--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ลดกระหน่ำตายฟรี เจ็บฟรี ขังฟรี! อภินันทนาการจาก ศอฉ. ดีเอสไอ และรัฐบาลเทพประทาน

“ในกรณีที่ตำรวจทำสำนวนชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว และมีกรณีใดต้องนำไปสู่การไต่สวนโดยศาล หากได้ข้อยุติว่าการเสียชีวิตรายใดเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่แล้ว คดีจะถูกส่งกลับมาที่ดีเอสไอตามกฎหมาย และหากพบว่าเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ป้องกันโดยสมควรแก่เหตุ หรือเหตุอื่นใดที่อ้างได้ตามกฎหมาย จะได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิด แต่ไม่ตัดสิทธิตามกฎหมายที่ทายาทของผู้ตายจะเรียกร้องค่าเสียหายจากหน่วยงานได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีที่เหลือทั้งหมดดีเอสไอจะเร่งสรุปและแถลงให้ทราบเป็นรายสัปดาห์จนกว่าจะครบ 89 ศพ ให้หมดภายในเดือนนี้”

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงผลสืบสวนคดีผู้เสียชีวิตของทหาร ตำรวจ และประชาชนจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับ พ.ต.อ.

ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิต 89 ศพ เป็นคดีพิเศษที่ดีเอสไอรับไว้ 254 คดี และฟ้องศาลไปแล้ว 54 คดี แยกเป็น 4 ฐานความผิดคือ ก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งการกระทำต่ออาวุธยุทธ ภัณฑ์ของทางราชการและวางเพลิงเผาทรัพย์ ซึ่งไม่ได้ผิดจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการกล่าวหาคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง โดยระบุว่าคดีคนร้ายยิงอาวุธเอ็ม 79 และคดีดักซุ่มยิงตามสถานที่ต่างๆที่มีผู้เสียชีวิต 12 รายนั้นเป็นการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ทั้งสิ้น

“เสื้อแดง” ฆ่า “ร่มเกล้า”

เช่นดียวกับการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย เมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้แก่ พ.อ.ร่มเกล้า

ธุวธรรม ส.อ.อนุพนธ์ หอมมาลี ส.ท.อนุพงษ์ เมืองอำพัน พลทหารภูริวัฒน์ ประพันธ์ พลทหารสิงหา อ่อนทรง และผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งนั้น ดีเอสไอระบุว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. และกลุ่มเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันให้การสนับสนุน คือนักรบดำ

ส่วนการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯที่มีทั้งพยานบุคคลและภาพปรากฏชัดเจนนั้น ดีเอสไอยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง แต่ยังแทงกั๊กว่าการเสียชีวิตมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกับทหาร จึงต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนต่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องนำคดีกลับมาที่ดีเอสไออีกครั้ง หากเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องดูว่าปฏิบัติโดยชอบตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งพอที่จะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าไม่ว่าผลจะสรุปออกมาอย่างไร เจ้าหน้าที่รัฐก็แทบไม่มีโอกาสผิด เพราะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินในที่สุด

มือถือสาก ปากถือศีล

การแถลงของดีเอสไอจึงสอดคล้องกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปราศรัยก่อนหน้านี้ว่า “เสื้อแดงฆ่ากันเอง” เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายก รัฐมนตรี ที่ยืนยันเสียงแข็งเหมือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและประธานศูนย์อำนวย การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่สั่งปฏิบัติการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงว่าไม่เคยสั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังโยนความผิดให้ “กลุ่มโรนิน” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ”

เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยประกาศว่าพร้อมรับผิดชอบหากสั่งฆ่าจริงและมีหลักฐานมายืนยัน ซึ่งวันนี้ดีเอสไอแถลงผลการสอบสวนส่วนหนึ่งแล้วว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารหมู่ 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯ พล.อ.อนุพงษ์จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร หรือจะเลี่ยงบาลีว่าเป็นการปฏิบัติโดยชอบตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และไม่ได้เป็นผู้สั่ง แต่นายอภิสิทธิ์สั่ง

“จตุพร” แฉทหารยิง “ร่มเกล้า”

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้แถลงโต้ผลสอบสวนของดีเอสไอที่แยกการเสียชีวิต 89 ศพเป็น 3 กลุ่ม แต่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร โดยเฉพาะ พ.อ.ร่มเกล้าที่ระบุว่าอาจเกิดจากกลุ่มโรนินหรือนักรบดำนั้น นายจตุพรยืนยันว่ามีพยานบุคคลเป็นอดีตทหารผ่านศึกที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงบอกว่า พ.อ.ร่มเกล้าถูกยิงจากแถว 3 ของกลุ่มทหาร เป็นการยิงแนวราบ ซึ่งเป็นจังหวะที่ พ.อ.ร่มเกล้าลุกขึ้นยืนพอดี ไม่ได้ยิงจากมุมสูงใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งคนเสื้อแดงคนนี้เข้าไปช่วย แต่กลับถูกยิงจนเป็นอัมพฤกษ์ และยังเห็นทหารจากแถว 3 เข้ามายิง พ.อ.ร่มเกล้าซ้ำอีก อยากถามว่าข้อมูลเหล่านี้ดีเอสไอได้สอบสวนหรือไม่ และยังทราบเบื้องหลังว่าก่อนที่ดีเอสไอจะออกมาแถลงมีหลายคนไปล็อบบี้แต่ไม่สำเร็จ เพราะข้อเท็จจริงปรากฏชัด เวลานี้หลายคนในรัฐบาลและกองทัพก็อยู่อย่างไม่เป็นสุข

นายจตุพรยังกล่าวถึงการสรุปสำนวนว่าการเสีย ชีวิตของประชาชนและสื่อต่างประเทศอาจเกิดจากการกระชับพื้นที่ของทหาร ถือเป็นการยอมรับว่าการปฏิบัติการของทหารทำให้มีผู้เสียชีวิต รวมทั้งกลุ่มที่ 3 ที่ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าเสียชีวิตจากสาเหตุใด ทำให้ยังไม่สามารถสรุปสำนวนหรือยุติการสอบสวนได้ ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าการขอเวลาสอบสวนสาเหตุผู้เสียชีวิตเป็นเวลา 45 วันของนายธาริตนั้นเป็นเพียงการต้มคนไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ในเมื่อดีเอสไอยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 ศพได้ เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น ตั้งแต่ดีเอสไอส่งฟ้องไปเป็นการฟ้องเท็จ อัยการสูงสุดที่ยื่นฟ้องต่อศาลก็เท่ากับว่าเอาสำนวนเท็จไปฟ้องเท็จต่อศาล จึงถือว่าทั้ง 2 หน่วยงานมีพฤติกรรมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา

“ผมจะรอให้ดีเอสไอแถลง หากแถลงตามสำนวนที่ได้ตามข่าวมาเมื่อไรจะแจ้งความดำเนินคดีกับนายธาริตและอัยการสูงสุด ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จะได้รู้กันว่าดีเอสไอกับอัยการสูงสุดจะติดคุกได้หรือไม่ หากนายธาริตจะแถลงขอให้แถลงด้วยว่าทั้งนายธาริตและ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ เบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายการทำคดีคนเสื้อแดงไปกี่ ร้อยล้าน แล้วตัวนายธาริตเบิกกี่ครั้ง อย่างไรบ้าง พวกผมรู้หมด ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกในดีเอสไอ แต่ตอนนี้ยังไม่อยากบอก จะรอให้นายธาริตสารภาพเอง เหมือนตอนเรื่องหมอนวดหมายเลข 161”

นปช. ฟ้อง “อภิสิทธิ์-ศอฉ.”

เช่นเดียวกับคำฟ้องนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. รวม 14 คนในคดีสังหาร 91 ศพเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ นปช. ได้ยื่นต่ออัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ มีรายละเอียดเหตุการณ์และหลักฐานทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และคำให้การของพยานบุคคลจำนวนมาก โดยระบุว่ามีการใช้กำลังทหาร อาวุธจริงและกระสุนจริงในการสลายม็อบแดง ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักสากล จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังมีคำให้การของพยานหลายรายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เช่น พยานปากที่ 6 และพยานปากที่ 9 ระบุถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ศพในวัดปทุมวนารามฯ ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน เป็นเหตุให้ น.ส.กมนเกด อัคฮาด นายมงคล เข็มทอง และนายอัครเดช แก้วขัน ซึ่งเป็นอาสาพยาบาล ถูกยิงเสียชีวิตขณะกำลังช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ

พยานปากที่ 18 ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงระบุว่า โดนยิงเข้าที่ข้อเท้าขวาจนกระจุยขณะหลบอยู่ในสวนลุมพินีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม

พยานปากที่ 19 ระบุว่า โดนยิงเข้าที่หัวไหล่ซ้ายจนต้องกระโดดหนีลงน้ำในสวนลุมพินี พอขึ้นจากน้ำก็โดนยิงซ้ำที่น่องซ้าย ก่อนถูกจับส่งตัวไปขังในเรือนจำในที่สุด

พยานปากที่ 20 ระบุว่า ได้ยิงธนูใส่ทหาร แต่โดนทหารยิงตอบโต้ด้วยกระสุนปืนจริงที่บริเวณซอยงามดูพลี โดยพยานรายนี้ระบุด้วยว่า เห็นประชาชนถูกยิงเสียชีวิต 6 ราย ในจำนวนนี้เป็นแม่ค้าอายุ 50 ปี ชายหนุ่มอายุ 30 ปี และมีชายคนหนึ่งถูกยิงตายขณะใช้กล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพเหตุการณ์

ในรายงานยังมีรายละเอียดเหตุการณ์ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธ.แดง” ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตขณะยืนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม บริเวณสวนลุมพินี

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานภาพถ่าย เป็นภาพถ่ายเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งในวันที่ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ การสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ รวมทั้งภาพถ่ายศพ “น้องเกด-กมนเกด อัคฮาด” อาสาพยาบาลที่โดนยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯพร้อมคนอื่นๆ 6 ศพ ที่มีภาพชายในเครื่องแบบถือปืนยาวอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสเล็งไปที่วัดปทุมวนารามฯ

ภาพถ่ายเหตุการณ์นายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวชาวอิตาลี ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม โดยในภาพมีชายคนหนึ่งเข้าไปหยิบกล้องถ่ายรูปจากศพนายฟาบิโอแล้วหลบหนีไป

เอกสารของฮิวแมนไรท์วอทช์ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกเขตกระสุนจริง และตำหนิรัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานของการใช้กำลังตามกฎหมายสหประชาชาติ

“หุ่นน้องเกด” ตั้งวัดปทุมฯ

โดยเฉพาะการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯนั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ศพที่ถูกยิงเสียชีวิตในเขตอภัยทานวัดปทุมวนารามฯ ได้ทำบุญและจัดกิจกรรมรำลึกบริเวณสี่แยกราชประสงค์เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ซึ่งไม่มีความคืบหน้าในการหาตัวคนฆ่าและคนสั่งการ นอกจากนี้ครอบครัวยังเตรียมสร้างหุ่นขี้ผึ้งน้องเกดสูงเท่าตัวจริงเพื่อนำไปตั้งบริเวณที่น้องเกดเสียชีวิต

ขณะที่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายน้องเกด จะเชิญนายสมบัติ บุญงามอนงค์ บ.ก.ลายจุด และแกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ร่วมจูง “แพะ” บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายนด้วย

คอป. จี้ปล่อยคนเสื้อแดง

ด้านคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน สรุปข้อเสนอแนะ 5 ข้อเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เพื่อเสนอนายอภิสิทธิ์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ให้ตัดสินใจปล่อยนักโทษการเมืองโดยเร็ว เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดอง แต่นายอภิสิทธิ์กลับโยนอำนาจการตัดสินใจนี้ไปให้กระทรวงยุติธรรมและเป็นอำนาจของศาล ทั้งอ้างว่าเมื่อตัดสินใจอย่างไรต้องมีคำตอบให้กับสังคม เพราะมีผู้ต้องขังจำนวนมากและต้องใช้เวลาพอสมควร

“นายคณิตระบุตั้งแต่ต้นว่าหลายเรื่องไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ แต่เป็นเหมือนกระแสหรือความรู้สึก ถ้าเราเพิกเฉยทั้งหมดอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงได้ จึงจำเป็นต้องรับฟังตรงนี้แล้วมาดู แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำในสิ่งที่สวนทางกับข้อเท็จจริง จึงต้องตรวจสอบว่าคนที่ถูกคุมขังมีเจตนาอย่างไร และเขาออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร เราต้องอย่าลืมว่าที่ผ่านมามีกรณีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ที่ได้รับการประกันตัวออกมาก็ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ทั้งนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย สมมุติว่าศาลให้ปล่อยตัวคนเหล่านี้ชั่วคราวก็ต้องถูกดำเนินคดีต่อไป แต่รัฐจะดูว่าควรเริ่มช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังที่มีความผิดเล็กน้อย และมองแล้วว่าเขาไม่น่าจะเป็นปัญหาหลังจากออกมา แต่ถ้าใครที่ออกมาแล้วจะเป็นปัญหา ศาลไม่น่าจะปล่อยตัวอยู่แล้ว อีกทั้งคนที่เป็นแกนนำและมีความผิดสูงคงจะยิ่งยาก”

ทวงบุญคุณแทนขอโทษ

คำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองเลย แต่ใช้คำพูดเพื่อสร้างภาพตลอดเวลาว่าเป็นนักการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อย่างกรณีรัฐบาลพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้านพม่า ซึ่งนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ชื่นชมรัฐบาลทหารพม่าว่าเป็นเรื่องที่ดีและนำไปสู่กระบวนการปรองดองแห่งชาติ และเป็นก้าวสำคัญไปสู่ประชาธิปไตยของพม่า แต่กลับไม่ละอายตัวเองที่ถูกประณามจากประชาคมโลกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และยังคุมขังคนเสื้อแดงหลายร้อยคนโดยไม่มีความผิด จนประเทศไทยถูกจัดอันดับใกล้เคียงกับประเทศพม่าไปแล้วอีกด้วย

เช่นเดียวกับกรณีกระทรวงยุติธรรมระบุว่า ได้หาทางช่วยประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจำนวน 180 คน และสามารถประกันได้เพียง 3 คนนั้น แต่นายอภิสิทธิ์ได้เอามาโฆษณาชวนเชื่อทันทีว่าเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และมีความพยายามสร้างความปรองดอง

นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังจัดฉากสร้างภาพด้วยการนำคนเสื้อแดงที่ได้รับการประกันตัว 2 รายมาที่ทำเนียบรัฐบาลคือ นายสมหมาย อินทนาคา อายุ 32 ปี และนายบุญยฤทธิ์ โสดาคำ อายุ 24 ปี โดยอ้างว่าเพื่อต้องการขอความร่วมมือ เมื่อได้รับการประกันตัวจากกองทุนของรัฐแล้วขอให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกันตัวอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกคุมขังอีก และศาลมีแนวโน้มจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวรายอื่นๆ ทั้งที่คนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังฟรีถึง 6 เดือนล้วนเป็นเหยื่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศใช้

ที่สำคัญทั้งคู่ยืนยันว่าไม่ได้ร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงเลย โดยนายสมหมายระบุว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมได้ไปตามเพื่อนที่ร่วมชุมนุมกลับบ้าน เพราะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัย ช่วงเดินทางกลับผ่านสวนลุม ไนท์บาซาร์ เจอด่านทหารและถูกจับกุมข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งเข้าเรือนจำทันทีโดยไม่มีการสอบสวนใดๆ ซึ่งนายสมหมายพยายามขอประกันตัวด้วยตัวเองมาตลอดตั้งแต่ถูกคุมขังใหม่ๆ หลังจากศาลตัดสินจำคุก 1 ปีจึงได้ยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการให้ประกันตัวในภายหลัง ไม่ได้เกี่ยวกับ “บุญคุณ” หรือความช่วยเหลือของนายอภิสิทธิ์เลย

นอกจากนี้นายนที สรวารี แกนนำกลุ่มอิสรชนคนเดินทาง ยังออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของรัฐบาลว่า เหยื่อ 2-3 รายที่ได้รับการปล่อยตัวออกมากลับโดนเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯบังคับให้เขียนจดหมายขอบคุณนายกรัฐมนตรีอีก

เหยื่อ 2 รายจึงเหมือนตกนรกซ้ำซาก เพราะไม่เพียงถูกขังคุกฟรีแล้ว ยังถูกทวงบุญคุณและต้องเขียนจดหมายชื่นชมคนที่สั่งขังตัวเองอีก ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงอีกนับร้อยคนที่ตกเป็นผู้ต้องขังในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และที่น่าเศร้าใจคือ ในจำนวนนั้นมีนักศึกษา 3 คนถูกจับขังที่เรือนจำมหาสารคาม ซึ่งนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ได้ไปพูดคุยถึงในคุก ซึ่งนักศึกษาทั้ง 3 คนยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง และไม่ได้ไปร่วมชุมนุมใดๆ แต่กลับโดนจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกขังคุก 6 เดือนทั้งที่ไม่มีความผิด

ตายฟรี-ขังฟรี-เจ็บฟรี

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของ คอป. แต่พยายามอ้างเรื่องนิติรัฐและนิติธรรม ทั้งที่ใช้ พร.ก.ฉุกเฉินที่ไม่ต่างกับกฎหมายเผด็จการที่ใช้ข่มขู่และไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามจนทุกวันนี้ อย่างที่ ศอฉ. ประกาศห้ามกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุม แต่กลับเพิกเฉยกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ

ขณะที่ก่อนหน้านี้นายคณิตได้แนะนำการเริ่มต้นง่ายๆว่า หากนายอภิสิทธิ์มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดอง จะต้องกล่าวคำ “ขอโทษ” กับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งรัฐบาลต้องคิดและดำเนินการเอง แต่จนวันนี้คำ “ขอโทษ” ก็ไม่เคยออกจากปากนายอภิสิทธิ์หรือผู้นำกองทัพเลย ตรงข้ามกลับพยายามสร้างความชอบธรรมและบิดเบือนว่าไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่า

ผลสรุปของดีเอสไอจึงสรุปว่า “ไม่สรุป” เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นๆคือการพยายาม “ซื้อเวลา” เพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้นานที่สุด และให้ประชาชนลืมเลือนเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ให้เป็นแค่ประวัติศาสตร์ โดย “คนเสื้อแดง” คือ “คนพิเศษ” ที่ได้รับอภินันทนาการจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งกว่า “ลด แลก แจก แถม” ด้วยการมอบสิทธิพิเศษ... “ตายฟรี ขังฟรี และเจ็บฟรี”

สังคมไทยวันนี้ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มีแต่แสงไฟประลัยกัลป์ที่พร้อมจะแผดเผาศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามัน

ตราบใดที่ “คนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล” อย่าหวังว่าจะได้เห็นความสงบสุข สามัคคีปรองดองในชาตินี้!

โชคดีที่มี “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯตั้งแต่อายุ 46 ปี

เวรกรรมจริงๆ ประเทศไทย!!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น