โดย.ศ.ดร.วรภัทร โตธนะเกษม
การมีผู้นำเผด็จการ และผู้มีอำนาจในสังคมต่างคอร์รัปชันกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ทำให้ประเทศซึ่งครั้งหนึ่งเคยโดดเด่นกว่าประเทศไทยของเรา กลับต้อง เตี้ยลงๆ จนกลายเป็น “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” (Sick Man of Asia) มาเป็นเวลานานหลายทศวรรษ ประเทศนั้นมีชื่อว่า ฟิลิปปินส์
ประเทศนี้มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา มีทั้งการลอบสังหาร นายนินอย อาคิโน จูเนียร์ อดีตผู้นำฝ่ายค้าน เสียชีวิตทันทีที่ลงจากเครื่องบิน ไปจนถึงการปฏิวัติโดย “พลังประชาชน” (People Power) เพื่อล้มล้างรัฐบาลคอร์รัปชันของนายเฟอดินัล มากอส และการจำคุกอดีตประธานาธิบดีหญิง กลอเรีย มาคาปากัล เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ผู้ป่วยรายนี้ ต้องนอนซบเซาด้วยพิษไข้จนแทบโงหัวไม่ขึ้น เข้าโรงพยาบาลมาเป็นเวลานานแสนนาน กลายเป็น “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” ไปอย่างน่าเศร้าใจ
แต่ถ้าหากมีความพยายาม และการเมืองเริ่มสงบ แสงสว่างรำไร ก็เริ่มมาเยือนได้เหมือนกัน เพราะเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ในเดือนกรกฎาคม 2555 บริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (ซึ่งตกต่ำอยู่ในระดับ “ขยะ” มานานหลายสิบปี) จาก BB ให้สูงขึ้นเป็น BB+ และถึงแม้จะยังเป็น “ขยะ” อยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากได้รับการปรับเพิ่มขึ้นอีกเพียง 1 อันดับเท่านั้น ฟิลิปปินส์ ก็จะเข้าสู่ระดับ “ลงทุนได้” ทำให้ผู้ป่วยรายนี้ มีอาการคึกคักขึ้นมาทันที
ปัจจัยในการปรับอันดับครั้งนั้น มีหลายประการ ที่ชัดเจนก็คือ รัฐบาลสามารถบริหารหนี้สาธารณะให้ลงได้อย่างต่อเนื่อง จาก 80% ในปี 2547 เหลือเพียง 50% ในปี 2555 และเงินสำรอง สูงขึ้นเป็น 77 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพียงพอที่จะนำสินค้าเข้าได้เป็นเวลานาน 11 เดือน ในขณะที่ GDP เติบโตขึ้นเกินกว่า 6%
อีกเพียง 8 เดือนต่อมา เมื่อเดือนมีนาคม 2556 Fitch ก็ได้ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตของฟิลิปปินส์เป็น BBB- ซึ่งถือเป็นการก้าวเข้าสู่ระดับ “ลงทุนได้” เป็นครั้งแรก จากนั้น อีก 2 เดือน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 นี้เอง S&P ก็ได้ปรับอันดับของฟิลิปปินส์ เป็น BBB- เช่นกัน จึงถือได้ว่าหมอใหญ่สองราย ได้อนุญาตให้ “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
นอกจากนั้น เมื่อต้นเดือนกันยายน 2556 บลูมเบิร์ก ก็ได้รายงานผลการสำรวจว่า ฟิลิปปินส์ น่าจะเป็น 1 ใน 5 ประเทศ ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในโลก โดยปี 2556 และ 2557 คาดว่าจะเติบโต 6.9% และ 6.4% ตามลำดับ
ล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 29 ตุลาคม สัปดาห์นี้ ธนาคารโลก ก็ได้ออกรายงาน “Doing Business in Asia” ซึ่งระบุว่าฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่อยู่ในอันดับที่ 108 จาก 189 ประเทศทั่วโลก แม้ว่าจะยังเป็นอันดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่ธนาคารโลก ก็รายงานว่า ฟิลิปปินส์ เป็น 1ใน 10 ประเทศทั่วโลก ที่ “ไต่อันดับ” ได้ดีเป็นพิเศษ เพราะสามารถ ก้าวได้มากถึง 30 อันดับ จากปีที่ผ่านมา
ช่วงนี้ ประธานาธิบดี อาคิโน ไปไหน ก็เอ่ยปากพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า ” ฟิลิปปินส์ ไม่ใช่ผู้ป่วยแห่งเอเชียอีกต่อไปแล้ว” และถ้าดูตัวเลขการเติบโตของ GDP เมื่อสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ซึ่งเติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 7.5% และ 7.7% ตามลำดับ นักวิเคราะห์และกองทุนต่างชาติ ก็มองว่ารอยยิ้มของท่านประธานาธิบดีนั้น เป็นรอยยิ้มที่มี “เหตุอันควร”
สำหรับคนไทยเรา ถ้ามองว่าเรื่องราวที่ผมเล่ามานี้เป็นการวิ่งแข่ง ก็สรุปได้ว่า ในลู่วิ่งขณะนี้ ถ้ามองไปข้างหน้า เราไม่เห็นฝุ่นเลย ก็คือสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มอันดับเครดิตสูงสุดในโลกที่ AAA แต่ที่ยังพอเห็นหลังไม่ไกลนักได้แก่ มาเลเซีย ซึ่งมีโอกาสที่เราจะ “สปีด” ให้ทันได้เหมือนกัน แต่ที่ไกลไปอีกพอสมควร คือ เกาหลีใต้ ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ ความจริงก็บาดเจ็บสาหัสเท่าเทียมกับเรา หรือหนักหนากว่าเรา เมื่อครั้งวิกฤติต้มยำกุ้งที่ผ่านมา แต่วันนี้ ทั้งสองประเทศวิ่งนำหน้าเราอย่างชัดเจน
ถ้าหันหลังกลับ ก็พอมองเห็นรำไรว่า อยู่ห่างจากเราพอควร แต่ประมาทไม่ได้เหมือนกัน ได้แก่ อินโดนีเซีย และตอนนี้ ก็ควรต้องเพิ่ม ฟิลิปปินส์ เข้าไปด้วย อีกราย
โอ้ละหนอ ในช่วงเวลาข้างหน้านี้ ใครจะทิ้งใคร และการแข่งขันจะน่าตื่นเต้นสักเพียงใด ผมก็มิอาจทราบได้ เพราะว่าหลังจากที่ผมได้ส่งต้นฉบับไปเมื่อบ่ายวานนี้ เข้าใจว่า ยามค่ำคืนวานนี้ จะมีผู้คนจำนวนมากไปรวมกันอยู่ที่สถานีรถไฟสามเสน พวกเขาไม่ได้ไปขึ้นรถไฟ แต่ไปตามเสียงเป่านกหวีด และก็ไม่ทราบว่าจะอยู่ที่นั่นนานสักเพียงใด รวมทั้งผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด
เมื่อนักวิ่งไทย ต้องอยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ ท่ามกลางเพื่อนบ้าน ที่เริ่มแข็งแรงและมุ่งมั่น เราก็ควรมาช่วยกันปลุกขวัญนักวิ่งไทยอย่างแรงๆ น่าจะดีที่สุด เอ้า...ไทยแลนด์... ไทยแลนด์.... ไทยแลนด์.....
ไม่ปลุกขวัญกันได้ยังไงล่ะ ก็เมื่อฟิลิปปินส์เดินออกมาจากโรงพยาบาลเตียงก็ว่างแล้วนี่
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////
การมีผู้นำเผด็จการ และผู้มีอำนาจในสังคมต่างคอร์รัปชันกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ทำให้ประเทศซึ่งครั้งหนึ่งเคยโดดเด่นกว่าประเทศไทยของเรา กลับต้อง เตี้ยลงๆ จนกลายเป็น “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” (Sick Man of Asia) มาเป็นเวลานานหลายทศวรรษ ประเทศนั้นมีชื่อว่า ฟิลิปปินส์
ประเทศนี้มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา มีทั้งการลอบสังหาร นายนินอย อาคิโน จูเนียร์ อดีตผู้นำฝ่ายค้าน เสียชีวิตทันทีที่ลงจากเครื่องบิน ไปจนถึงการปฏิวัติโดย “พลังประชาชน” (People Power) เพื่อล้มล้างรัฐบาลคอร์รัปชันของนายเฟอดินัล มากอส และการจำคุกอดีตประธานาธิบดีหญิง กลอเรีย มาคาปากัล เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ผู้ป่วยรายนี้ ต้องนอนซบเซาด้วยพิษไข้จนแทบโงหัวไม่ขึ้น เข้าโรงพยาบาลมาเป็นเวลานานแสนนาน กลายเป็น “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” ไปอย่างน่าเศร้าใจ
แต่ถ้าหากมีความพยายาม และการเมืองเริ่มสงบ แสงสว่างรำไร ก็เริ่มมาเยือนได้เหมือนกัน เพราะเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ในเดือนกรกฎาคม 2555 บริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (ซึ่งตกต่ำอยู่ในระดับ “ขยะ” มานานหลายสิบปี) จาก BB ให้สูงขึ้นเป็น BB+ และถึงแม้จะยังเป็น “ขยะ” อยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากได้รับการปรับเพิ่มขึ้นอีกเพียง 1 อันดับเท่านั้น ฟิลิปปินส์ ก็จะเข้าสู่ระดับ “ลงทุนได้” ทำให้ผู้ป่วยรายนี้ มีอาการคึกคักขึ้นมาทันที
ปัจจัยในการปรับอันดับครั้งนั้น มีหลายประการ ที่ชัดเจนก็คือ รัฐบาลสามารถบริหารหนี้สาธารณะให้ลงได้อย่างต่อเนื่อง จาก 80% ในปี 2547 เหลือเพียง 50% ในปี 2555 และเงินสำรอง สูงขึ้นเป็น 77 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพียงพอที่จะนำสินค้าเข้าได้เป็นเวลานาน 11 เดือน ในขณะที่ GDP เติบโตขึ้นเกินกว่า 6%
อีกเพียง 8 เดือนต่อมา เมื่อเดือนมีนาคม 2556 Fitch ก็ได้ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตของฟิลิปปินส์เป็น BBB- ซึ่งถือเป็นการก้าวเข้าสู่ระดับ “ลงทุนได้” เป็นครั้งแรก จากนั้น อีก 2 เดือน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 นี้เอง S&P ก็ได้ปรับอันดับของฟิลิปปินส์ เป็น BBB- เช่นกัน จึงถือได้ว่าหมอใหญ่สองราย ได้อนุญาตให้ “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
นอกจากนั้น เมื่อต้นเดือนกันยายน 2556 บลูมเบิร์ก ก็ได้รายงานผลการสำรวจว่า ฟิลิปปินส์ น่าจะเป็น 1 ใน 5 ประเทศ ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในโลก โดยปี 2556 และ 2557 คาดว่าจะเติบโต 6.9% และ 6.4% ตามลำดับ
ล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 29 ตุลาคม สัปดาห์นี้ ธนาคารโลก ก็ได้ออกรายงาน “Doing Business in Asia” ซึ่งระบุว่าฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่อยู่ในอันดับที่ 108 จาก 189 ประเทศทั่วโลก แม้ว่าจะยังเป็นอันดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่ธนาคารโลก ก็รายงานว่า ฟิลิปปินส์ เป็น 1ใน 10 ประเทศทั่วโลก ที่ “ไต่อันดับ” ได้ดีเป็นพิเศษ เพราะสามารถ ก้าวได้มากถึง 30 อันดับ จากปีที่ผ่านมา
ช่วงนี้ ประธานาธิบดี อาคิโน ไปไหน ก็เอ่ยปากพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า ” ฟิลิปปินส์ ไม่ใช่ผู้ป่วยแห่งเอเชียอีกต่อไปแล้ว” และถ้าดูตัวเลขการเติบโตของ GDP เมื่อสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ซึ่งเติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 7.5% และ 7.7% ตามลำดับ นักวิเคราะห์และกองทุนต่างชาติ ก็มองว่ารอยยิ้มของท่านประธานาธิบดีนั้น เป็นรอยยิ้มที่มี “เหตุอันควร”
สำหรับคนไทยเรา ถ้ามองว่าเรื่องราวที่ผมเล่ามานี้เป็นการวิ่งแข่ง ก็สรุปได้ว่า ในลู่วิ่งขณะนี้ ถ้ามองไปข้างหน้า เราไม่เห็นฝุ่นเลย ก็คือสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มอันดับเครดิตสูงสุดในโลกที่ AAA แต่ที่ยังพอเห็นหลังไม่ไกลนักได้แก่ มาเลเซีย ซึ่งมีโอกาสที่เราจะ “สปีด” ให้ทันได้เหมือนกัน แต่ที่ไกลไปอีกพอสมควร คือ เกาหลีใต้ ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ ความจริงก็บาดเจ็บสาหัสเท่าเทียมกับเรา หรือหนักหนากว่าเรา เมื่อครั้งวิกฤติต้มยำกุ้งที่ผ่านมา แต่วันนี้ ทั้งสองประเทศวิ่งนำหน้าเราอย่างชัดเจน
ถ้าหันหลังกลับ ก็พอมองเห็นรำไรว่า อยู่ห่างจากเราพอควร แต่ประมาทไม่ได้เหมือนกัน ได้แก่ อินโดนีเซีย และตอนนี้ ก็ควรต้องเพิ่ม ฟิลิปปินส์ เข้าไปด้วย อีกราย
โอ้ละหนอ ในช่วงเวลาข้างหน้านี้ ใครจะทิ้งใคร และการแข่งขันจะน่าตื่นเต้นสักเพียงใด ผมก็มิอาจทราบได้ เพราะว่าหลังจากที่ผมได้ส่งต้นฉบับไปเมื่อบ่ายวานนี้ เข้าใจว่า ยามค่ำคืนวานนี้ จะมีผู้คนจำนวนมากไปรวมกันอยู่ที่สถานีรถไฟสามเสน พวกเขาไม่ได้ไปขึ้นรถไฟ แต่ไปตามเสียงเป่านกหวีด และก็ไม่ทราบว่าจะอยู่ที่นั่นนานสักเพียงใด รวมทั้งผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด
เมื่อนักวิ่งไทย ต้องอยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ ท่ามกลางเพื่อนบ้าน ที่เริ่มแข็งแรงและมุ่งมั่น เราก็ควรมาช่วยกันปลุกขวัญนักวิ่งไทยอย่างแรงๆ น่าจะดีที่สุด เอ้า...ไทยแลนด์... ไทยแลนด์.... ไทยแลนด์.....
ไม่ปลุกขวัญกันได้ยังไงล่ะ ก็เมื่อฟิลิปปินส์เดินออกมาจากโรงพยาบาลเตียงก็ว่างแล้วนี่
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น