ทั้งองคาพยพของ "ทักษิณและพวก" ยังพยายามดิ้นรนให้ พ้นข้อครหา "ไม่จงรักภักดี"
อย่างน้อยการแต่งตั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ก็เพื่อตอบโจทย์-แก้ข้อหา "ไม่จงรักภักดี"
อย่างน้อยความพยายามในการแต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ก็เพื่อเชื่อม-ต่อความสัมพันธ์กับบุคคลที่ใกล้ชิดราชสำนัก
ทั้งความพยายามในการถวายฎีกา ความตั้งใจในการขอเข้าเฝ้าฯของ "บิ๊กจิ๋ว" ล้วนเป็นไปเพื่อแก้ข้อเคลือบแคลง-สงสัย ในข้อหา "จาบจ้วง"
นักการเมืองทุกคนที่อยู่ในสังกัดโครงสร้างอำนาจของฝ่ายพรรคเพื่อไทย จึงต้องหาคอนเน็กชั่น "พิเศษ" เพื่อปฏิบัติบูชาให้ "ทักษิณ" พ้นจากพันธนาการหัวขบวนไม่จงรักภักดี
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิด "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เคยอธิบายความพยายามในการเชื่อมต่อกับบุคคลระดับสูงในราชสำนักว่า "ในเครือข่ายของเพื่อไทยก็มีราชนิกุลที่ ใกล้ชิด ที่คอยบอกข้อมูลอีกด้าน ที่ต่างจากข้อมูลของสายรัฐบาลและพันธมิตร และมั่นใจว่าทักษิณยังมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหา และมีราชนิกุลหลายคนพร้อมที่จะอธิบายความชอบธรรมให้ทักษิณ"
ความเชื่อนี้นำไปสู่ท่าทีและปฏิบัติการ ทั้งการแต่งตั้งบุคลากรการเมืองในพรรค และความพยายามในการมุดบ้าน "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" และความพยายามในการ "เข้าถึง" องคมนตรีหลายครั้งหลายครา
ทุกท่าทีของ "ทักษิณ ชินวัตร" จึงต้องแฝงไว้ด้วยความหมายของการจงรักภักดี
ทุกความเคลื่อนไหว ทุกจังหวะก้าว จึงมีเป้าหมายที่ต้องการคลายข้อกังขาของฝ่ายราชสำนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าทีต่อเส้นทาง เข้าสู่แผนปรองดองระหว่างฝ่าย "ทักษิณ" กับฝ่าย "อภิสิทธิ์" และฝ่ายอำนาจของ กองทัพ
คำสั่ง-สัญญาณที่ส่งตรงถึง "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" จึงชัดยิ่งกว่าชัดว่า "ทักษิณ" ต้องการเจรจากับฝ่ายอำนาจนำ
เสียงที่ "ทักษิณ" ส่งตรงถึงห้องประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยใน "วันฟ้าใสหัวใจตรงกัน" ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุดรธานี ค่ำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2553 บอกวัตถุประสงค์ 2 ข้อ
ข้อแรก ต้องการเจรจากับทุกฝ่ายที่มีอำนาจ เพื่อจัดการระบบประเทศผ่าน "เสธ.หนั่น"
ข้อ 2 ต้องการตอกย้ำความคิด-ความเชื่อเรื่องความจงรักภักดี
พร้อมกันนี้ "ทักษิณ" มีความคาดหวัง ที่จะปูทางให้แกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนที่ยังทนทุกข์อยู่ในคุก เดินออกจากที่คุมขังในเวลาอันใกล้
"ญาติพี่น้องของคนที่เคราะห์ร้ายที่ติดคุกก็ขอให้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ แล้ว ฝากบอกว่าผมฝากมาเยี่ยม ฝากมาให้กำลังใจแล้วก็ขอให้พี่น้องอดทนอีกไม่นานเกินรอบ้านเมืองจะกลับสู่ภาวะปกติแล้ว...ติดคุกแบบนี้แน่นอนลำบากหน่อย แต่ว่าเท่ครับ"
สอดคล้องกับท่าทีของ "น้องเขย-สมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่รับลูก-ทอดสะพานให้เกิดการเจรจาผลประโยชน์ทางอำนาจและการเมือง
"ความหวังเรื่องการปรองดองไม่คิดว่า จะมีถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการปรองดองเป็นเรื่องดี แต่ยากเพราะมีองค์ประกอบหลายฝ่าย ฝ่ายรัฐฝ่ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบและอะไรต่ออะไรที่เรารู้ ๆ นั่นแหละ"
นายสมชาย-อธิบายว่า "เราควรจะมีความพยายามต่อไป เช่นกรณี เสธ.หนั่นไปพบท่านทักษิณเป็นเรื่องดีเพราะปรองดองต้องคุยกับทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ต้องมีความลงตัวแต่ถ้ามาปรองดองเฉพาะกลุ่มเฉพาะฝ่ายก็จะถูกมองว่าปรองดองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าคนได้รับผลกระทบไม่ปรองดองด้วยก็ไม่ใช่ปรองดอง"
"ความสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ยังบอกไม่ได้ แต่การที่ผู้หลักผู้ใหญ่พยายามก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ผมว่าถ้าเราจะคิดปรองดองต้องใจกว้างกับทุกภาคส่วนทุกฝ่าย ของอย่างนี้ มันมีได้มีเสีย ไม่มีใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครเสียร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกฝ่ายต้องยอมเสียสละในส่วนตัวที่ตัวเองคิดว่าเสีย"
นายสมชาย-เรียกร้องต่อทุกฝ่ายที่มีอำนาจว่า...
"คุยกันไปไม่ควรมาตั้งแง่ว่าต้องอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่เรียกว่าปรองดองแต่เป็นอุปสรรคของการปรองดองมากกว่า ผมไม่ได้บอกว่าใครใจแคบแต่จะบอกว่าการทำงานใหญ่ต้องใจกว้างหน่อย ทำเพื่อประชาชนคนไทยทั้งหมดรวมและเพื่อสานตาของคนทั้งโลกที่จับจ้องมองเราอยู่ วิสัยทัศน์ต้องไปถึงตรงนั้น ถ้าจะมาตั้งเงื่อนไขเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อขัดขวางงานใหญ่อย่างนี้ก็ไม่ใช่วิสัยทัศน์ที่ดี"
ท่าทีของ "ทักษิณ" ที่เคยเป็นทั้ง ลาง-หลอก-หลอน คนการเมืองและคู่เจรจานั้นในการส่งสัญญาณล่าสุด "สมชาย" ตีความว่า
"เท่าที่ฟังท่านทักษิณก็ไม่มีเงื่อนไขอะไร ท่านเสียสละได้ในส่วนที่จะเป็นประโยชน์เพื่อบ้านเมือง ผมว่าพูดอย่างนี้เป็นผู้ใหญ่เพียงพอถ้าจะบอกว่าเอานายกฯทักษิณกลับบ้านแล้วเป็นอุปสรรคของการปรองดอง ก็แปลว่ามาตั้งเงื่อนไข...ผมคิดว่าไม่ใช่อุปสรรคและไม่จำเป็นต้องพูดถึงท่านทักษิณก็ได้"
"ถ้าหากว่าปรองดองแล้วมีเศษมีเลยไปถึงท่านให้ได้รับความเป็นธรรมก็เป็นเรื่องดี...ผมคิดว่านายกฯทักษิณไม่ใช่คนที่อยู่แล้วเปลืองข้าวเปลืองน้ำ ไม่งั้นไม่มีชาวไทยหลายส่วน เช่น ชาวภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ยังเรียกร้องให้ท่านกลับมา"
การใช้ "เสธ.หนั่น" ในฐานะที่อยู่ในฝ่ายรัฐบาลเป็นเครื่องมือของ "ทักษิณ" ในฐานะผู้ต้องหา "สมชาย" เห็นว่าเป็นคนละเรื่องกับองคาพยพของรัฐบาลประชาธิปัตย์
"เรื่องของรัฐบาลจะรับหรือไม่รับ แต่เรามองประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ดีกว่าเพราะรัฐบาลไม่ได้อยู่ค้ำฟ้านะครับ รัฐบาลเดี๋ยวมาก็ไป และการปรองดองเนี่ย รัฐบาลน่าทำตัวเป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่มาทำตัวเป็นอุปสรรค ถ้านายกฯเห็นว่าการที่ เสธ.หนั่นไปพบท่านทักษิณจะเป็นอุปสรรคที่รัฐบาล ไม่ยอมรับอย่างนั้นก็แสดงว่ารัฐบาลทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองแล้ว"
"สมชาย" พูดแทนใจ "ทักษิณ" ว่า "ท่านทักษิณเคยบอกว่าท่านไม่แคร์ในการ ที่ถูกดำเนินคดี แต่ท่านแคร์อย่างเดียว ขอให้ความเป็นธรรมเสมอภาคเสมอหน้าเท่านั้น...อย่าเป็น 2 มาตรฐาน อย่าทำสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางกระบวนการยุติธรรม"
เสียงจาก "ทักษิณ" และสำทับด้วยเสียงของ "บิ๊กจิ๋ว" ยืนกรานท่าที-เป้าหมาย 2 ข้อ ทั้งเรียกร้องการเจรจาและต้องการแสดงท่าทีจงรักภักดี
ประธานพรรคเพื่อไทยชิงประกาศเชิงสัญลักษณ์ ลบล้างพงศาวดารกระซิบของฝ่ายตรงข้าม "ทักษิณ" ว่า "พรรคจะมีเครื่องหมายแห่งความจงรักภักดีเข้ามาร่วมด้วยเป็นหม่อมเจ้ารุ่นสุดท้าย เพราะทราบดีว่าวิธีการที่จะปกป้องสถาบันได้ดีที่สุด ไม่ใช่การร้องเพลงหรือขี่จักรยานแต่เป็นการทำงานถวาย"
แต่ข้อครหาอันศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งพยายามแก้ คล้ายยิ่งพยายามมัดให้แน่นจนยากจะดิ้น เมื่อ "หม่อมเจ้า" ที่ "บิ๊กจิ๋ว" พาดพิงออกมาปฏิเสธที่จะเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย
พล.ต.หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล เปิดเผยต่อสาธารณะว่า ไม่เคยคุยเรื่องการเมืองกับพล.อ.ชวลิต และไม่สนใจการเมืองเลย
ราชนิกุล-ที่ถูกพรรคเพื่อไทยนำไปเป็นเครือข่ายให้เหตุผลอย่างชนชั้นนำว่า "เพราะการเมือง หากดีก็เสมอตัว ถ้าไม่ดีก็ถูกขุดคุ้ย เพราะฉะนั้นขอบอกเลยว่า ไม่อยากยุ่งการเมืองและผมไม่อยู่ในสถานะที่จะเล่นการเมืองได้ จึงขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย"
เมื่อถูกปฏิเสธ "บิ๊กจิ๋ว" ก็มีทางลงด้วยการเปิดเกมใหม่ ไม่พ้นเรื่องความจงรักภักดี ในโครงการสร้างความสมานฉันท์และสามัคคี โดยส่งผ่านข้อความต่าง ๆ ไปยัง 7 หมื่นหมู่บ้านเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในมหาวโรกาสอันเป็นมงคล ในวาระเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ
โครงการที่เกี่ยวเนื่องถูกจัดทำเป็นระลอก-ต่อเนื่อง
"โครงการอันใดก็ได้ที่ทำเพื่อเฉลิมฉลอง เพื่อถวายเป็นพระเกียรติยศกับสถาบัน อันเป็นที่เคารพรักของเรา ทำกันได้ทั้งนั้น และคิดทำกันมาหลายทีแล้ว ตั้งแต่เรายังอยู่ในราชการ...ในประเทศไทย ในการพัฒนาประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ทำโดยสถาบัน พระมหากษัตริย์ สมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านมีขั้นตอน ในการพัฒนา" บิ๊กจิ๋วตอกย้ำความคิด
ทั้งเสียงจาก "ทักษิณ" ที่ส่งตรงถึง "เสธ.หนั่น" ดังก้องไปทั้งท้องถนนการเมือง
ทั้งสัญญาณจาก "บิ๊กจิ๋ว" ถึง "ม.จ.จุลเจิม" กระเทือนไปถึงข้าราชบริพารราชสำนัก
ทุกเสียง-ทุกสัญญาณยังทำให้บริวารพรรคเพื่อไทยจมอยู่ในพงศาวดารกระซิบ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
********************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น