แม้สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่สร้างภัยพิบัติให้กับพื้นที่ 33 จังหวัด มีประชาชนเดือดร้อนมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจไม่ว่าอย่างไร ก็คงไม่หนี 20,000 ล้านบาทอย่างแน่นอนนั้น อาจจะถูกมองว่าเป็นสถานการณ์ที่เหมือนกับเข้ามาเป็นรายการ“พักยก” ทางการเมือง
เพราะในจังหวะที่รัฐบาลโคลงเคลง พรรคร่วมรัฐบาลกระเพื่อม พรรคฝ่ายค้านเองก็ตกอยู่ในสภาพรบกับคู่ต่อสู้ แต่ก็มีทะเลาะกันเองตลอดเวลา แถมองค์กรอิสระต่างๆ ก็อยู่ในสภาพที่ถูกตั้งคำถามสารพัด
ทั้งเรื่องความพยายามที่จะเกาะติดหนึบเก้าอี้แม้อายุ 65 ปีแล้ว ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่จะไม่ยอมลุกจากตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน จนต้องเดือดร้อนถึงศาลปกครอง หรือเรื่องของรถประจำตำแหน่งของบรรดาบิ๊กองค์กรอิสระ ที่เล่นเอาประชาชนที่โดนน้ำท่วมอ้าปากค้าง ช็อกซ้ำไปตามๆ กัน
เพราะเวลาจะให้คนจนที่น้ำท่วมบ้าน หมดเนื้อหมดตัว ข้าวของในบ้านพังหมด ปรากฏว่ารัฐบาลให้จิ๊บจ๊อยชนิดที่แต่ละครอบครัวยังได้ไม่พอแค่ค่ายางรถยนต์ของบรรดาบิ๊กๆ องค์กรอิสระเลยด้วยซ้ำ
และโดยเฉพาะเรื่องคลิปตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวพันโยงไปถึงเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นเรื่องยุ่งยิ่งกว่าลิงแก้แห เพราะสุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าแหจะพันลากลิงตัวไหนตกน้ำลงไปบ้าง หรือลิงตัวไหนจะจมน้ำตายบ้าง!!!
ดังนั้นจริงๆ แล้วแม้ดูเหมือนว่าน้ำท่วมอาจจะทำให้ดูเหมือนเป็นจังหวะพักยกทางการเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการทางเมืองในตอนนี้น่าจะเป็นอาการของ
ทะเลสงบ ก่อนจะเกิดพายุใหญ่... เสียมากกว่า
ก็ขนาดผู้ที่มีข้อมูลวงในใกล้ชิดขั้วอำนาจ ขั้วสีเขียว อย่างนายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.ฉะเชิงเทรา ที่ชอบทำตัวเป็นโหร สว. ยังยอมรับว่าสถานการณ์ดวงบ้านเมืองของไทยยังไม่ดีทั้งปลายปีนี้ และลากยาวไปถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2554 โน่นเลย
ดวงเมืองไม่ดี ดวงพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ดี เพราะดาวดีตกที่เสียหมด ดาวร้ายให้โทษยังให้โทษได้อยู่ ดวงเมืองยังไม่ปกติ ดวงเมืองจะเริ่มดีขึ้นก็หลังวันที่ 4 พ.ค.54 เป็นต้นไป
“ช่วงนี้จนถึงวันที่ 3 พ.ค.54 ยังไม่ปกติ มีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปลี่ยนแปลงพรรคการเมือง เปลี่ยนแปลงพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังแกว่งอยู่มากตอนนี้ พรรคประชาธิปัตย์อาจถูกยุบ เพราะดวงพรรคประชาธิปปัตย์ตกอยู่ในที่เสีย ตามดวงดาวมีโอกาสถูกยุบสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เพราะดาวบาปเคราะห์ตรึงทุกด้าน เหลือ 5 เปอร์เซนต์ เพราะดาวดีดาวพฤหัสบดียังให้คุณอยู่ทำมุมเล็งลักษณ์ให้คุณพรรคประชาธิปัตย์อยู่ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะช่วยได้” นายบุญเลิศพูดเหมือนจะฝากประชาธิปัตย์ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง
แต่แน่นอนว่าหากมองคอนเนกชั่น การชิดใกล้หรือการคลุกข้อมูลวงในของนายบุญเลิศ เมื่อมาบวกกับเหตุการณ์คลลิปลับที่ทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกสังคมจับตามองเขม็ง ชนิดที่ไม่ว่าจะวินิจฉัยออกมาในด้านไหน ก็ย่อมหนีไม่พ้นคำถาม หนีไม่พ้นคำวิพากษ์วิจารณ์
และที่สำคัญที่สุดก็คือการวิเคราะห์คำวินิจฉัยของบรรดานักฎหมาย... อย่างแน่นอน
ฉะนั้นสิ่งที่กดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างมากจากวันนี้ไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคม ที่เชื่อกันว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีการอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์แล้วนั้น... ไม่ใช่เรื่องของผลว่าจะออกมายุบหรือไม่ยุบ
แต่กดดันที่สุดคือการเขียนเหตุผลคำวินิจฉัย เพื่อให้สังคมยอมรับให้ได้ โดยที่คำว่า 2 มาตรฐานไม่ดังสนั่นขึ้นมาต่างหาก
เพราะหากถามวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมเชื่อมั่นว่า ไม่มีทางถูกยุบ
ในขณะที่ทางฝ่ายค้าน ฝ่ายคนเสื้อแดง ก็เชื่อมั่นเช่นกันว่า ยังไงก็ต้องยุบชัวร์
เรียกว่าต่างฝ่ายหากเดิมพัน...ร้อยบาท ขี้หมากองเดียว งานนี้มีคนต้องอมขี้หมาอย่างแน่นอน
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง ก็ตกไปเป็นภาระของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างที่บอก
ด้วยเหตุนี้แหละที่มีกระแสข่าวว่า จริงๆ คนที่ควรรับภาระหนักที่สุดน่าจะเป็นนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองมากกว่า
เพราะด้วยความที่มัวแต่เหลียวหน้าเหลียวหลัง ฟังซ้ายฟังขวาตลอด เลยทำให้เรื่องนี้ไม่สะเด็ดน้ำ และกลายเป็นเรื่องบวมฉึ่งจบไม่ง่ายอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้
ปัญหาที่เป็นประเด็นที่จะต้องเกิดขึ้นตามมาและจะต้องเกาะติดสถานการณ์ให้ดีจากนี้ไปก็คือ หากยุบพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะเป็นอย่างไร???
หรือหากว่าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น!?!
เนื่องจากถ้าหากจะว่ากันตามเทอมแบบประชาธิปไตยเต็มใบอย่างแท้จริง การเลือกตั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะดันทุรังลากยาวกันอย่างไรก็ตาม ระยะเวลา 4 ปี ตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ต้องถูกเป่านกหวีดหมดเวลาในวันที่ 23 ธันวาคม 2554
ลากยาวไปเกินกว่านั้น โดยไม่ยอมให้มีเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่ในวันที่ 24 ธันวาคม 2554 มีเรื่องแน่
ยกเว้นแต่จะมีนายทหารบางคนบางกลุ่มที่อาจจะมีการออกมาเอ็กเซอไซส์ เพราะไม่ได้ยินคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ประกาศบอกว่าใน 4 ปีที่ดำรงตำแหน่งจะไม่มีการปฏิวัติ เพราะทหารและข้าราชการไม่ได้มีหน้าที่เป็นเครื่องมือให้กับนักการเมืองที่กอบโกยผลประโยชน์ของชาติ
ถ้ามีปฏิวัติแล้วทำให้เลือกตั้งไม่เกิด ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของประเทศนั่นแหละ
ดังนั้นตอนนี้หากมองกันตามเนื้อผ้า เฉพาะจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และอาการง่อนแง่นระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว แม้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะใช้คารมโวหาร เล่นคำในเรื่องการเลือกตั้ง ว่าไม่ว่าอย่างไรก็เป็น “ปีหน้า” แน่นอน
ส่วนวันไหน เดือนไหนไม่รู้
แต่นั่นสะท้อนชัดว่า นายอภิสิทธิ์เองก็รู้ดีว่า หากไม่ประกาศในเรื่องการเลือกตั้งออกมาเป็นระยะๆ แรงกดดันจะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นพอมีจังหวะก็ถือโอกาสพูดเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศเสียหน่อยเป็นระยะๆ
หรืออาจจะฉวยโอกาสในการเป็น “มิสเตอร์โพเดียม” เรียกคะแนนพ่วงไปด้วย กับการที่ออกมาเล่นบทพระเอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ครบเทอม แม้จะอยู่ครบเทอมก็จะเป็นปีถัดไป แต่คิดว่าไม่อยู่ครบเทอม และมีเลือกตั้งแน่ในปีหน้า ซึ่งถ้าการเลือกตั้งเป็นไปโดยเรียบร้อยนั่นเป็นสิ่งที่ต้องการมากที่สุด
“ผมเคยพูดชัดเจนว่า ผมอยากจะแพ้การเลือกตั้งที่ทำให้บ้านเมืองกลับมาสู่ความสงบสุข มากกว่าชนะการเลือกตั้งแล้วเกิดรุนแรง เพราะฉะนั้นก็หวังว่าปีหน้ามีการเลือกตั้ง และเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะทำให้เรื่องทางการเมืองมีความเป็นเสถียรภาพ และกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น”
เล่นเอาแม้แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเองยังรับไม่ได้ ที่นายอภิสิทธิ์มีฐานะเป็นหัวหน้าพรรค แต่กลับบอกว่าต้องการที่จะแพ้การเลือกตั้ง... ซึ่งผิดธรรมชาติของคนการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
ยิ่งประโยคที่ว่า “คนชอบมาบอกว่าทำไมคะแนนดีแล้วไม่ยุบสภา ชนะเลือกตั้งแล้วยุบสภาสิ ผมบอกว่า ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ผมบอกว่า ถ้าเลือกตั้งแล้วนองเลือด ให้ผมชนะแล้วผมไม่เอาหรอก ผมแพ้เลือกตั้งให้มันสงบดีกว่า บ้านเมืองเดินหน้าได้เท่านั้นเองครับ ดังนั้น เป้าหมายหลักของการเลือกตั้งไม่ได้อยู่ที่จังหวะเวลาของพรรคครับ เป็นเรื่องของบ้านเมือง จะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งที่สงบ ผมก็ต้องการแค่เท่านั้นให้เกิดขึ้น”
แน่นอนว่าพูดแบบนี้บรรดาแม่ยกขนลุกซุ่น้ำตาไหลพราก แต่สำหรับเวทีการเมืองแล้ว ทำให้ในพรรคประชาธิปัตย์เองก็ต้องหันไปจับเข่าคุยกันใหม่เหมือนกันว่า ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ดีกับพรรคประชาธิปัตย์แน่ๆ
เพราะจะว่าออกแนววิเคราะห์จุดอ่อน หรือออกแนวเตือนเพื่อนร่วมพรรค เหมือนอย่างที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค ออกมาบอกว่าพรรคเพื่อไทยต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งมีเป้าหมายอยากได้ส.ส.เกินครึ่งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งมีความหวังเป็นไปได้หรือไม่ เพราะวันนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการอะไรอยู่
อีกทั้งวันนี้การทำโพลล์เปรียบเทียบพบว่าภาคเหนือ ภาคตะวันออก น่าเป็นห่วง ส่วนภาคอีสานก็ยังดี ส่วนภาคตะวันตกก็กำลังเตรียมย้ายขุมกำลังไปทางอื่น แถวๆ จ.นครปฐม
“ที่พูดอย่างนี้ทุกคนก็คงเข้าใจ ดังนั้นภาระข้างหน้าหนักหนาสาหัสมาก สิ่งสำคัญสุดคือต้องมีความสามัคคี ต้องละวางบางสิ่งบางอย่างไว้ก่อนบ้างเพื่อสร้างความสามัคคีในชาติ อีกทั้งหูต้องมั่นคง ต้องฟังหูไว้หูครึ่ง อย่าฟังทั้งหมด”
พูดแบบพลเอกชวลิตในลักษณะประเมินสถานการณ์ ประเมินความพร้อม ยอมรับจุดอ่อนอย่างนี้ในทางการเมืองถือว่าดี เพราะเป็นการไม่ประมาทไว้ก่อนล่วงหน้า
แต่พูดแบบนายอภิสิทธิ์ นั้นคนในพรรคประชาธิปัตย์ยังงงๆ เอ๋อๆ กันอยู่เลยว่า แล้วแบบนี้จะไปยังไงต่อ
หรือว่าหลังคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ หากมีความจำเป็นต้องใช้หัว “พรรคธรรมาธิปัตย์” ขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรคไปพร้อมๆ กันเสียเลยดีหรือไม่
หรือจะจริงอย่างที่นายบุญเลิศ ไพรรินทร์ ว่าก็ได้... ว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ดวงไม่ดีจริงๆ
ที่มา:บางกอกทูเดย์,นารถ นเรนทร
***********************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น