โดย สรกล อดุลยานนท์
ความผิดพลาดของ "ทักษิณ ชินวัตร"
ที่ทำให้ความไม่พอใจเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมขยายวงไปทั่วประเทศในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
สรุปสั้นๆ ได้ว่า เกิดจากเขาคิดแต่ "เป้าหมาย" จนไม่สนใจ "วิธีการ"
ใช้เล่ห์เหลี่ยมแก้ไขเนื้อหาใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จากที่ให้นิรโทษกรรมเฉพาะนักโทษการเมืองที่ติดคุกอยู่ มาเป็นนิรโทษกรรมแบบ "เหมาเข่ง"
พ่วงตัวเองเข้าไปด้วย
ทั้งที่ในวาระแรก พรรคเพื่อไทยยืนยัน นอนยัน และนั่งยันว่าจะไม่มีการยัดไส้
แต่พอเห็น "โอกาส" ที่ "ม็อบ" จุดไม่ขึ้นหลายครั้ง และคุยกับ "สีเขียว" รู้เรื่อง
เพราะ "สีเขียว" ก็ต้องการนิรโทษกรรมด้วย
"ทักษิณ" รุกเร็วทันที ทั้งแก้ไขเนื้อหาในวาระที่ 2 ในชั้นกรรมาธิการ ตามด้วยการลงมติในวาระที่ 2-3 แบบลืมวันลืมคืน
ลงมติตอนตีสี่
พรรคเพื่อไทยคิดแบบชิงไหวชิงพริบในทางการเมือง เพราะพรรคประชาธิปัตย์กำลังเริ่มปลุกม็อบ ถ้าปล่อยให้ถกมาตรา 3 ในวันรุ่งขึ้น ม็อบอาจรุกเข้าล้อมสภาได้
พรรคเพื่อไทยเลยคิดง่าย ๆ ว่า อย่างนั้นก็เอาให้จบในคืนนั้นไปเลย
แทนที่จะปิดประชุมและไปถกต่อ
ในตอนเช้าเหมือนญัตติทั่วไป
คิดแต่ "เป้าหมาย" โดยลืม "วิธีการ"
ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ นอกเหนือจากไม่พอใจ "เนื้อหา" แล้ว เขายังไม่พอใจวิธีการทั้ง "สอดไส้" และใช้อำนาจของ "เสียงข้างมาก" รีบผ่านวาระ 2-3 ตอนตีสี่
คิดดูสิครับ คนเสื้อแดงใช้เวลาเป็นปี กว่าจะปลุกม็อบจนเต็มอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
แต่ "ทักษิณ" ใช้เวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียว ช่วยปลุกม็อบให้พรรคประชาธิปัตย์
เก่งจริง ๆ
สิ่งที่ "ทักษิณ" และพรรคเพื่อไทย
สูญเสียมากที่สุดในเกมนี้ก็คือ "ความน่าเชื่อถือ"
ในอดีต "ทักษิณ" สร้างความน่าเชื่อถือขึ้นมาในการเมืองไทย ด้วยการหาเสียงด้วยนโยบาย และทำตามสัญญา
ทั้ง 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ
"ความน่าเชื่อถือ" ของเขาทำให้พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ชนะเลือกตั้งมาโดยตลอด
แต่วันนี้ "ความน่าเชื่อถือ" ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของเขาพังทลายสิ้นในเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียว
เสียทั้งมิตร เพิ่มกำลังให้ศัตรู
ครบทุกกระบวนท่า
แม้วันนี้พรรคเพื่อไทยจะยอมถอยแบบหนียะย่าย พ่ายยับเยิน
พยายามดึง "ฟืน" ออกจากกองไฟ
แต่ "ความรู้สึก" ของ "ม็อบ" บางส่วนไกลเกินกว่าคำว่า "ค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" แล้ว
ลมการเมืองวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าจะ "แรง" และไป "ไกล" แค่ไหน ??
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต จะพิสูจน์ให้รู้ว่าเรามี "สติ" แค่ไหน
เพราะ "สติ" จะกำหนด "วิธีการ" ที่ถูกต้องและชอบธรรม
พรรคประชาธิปัตย์ก็เคยมีบทเรียนมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อตอนจับมือกับอำนาจนอกระบบจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
มองแต่ "เป้าหมาย" ที่จะเป็นรัฐบาล
ไม่คำนึงถึง "วิธีการ"
ภาพลักษณ์นักประชาธิปไตยของ "อภิสิทธิ์" และพรรคประชาธิปัตย์จึงเสียหายยับเยินตั้งแต่วันนั้น
ครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ "อภิสิทธิ์" และพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะมี "สติ" แค่ไหน
เพราะอารมณ์ม็อบในวันนี้แรงมาก
ถ้าจะคิดล้มรัฐบาลก็ถือเป็น
"โอกาสทอง"
เพียงแต่คงไม่ใช่ตามวิถีทางประชาธิปไตยอย่างแน่นอน
ดังนั้น ถ้า "อภิสิทธิ์" และพรรคประชาธิปัตย์เลือก "วิธีการ" ผิดเหมือนที่ "ทักษิณ" และพรรคเพื่อไทยเคยผิดพลาดมาแล้ว
"คนเสื้อแดง" ที่เริ่มแตกจะกลับมารวมกันเช่นเดิม
เข็มนาฬิกาของประวัติศาสตร์การเมืองก็จะหมุนกลับอีกครั้งหนึ่ง
ถึงวันนั้น"ตัวใคร-ตัวมัน" ครับ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-------------------------------------------
ความผิดพลาดของ "ทักษิณ ชินวัตร"
ที่ทำให้ความไม่พอใจเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมขยายวงไปทั่วประเทศในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
สรุปสั้นๆ ได้ว่า เกิดจากเขาคิดแต่ "เป้าหมาย" จนไม่สนใจ "วิธีการ"
ใช้เล่ห์เหลี่ยมแก้ไขเนื้อหาใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จากที่ให้นิรโทษกรรมเฉพาะนักโทษการเมืองที่ติดคุกอยู่ มาเป็นนิรโทษกรรมแบบ "เหมาเข่ง"
พ่วงตัวเองเข้าไปด้วย
ทั้งที่ในวาระแรก พรรคเพื่อไทยยืนยัน นอนยัน และนั่งยันว่าจะไม่มีการยัดไส้
แต่พอเห็น "โอกาส" ที่ "ม็อบ" จุดไม่ขึ้นหลายครั้ง และคุยกับ "สีเขียว" รู้เรื่อง
เพราะ "สีเขียว" ก็ต้องการนิรโทษกรรมด้วย
"ทักษิณ" รุกเร็วทันที ทั้งแก้ไขเนื้อหาในวาระที่ 2 ในชั้นกรรมาธิการ ตามด้วยการลงมติในวาระที่ 2-3 แบบลืมวันลืมคืน
ลงมติตอนตีสี่
พรรคเพื่อไทยคิดแบบชิงไหวชิงพริบในทางการเมือง เพราะพรรคประชาธิปัตย์กำลังเริ่มปลุกม็อบ ถ้าปล่อยให้ถกมาตรา 3 ในวันรุ่งขึ้น ม็อบอาจรุกเข้าล้อมสภาได้
พรรคเพื่อไทยเลยคิดง่าย ๆ ว่า อย่างนั้นก็เอาให้จบในคืนนั้นไปเลย
แทนที่จะปิดประชุมและไปถกต่อ
ในตอนเช้าเหมือนญัตติทั่วไป
คิดแต่ "เป้าหมาย" โดยลืม "วิธีการ"
ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ นอกเหนือจากไม่พอใจ "เนื้อหา" แล้ว เขายังไม่พอใจวิธีการทั้ง "สอดไส้" และใช้อำนาจของ "เสียงข้างมาก" รีบผ่านวาระ 2-3 ตอนตีสี่
คิดดูสิครับ คนเสื้อแดงใช้เวลาเป็นปี กว่าจะปลุกม็อบจนเต็มอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
แต่ "ทักษิณ" ใช้เวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียว ช่วยปลุกม็อบให้พรรคประชาธิปัตย์
เก่งจริง ๆ
สิ่งที่ "ทักษิณ" และพรรคเพื่อไทย
สูญเสียมากที่สุดในเกมนี้ก็คือ "ความน่าเชื่อถือ"
ในอดีต "ทักษิณ" สร้างความน่าเชื่อถือขึ้นมาในการเมืองไทย ด้วยการหาเสียงด้วยนโยบาย และทำตามสัญญา
ทั้ง 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ
"ความน่าเชื่อถือ" ของเขาทำให้พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ชนะเลือกตั้งมาโดยตลอด
แต่วันนี้ "ความน่าเชื่อถือ" ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของเขาพังทลายสิ้นในเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียว
เสียทั้งมิตร เพิ่มกำลังให้ศัตรู
ครบทุกกระบวนท่า
แม้วันนี้พรรคเพื่อไทยจะยอมถอยแบบหนียะย่าย พ่ายยับเยิน
พยายามดึง "ฟืน" ออกจากกองไฟ
แต่ "ความรู้สึก" ของ "ม็อบ" บางส่วนไกลเกินกว่าคำว่า "ค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" แล้ว
ลมการเมืองวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าจะ "แรง" และไป "ไกล" แค่ไหน ??
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต จะพิสูจน์ให้รู้ว่าเรามี "สติ" แค่ไหน
เพราะ "สติ" จะกำหนด "วิธีการ" ที่ถูกต้องและชอบธรรม
พรรคประชาธิปัตย์ก็เคยมีบทเรียนมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อตอนจับมือกับอำนาจนอกระบบจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
มองแต่ "เป้าหมาย" ที่จะเป็นรัฐบาล
ไม่คำนึงถึง "วิธีการ"
ภาพลักษณ์นักประชาธิปไตยของ "อภิสิทธิ์" และพรรคประชาธิปัตย์จึงเสียหายยับเยินตั้งแต่วันนั้น
ครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ "อภิสิทธิ์" และพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะมี "สติ" แค่ไหน
เพราะอารมณ์ม็อบในวันนี้แรงมาก
ถ้าจะคิดล้มรัฐบาลก็ถือเป็น
"โอกาสทอง"
เพียงแต่คงไม่ใช่ตามวิถีทางประชาธิปไตยอย่างแน่นอน
ดังนั้น ถ้า "อภิสิทธิ์" และพรรคประชาธิปัตย์เลือก "วิธีการ" ผิดเหมือนที่ "ทักษิณ" และพรรคเพื่อไทยเคยผิดพลาดมาแล้ว
"คนเสื้อแดง" ที่เริ่มแตกจะกลับมารวมกันเช่นเดิม
เข็มนาฬิกาของประวัติศาสตร์การเมืองก็จะหมุนกลับอีกครั้งหนึ่ง
ถึงวันนั้น"ตัวใคร-ตัวมัน" ครับ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น