โดย : เรืองยศ จันทรคีรี
เรื่องราวเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ถือเป็นไฮไลท์ที่ต้องกล่าวถึงและพูดถึงไปอีกนาน มิใช่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เฉพาะแวดวงวิชาการหรือสื่อสารมวลชนไทยเท่านั้น แต่สื่อสารมวลชนระดับโลกยังกล่าวถึงด้วย
โดยข้อเท็จจริงแล้วการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ บางคนเห็นว่าน่าจะทำให้พอใจทุกฝ่าย เพราะคู่ขัดแย้งต่างได้ประโยชน์จากคำพิพากษา ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์หรือจะเรียกว่าฝ่าย “ระบอบอำมาตย์” ก็พึงพอใจ เนื่องจากอย่างน้อยก็สามารถสกัดความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับพรรคเพื่อไทยแม้จะถูกศาลรัฐธรรมนูญเตะสกัดโดยไม่มีใบแดงหรือใบเหลือง และยังไม่ถูกยุบพรรคการเมือง ทั้งบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่าล้มล้างการปกครองด้วยวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ถูกถอดถอนพ้นจากสมาชิกภาพ
เมื่อมองอย่างเผินๆอาจเข้าใจว่า ฝ่ายรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลตลอดจนมวลชนที่สนับสนุนน่าจะพึงพอใจระดับหนึ่ง
แต่ถ้ามองในเบื้องลึก เรื่องราวครั้งนี้มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย และหลายคำถามก็ยังหาคำตอบไม่ได้?
เป็นต้นว่า การห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยหลักการทางกฎหมายแล้วศาลรัฐธรรมนูญใช้มาตราใดของกฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้างและอำนาจในการตัดสิน
คำถามที่ติดตามมาอีกคือ ข้อสงสัยว่าปฏิบัติการครั้งนี้เท่ากับศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจของประชาชนมาอ้างอิงเพื่อสถาปนาอำนาจของตัวเองเพิ่มขึ้นหรือไม่
ข้อนี้ดูจะเป็นธรรมชาติของศาลรัฐธรรมนูญไปเสียแล้ว เนื่องจากการตัดสินคดีสำคัญๆทางการเมือง นอกจากจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว ในแต่ละครั้งก็ดูเหมือนจะใช้ช่วงจังหวะสถาปนาอำนาจของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อำนาจที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้จึงเป็นข้อน่าสงสัยว่าจะนำไปสู่ข้อสรุปอะไรในอนาคต?
ในคำพิพากษาดังกล่าวมีเหตุผลตอนหนึ่งระบุว่า …การแก้ไขให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งเท่ากับเป็นการทำลายหลักการของรัฐธรรมนูญ จะทำให้อำนาจทางการเมืองเข้าไปครอบงำการทำงานของสมาชิกวุฒิสภาได้ ถือเป็นการเสียหายต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำเช่นนี้นอกจากเป็นอันตรายของการใช้เสียงข้างมากแล้ว ยังเท่ากับเป็นการนำบ้านเมืองถอยหลังเข้าคลอง…
ตรรกะง่ายๆตรงนี้แปลความง่ายๆได้ว่า การแก้ไขให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าจะเป็นการนำบ้านเมืองถอยหลังเข้าคลอง และโดยนัยกลับกัน ต้องมี ส.ว. จากการแต่งตั้งที่สืบเนื่องจากการรัฐประหาร เท่ากับนำบ้านเมืองก้าวไปข้างหน้าสู่ความทันสมัยของโลก
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญอ้างตรรกะเช่นนี้ก็ต้องสรุปออกมาอย่างนี้
ฝ่ายที่เห็นต่างกับศาลรัฐธรรมนูญและวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่เกรงอกเกรงใจก็ให้ความเห็นอย่างรุนแรงว่า เป็นการ “รัฐประหารโดยศาลรัฐธรรมนูญ” แสดงว่าอำนาจตุลาการเป็นอำนาจในด่านสุดท้ายที่ยังเป็นกลไกเกี่ยวเนื่องจากฝ่ายอำนาจนิยมหรืออำนาจรัฐประหารนั่นเอง
เหตุผลของแต่ละฝ่ายและการทำใจยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญได้ไม่สนิทใจนัก จนกระทั่งมีบางเสียงเห็นว่าการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้เท่ากับเป็นการ “สถาปนาอำนาจของตัวเอง” เพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ใช้หลักการของกฎหมายเป็นหลัก เพราะไม่มีข้ออ้างอิงในมาตราใดๆจากกฎหมายรัฐธรรมนูญเลย และไม่มีรัฐธรรมนูญข้อใดที่ระบุห้ามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ลงท้ายแล้วก็ต้องบอกว่าอำนาจที่ศาลรัฐธรรมนูญนำมาใช้นั้นไม่ใช่อำนาจของกฎหมายตามตัวหนังสือในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซ้ำยังไม่ใช่เหตุผลและหลักการที่ยึดถือตามหลักนิติธรรมและนิติรัฐอีกด้วย
จึงมีคำถามว่าแล้วเป็นหลักการและเหตุผลอะไร?
ข้อนี้ต้องตอบว่าหลักที่ศาลรัฐธรรมนูญเอามาใช้คือ หลักความเชื่อ เป็นความเชื่อที่ระบุว่าการทำหน้าที่ของตัวเองเป็นหลักคุณธรรมอันสูงสุด จึงเป็นอำนาจเหนือฟ้าเหนือดินที่ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงอะไรอีกแล้ว!
มันจึงเป็นหลักของคุณธรรมและความวิเศษ ซึ่งบางคนวิจารณ์ว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ได้แทรกแซงเฉพาะอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่ยังก้าวก่ายล่วงเกินไปถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อีกด้วย!
ดังนั้น หลักการที่เหนือกว่าอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยต้องเป็นหลักแห่งคุณธรรมและหลักความศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอำนาจของเทวดาที่เหนือฟ้าเหนือดินและเหนือทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
ลงท้ายแล้วต้องนิยามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนว่า เป็นการปฏิวัติทางการเมืองในประเทศไทยโดยอำนาจของกลุ่มเทวดา ภายใต้หลักเหตุผลของคุณธรรมและความวิเศษ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบคุณธรรมทางการเมืองแห่งแรกในโลกนี้
อาจเปรียบเทียบได้กับความศักดิ์สิทธิ์และความขลังระดับปรัชญาทางการเมืองประชาธิปไตยแบบกรีกและโรมันโบราณ กล่าวคือ ทั้งกรีกและโรมันเป็นตำนานของประชาธิปไตยทันสมัยในยุคอดีตอันไกลโพ้นมานับพันๆปี ส่วนประเทศไทยก็เป็นการปกครองระบอบคุณธรรมที่อ้างอิงอยู่กับความโบราณและเก่าแก่อันศักดิ์สิทธิ์ในยุคสมัยปัจจุบันแห่งเดียวในโลก
การปฏิวัติโดยอำนาจของเทวดาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ภายใต้ระบอบคุณธรรมอันวิเศษ จึงถือเป็นการปฏิวัติด้วยระบอบคุณธรรมเป็นครั้งแรกของมวลมนุษยชาติ
ต่อให้ใครตายแล้วเกิดใหม่อีก 10 ชาติก็คงหาไม่ได้อีกแล้วปรากฏการณ์ระดับโลกเช่นนี้ เพราะมีอยู่เพียงประเทศเดียวเท่านั้นคือประเทศไทยที่ยังเป็นดินแดนสนธยา
เมื่อมีคุณธรรมสูงสุดแล้ว บรรดาหลักการและเหตุผลใดๆก็ไม่มีความหมาย จึงป่วยการที่จะหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน เพราะทุกอย่างดำรงอยู่ด้วยความเชื่อที่เป็นสรณะ
ความเชื่อทั้งหมดจึงเป็นโซ่ตรวนผูกมัดความเป็นอิสระทางความคิดให้ผู้คนต่างพากันสำนึกและต้องเชื่อในระบอบคุณธรรมของอำนาจเทวดา
เมื่อเชื่อว่าตัวเองอยู่กับฝ่ายคุณธรรมสูงสุดแล้ว จะทำอะไรก็ไม่เป็นอะไร
เมื่อระบอบคุณธรรมเป็นอย่างนี้ อำนาจของเทวดาก็จะสามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป!
ที่มา.นสพ.โลกวันนี้
------------------------------------------
เรื่องราวเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ถือเป็นไฮไลท์ที่ต้องกล่าวถึงและพูดถึงไปอีกนาน มิใช่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เฉพาะแวดวงวิชาการหรือสื่อสารมวลชนไทยเท่านั้น แต่สื่อสารมวลชนระดับโลกยังกล่าวถึงด้วย
โดยข้อเท็จจริงแล้วการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ บางคนเห็นว่าน่าจะทำให้พอใจทุกฝ่าย เพราะคู่ขัดแย้งต่างได้ประโยชน์จากคำพิพากษา ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์หรือจะเรียกว่าฝ่าย “ระบอบอำมาตย์” ก็พึงพอใจ เนื่องจากอย่างน้อยก็สามารถสกัดความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับพรรคเพื่อไทยแม้จะถูกศาลรัฐธรรมนูญเตะสกัดโดยไม่มีใบแดงหรือใบเหลือง และยังไม่ถูกยุบพรรคการเมือง ทั้งบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่าล้มล้างการปกครองด้วยวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ถูกถอดถอนพ้นจากสมาชิกภาพ
เมื่อมองอย่างเผินๆอาจเข้าใจว่า ฝ่ายรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลตลอดจนมวลชนที่สนับสนุนน่าจะพึงพอใจระดับหนึ่ง
แต่ถ้ามองในเบื้องลึก เรื่องราวครั้งนี้มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย และหลายคำถามก็ยังหาคำตอบไม่ได้?
เป็นต้นว่า การห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยหลักการทางกฎหมายแล้วศาลรัฐธรรมนูญใช้มาตราใดของกฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้างและอำนาจในการตัดสิน
คำถามที่ติดตามมาอีกคือ ข้อสงสัยว่าปฏิบัติการครั้งนี้เท่ากับศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจของประชาชนมาอ้างอิงเพื่อสถาปนาอำนาจของตัวเองเพิ่มขึ้นหรือไม่
ข้อนี้ดูจะเป็นธรรมชาติของศาลรัฐธรรมนูญไปเสียแล้ว เนื่องจากการตัดสินคดีสำคัญๆทางการเมือง นอกจากจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว ในแต่ละครั้งก็ดูเหมือนจะใช้ช่วงจังหวะสถาปนาอำนาจของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อำนาจที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้จึงเป็นข้อน่าสงสัยว่าจะนำไปสู่ข้อสรุปอะไรในอนาคต?
ในคำพิพากษาดังกล่าวมีเหตุผลตอนหนึ่งระบุว่า …การแก้ไขให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งเท่ากับเป็นการทำลายหลักการของรัฐธรรมนูญ จะทำให้อำนาจทางการเมืองเข้าไปครอบงำการทำงานของสมาชิกวุฒิสภาได้ ถือเป็นการเสียหายต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำเช่นนี้นอกจากเป็นอันตรายของการใช้เสียงข้างมากแล้ว ยังเท่ากับเป็นการนำบ้านเมืองถอยหลังเข้าคลอง…
ตรรกะง่ายๆตรงนี้แปลความง่ายๆได้ว่า การแก้ไขให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าจะเป็นการนำบ้านเมืองถอยหลังเข้าคลอง และโดยนัยกลับกัน ต้องมี ส.ว. จากการแต่งตั้งที่สืบเนื่องจากการรัฐประหาร เท่ากับนำบ้านเมืองก้าวไปข้างหน้าสู่ความทันสมัยของโลก
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญอ้างตรรกะเช่นนี้ก็ต้องสรุปออกมาอย่างนี้
ฝ่ายที่เห็นต่างกับศาลรัฐธรรมนูญและวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่เกรงอกเกรงใจก็ให้ความเห็นอย่างรุนแรงว่า เป็นการ “รัฐประหารโดยศาลรัฐธรรมนูญ” แสดงว่าอำนาจตุลาการเป็นอำนาจในด่านสุดท้ายที่ยังเป็นกลไกเกี่ยวเนื่องจากฝ่ายอำนาจนิยมหรืออำนาจรัฐประหารนั่นเอง
เหตุผลของแต่ละฝ่ายและการทำใจยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญได้ไม่สนิทใจนัก จนกระทั่งมีบางเสียงเห็นว่าการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้เท่ากับเป็นการ “สถาปนาอำนาจของตัวเอง” เพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ใช้หลักการของกฎหมายเป็นหลัก เพราะไม่มีข้ออ้างอิงในมาตราใดๆจากกฎหมายรัฐธรรมนูญเลย และไม่มีรัฐธรรมนูญข้อใดที่ระบุห้ามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ลงท้ายแล้วก็ต้องบอกว่าอำนาจที่ศาลรัฐธรรมนูญนำมาใช้นั้นไม่ใช่อำนาจของกฎหมายตามตัวหนังสือในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซ้ำยังไม่ใช่เหตุผลและหลักการที่ยึดถือตามหลักนิติธรรมและนิติรัฐอีกด้วย
จึงมีคำถามว่าแล้วเป็นหลักการและเหตุผลอะไร?
ข้อนี้ต้องตอบว่าหลักที่ศาลรัฐธรรมนูญเอามาใช้คือ หลักความเชื่อ เป็นความเชื่อที่ระบุว่าการทำหน้าที่ของตัวเองเป็นหลักคุณธรรมอันสูงสุด จึงเป็นอำนาจเหนือฟ้าเหนือดินที่ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงอะไรอีกแล้ว!
มันจึงเป็นหลักของคุณธรรมและความวิเศษ ซึ่งบางคนวิจารณ์ว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ได้แทรกแซงเฉพาะอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่ยังก้าวก่ายล่วงเกินไปถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อีกด้วย!
ดังนั้น หลักการที่เหนือกว่าอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยต้องเป็นหลักแห่งคุณธรรมและหลักความศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอำนาจของเทวดาที่เหนือฟ้าเหนือดินและเหนือทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
ลงท้ายแล้วต้องนิยามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนว่า เป็นการปฏิวัติทางการเมืองในประเทศไทยโดยอำนาจของกลุ่มเทวดา ภายใต้หลักเหตุผลของคุณธรรมและความวิเศษ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบคุณธรรมทางการเมืองแห่งแรกในโลกนี้
อาจเปรียบเทียบได้กับความศักดิ์สิทธิ์และความขลังระดับปรัชญาทางการเมืองประชาธิปไตยแบบกรีกและโรมันโบราณ กล่าวคือ ทั้งกรีกและโรมันเป็นตำนานของประชาธิปไตยทันสมัยในยุคอดีตอันไกลโพ้นมานับพันๆปี ส่วนประเทศไทยก็เป็นการปกครองระบอบคุณธรรมที่อ้างอิงอยู่กับความโบราณและเก่าแก่อันศักดิ์สิทธิ์ในยุคสมัยปัจจุบันแห่งเดียวในโลก
การปฏิวัติโดยอำนาจของเทวดาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ภายใต้ระบอบคุณธรรมอันวิเศษ จึงถือเป็นการปฏิวัติด้วยระบอบคุณธรรมเป็นครั้งแรกของมวลมนุษยชาติ
ต่อให้ใครตายแล้วเกิดใหม่อีก 10 ชาติก็คงหาไม่ได้อีกแล้วปรากฏการณ์ระดับโลกเช่นนี้ เพราะมีอยู่เพียงประเทศเดียวเท่านั้นคือประเทศไทยที่ยังเป็นดินแดนสนธยา
เมื่อมีคุณธรรมสูงสุดแล้ว บรรดาหลักการและเหตุผลใดๆก็ไม่มีความหมาย จึงป่วยการที่จะหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน เพราะทุกอย่างดำรงอยู่ด้วยความเชื่อที่เป็นสรณะ
ความเชื่อทั้งหมดจึงเป็นโซ่ตรวนผูกมัดความเป็นอิสระทางความคิดให้ผู้คนต่างพากันสำนึกและต้องเชื่อในระบอบคุณธรรมของอำนาจเทวดา
เมื่อเชื่อว่าตัวเองอยู่กับฝ่ายคุณธรรมสูงสุดแล้ว จะทำอะไรก็ไม่เป็นอะไร
เมื่อระบอบคุณธรรมเป็นอย่างนี้ อำนาจของเทวดาก็จะสามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป!
ที่มา.นสพ.โลกวันนี้
------------------------------------------