม่ว่าจะเป็นขบวนการเชลียร์ อย่างที่ โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร ตีแสกหน้าตรงๆว่า พวกนี้ก็ดีแต่ประจบสอพลอ... ใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย
แต่สุดท้ายก็... ฉิบหายแล้วครับท่าน!!!
รวมทั้งเลิกซะทีกับการปล่อยให้คนรอบข้างมูมมามตะกละตะกรามกันจนปากมัน ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ จนแซ่ดสนั่นไปทั้งประเทศ กลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลที่ทำให้คะแนนนิยมตกลงไปอย่างน่าเสียดาย
อย่าลืมสิ ประชาชนไม่ได้โง่!!
หากวันนี้ทุกองคาพยพของพรรคเพื่อไทย ช่วยกันหยุดกิเลสและความอยาก หนุนให้รัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่ในช่วง 2 ปีที่เหลือ รับรองได้ว่าประชาชนจะเห็นได้เอง
หากทำได้อย่างนั้น แม้แต่อำนาจนอกระบบใดๆ ก็คงไม่กล้าที่จะเสี่ยง
ดูง่ายๆก็คงเห็นแล้วว่า ประชาชนไม่ได้โง่ ประชาชนไม่ใช่ไม่มีเหตุผล เมื่อเพื่อไทยยอมถอยร่างนิรโทษกรรมเหมาเข่ง บรรดาองค์กรที่มีเกียติ คณาจารย์ นักศึกษา ประชาชน ที่ต้านเรื่องนี้ ก็ยอมที่จะหยุด
ไม่ใช่หยุดเฉยๆ ยังดาหน้ากันออกมาไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายสุเทพ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการสร้างสถานการณ์ป่วนบ้านเมือง สร้างผลกระทบต่อประเทศเพื่อหวังประโยชน์ทางการเมืองทั้งหลายนั้นด้วย
ไม่มีองค์กรที่มีเกียรติเอาด้วยเลยสักแห่ง
นี่คือบทเรียนที่เห็นชัด... อยู่เพียงแค่ว่า เพื่อไทยเห็นหรือไม่ ประชาธิปัตย์เห็นหรือไม่เท่านั้นเอง
แต่เชื่อว่ายังคงมีคนไม่เห็นหรือมองข้ามพลังบริสุทธิ์ของประชาชนอยู่ จึงมีความพยายามที่จะลากยาวม็อบบ้างล่ะ หรือบางกลุ่มถึงขนาดแต่งกายในเครื่องแบบทหาร เรียกผู้บริหารหน่วยงานโน่นนี่นั่น โดยเฉพาะบรรดาผู้นำรัฐวิสหกิจ มาที่โรงแรม เดอะ ลอร์ดฯ รัชดาภิเษก เพื่อจะให้ร่วมมือโค่นล้มรัฐบาล
เล่นเอาผู้คนอึดอัด เอือมระอาเป็นอย่างยิ่ง... นี่มันยุคประชาธิปไตยแล้ว จะแต่งทหารมาชวนแช่แข็งประเทศไทยแบบนี้... เอารอยหยักส่วนไหนมาคิด
ก็เลยไม่มีใครเอาด้วย กับความพยายามปลุกเกมปฏิวัติรัฐประหารเพื่อแช่แข็งประเทศชาติ
เพราะทุกคนมองตรงกันว่า จะเล่นเกมเป็นคู่อาฆาตทางการเมือง จะเป็นขั้วตรงข้าม จะแย่งชิงผลประโยชน์แย่งอำนาจอะไรกันก็ช่างเถอะ แต่ไม่ควรที่จะสร้างความปั่นป่วนเสียหายให้กับประเทศชาติ
ที่สำคัญหากเล่นการเมืองกันแบบนี้ ใครขึ้นมาก็ถูกฝ่ายตรงข้ามโค่น อย่างที่ประชาธิปัตย์พยายามกระทำ ถามว่าถ้าประชาธิปัตย์พลิกเกมกลับขึ้นมาได้ โดยไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง อีกฝ่ายหนึ่งจะยอมหรือ?
ก็ต้องโค่นกันไม่จบไม่สิ้น แล้วประชาชนแล้วประเทศชาติจะเดินหน้าได้อย่างไร
ทำไมประชาธิปัตย์ไม่ใช้เวลา 2 ปีที่เหลือสร้างผลงานให้ประชาชนยอมรับ แล้วกลับมาชนะการเลือกตั้งให้ได้ด้วยตัวเอง ปฏิรูปพรรคให้มีคุณค่าในสายตาประชาชนอย่างที่นายอลงกรณ์ พลบุตร เสนอ
ถามจริงๆ ประชาธิปัตย์ทำในสิ่งที่ดีสิ่งที่สร้างสรรค์ไม่เป็นหรืออย่างไร
วันนี้วิธีการเล่นการเมืองแบบทำลายล้างควรต้องหยุดได้แล้ว รวมทั้งการใช้อำนาจพิเศษต่างๆด้วย
อย่างที่กำลังลือกันสนั่นว่า จะมีความพยายามใช้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาแก้ปัญหาด้วยการเล่นงานพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้
จริงเท็จไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือหวาดเสียวกันทั่วบ้านทั่วเมือง
อย่าลืมว่า 6-7 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วการใช้อำนาจตุลาการภิวัฒน์ ด้วยการยุบพรรค ด้วยการเว้นวรรคการเมือง ไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาจบสิ้นลงได้เลย
มีแต่ทำให้เสียงครหา 2 มาตรฐาน เสียงครหา ชั่ง เอียง เอียง ดังก้องประเทศ และทำให้คนประชาธิปไตยเฮละโลไปช่วยฝ่ายที่ถูกตุลาการภิวัฒน์รังแก
มีอย่างที่ไหน ขั้วหนึ่งทำอะไรก็ผิดไปหมดทุกเรื่อง ส่วนอีกขั้วหนึ่งทำอะไรไม่ผิดเลย จนแต้มขึ้นมาชนะฟาล์วแบบด้านๆก็ยังทำกัน... ปัญหาก็เลยยิ่งไม่จบ
ดังนั้นท่ามกลางข่าวลือเรื่องวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ บางกอก ทูเดย์ ยังเชื่อมั่นว่า ศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันที่มีนายจรูญ อินทจาร เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ และมีนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ เข้ามาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่เพิ่มขึ้นอีกคน แทนนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ลาออกไปนั้น
จะทำหน้าที่อย่างมีอิสระ บนความถูกต้อง ให้สมกับเป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริง!!!
และคงไม่คิดเลือกข้างใครเหมือนอย่างที่เคยมีเสียงครหาชุดก่อนๆในอดีตมาตลอด ซึ่งหากจะเลือกข้างก็เชื่อว่าจะเลือกข้างประชาธิปไตยและความถูกต้องเป็นสำคัญ
ไม่ใช่การเลือกข้างม็อบอย่างที่ร่ำลือกันสนุกปากในเหล่าแกนนำม็อบบางคนขณะนี้ ว่าเตรียมเปิดแชมเปญฉลองกันแล้วอะไรทำนองนั้น
วันนี้ต้องบอกว่าความรับผิดชอบต่อประเทศชาติของ 9 ตุลาการรัฐธรรมนูญนั้นสูงยิ่ง
เพราะประชาชนทุกชีวิต และความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ อยู่ในมือของศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันนี้แหละ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร???
จะวุ่น จะสงบ หรือแม้แต่จะพัง... ศาลรัฐธรรมนูญคือตัวแปรสำคัญ
โดยที่มีอดีตเป็นเครื่องเตือนใจ ว่าอคติส่วนตัวใช่หรือไม่ ที่ทำให้ปัญหาบานปลายมาจนวันนี้
อย่าลืมสิว่า... ประชาชนไม่ได้โง่!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น