--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ล่อนจ้อน(ยัง..ยังมีอีกเยอะ...)

คลิปฉาวชุดที่ 3 โดย “ohmygod3009” ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูบเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เศษ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 ใช้ชื่อว่า “คำสารภาพคนโกงข้อสอบ” มีความยาว 5.36 นาที ไม่ต่างกับระเบิดนาปาล์มที่พุ่งใส่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเนื้อหาในคลิปมีการยอมรับว่าโกงข้อสอบอย่างชัดเจน โดยมีการเอ่ยชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถึง 3 คน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้สั่งบล็อกคลิปดังกล่าวหลังจากเผยแพร่ได้ประมาณ 12 ชั่วโมง และมีรายงานว่ากระทรวงไอซีทีจะใช้ระยะเวลารวบรวมหลักฐานประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อนำไปขอหมายศาลประกอบการยื่นให้พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

แต่ก็มีคำถามว่าการปิดกั้นการเข้าดูเว็บแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้กระทรวงไอซีทีใช้อำนาจอะไร ซึ่งรายงานข่าวระบุว่าเป็นการขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาว่าสมควรบล็อกเว็บที่เผยแพร่หรือไม่ เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญ และอาจกระทบถึงความมั่นคงของประเทศด้วย

ขณะที่นักวิชาการกลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะเนื้อหาในคลิปที่สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบ เพื่อปกป้ององค์กรศาลรัฐธรรมนูญหรือกระบวนการยุติธรรม

ต้องตรวจสอบศาล

“ศาล ประชาชน นักกฎหมายสายคุณธรรมทั้งหลายเรียกร้องศีลธรรม จริยธรรมจากนักการเมือง แต่พอมีประเด็นปัญหาความสงสัยต่อคุณธรรม จริยธรรมในองค์กรศาลเอง คนที่เคยเรียกร้องเหล่านั้นกลับเงียบงัน หลายคนทำหูทวนลม นักกฎหมายบางคนบอกว่าจนบัดนี้ตัวเองยังไม่ได้ดูคลิปเพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ซึ่งมันน่าเหลือเชื่อที่สุด”

อาจารย์สาวตรี สุขศรี อาจารย์ภาควิชากฎหมายอาญาและผู้เชี่ยวชาญกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งคำถามกรณีคลิปฉาวกับบรรดานักกฎหมายที่สอนหลักวิชาชีพว่า ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันหมด ซึ่งจริงๆแล้วหายไปตั้งแต่เกิดกระแส “ตุลาการภิวัฒน์” เพราะหลังคลิปฉาวหลุดออกสู่สาธารณะควรจะมีกระบวนการหาข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะโดยองค์กรศาล หรือสำนักงานคณะกรรมการป้อง กันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจข้อเท็จจริง

อาจารย์สาวตรียกตัวอย่างคลิปเจ้าหน้าที่ซ้อมผู้ต้องหาในต่างประเทศซึ่งถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของผู้เห็นเหตุการณ์ หรือคลิปการทรมานในคุก ยังใช้เป็นพยานหลักฐาน เป็นเบาะแสในการสืบหาข้อเท็จจริง และเป็นข่าวฮือฮาทั่วโลก จนผู้ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาทำความจริงให้ปรากฏ เพราะปล่อยไว้ก็มีแต่เกิดผลเสียและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของประชาชน แต่นักกฎหมายไทยจำนวนมากกลับเพิกเฉยแล้วกล่าวคำมักง่ายลอยๆว่า “คลิปที่หลุดออกมาเป็นของปลอม ไม่ต้องดูและไม่ต้องพิสูจน์”

เรื่องเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้จึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสถาบันศาลยึดถือคุณธรรม จริยธรรมจริงหรือไม่ ถ้าเป็นการใส่ร้ายก็ต้องดำเนินคดีกับคนที่ทำคลิปมาเผยแพร่ตามกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและสอบพยานกันในชั้นศาล เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้มีพฤติ-กรรมอย่างที่ปรากฏในคลิป

3 ตุลาการเอาผิดมือแพร่คลิป

แต่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายจรูญ อินทจันทร์ นายสุพจน์ ไชยมุข และนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มอบอำนาจให้นายณพล อรุณอาศิรกุล ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพื่อให้ติดตามหาบุคคลที่เผยแพร่คลิปชุดที่ 3 ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และผิดพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีกลุ่มที่อ้างตัวว่าชื่อ “ปอย” ซึ่งเป็นชื่อเล่นของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ สนทนาเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะเป็นการโกงข้อสอบ โดยพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆเพื่อไปรวมสำนวนกับคดีที่นายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เคยมาแจ้งความไว้แล้วก่อนหน้านี้

ขณะที่เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแถลงว่า ฝ่ายบริหารของสำนักงานมีการประชุมหารือถึงเรื่องนี้ในหลายแนวทาง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นชั้นความลับที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากคณะตุลาการเห็นควรดำเนินการเช่นไรจะนำมาแถลงต่อสื่อมวลชนโดยทันที แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้จะไม่ล่าช้าแน่นอน และเชื่อว่าน่าจะมีข้อยุติโดยเร็ว

ปัญหาภายในศาลรัฐธรรมนูญ

แต่มีการตั้งคำถามว่าทำไมนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยังนิ่งเฉย แม้มีตุลาการหลายคนเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเคลียร์ข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยให้บุคคลภายนอกทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อให้สังคมยอมรับและไม่ถูกมองว่าปกป้องพวกเดียวกันเอง แต่ได้รับคำตอบจากนายชัชว่า “รอให้เรื่องเงียบก่อน” ซึ่งสร้างความอึดอัดให้กับตุลาการหลายคนเพราะเห็นว่าเหมือนเป็นเป้านิ่ง

ขณะนี้มีรายงานข่าวว่าผู้ที่ไม่สามารถสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นเริ่มหารือว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะหากเนื้อหาในคลิปเป็นเรื่องจริงเท่ากับบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้เสียโอกาสในการสอบ และยังส่งผลโดยตรงถึงสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ

โดยเฉพาะกรณีนายพสิษฐ์ ย่อมหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของนายชัชที่เป็นผู้แต่งตั้งเข้ามา ซึ่งพฤติกรรมของนายพสิษฐ์กระทบถึงสถาบันศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด ทั้งยังมีรายงานข่าวว่านายพสิษฐ์ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเลขานุการต่อนายชัชตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม และเดินทางไปฮ่องกงในวันเดียวกัน ไม่ใช่การปลดออกอย่างที่ 5 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญมีมติปลดนายพสิษฐ์ เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีตุลาการคนใดเห็นหนังสือสั่งปลดนายพสิษฐ์ที่ลงนามโดยประธานศาลรัฐธรรมนูญ

ประเด็นดังกล่าวยิ่งทำให้มีคำถามถึงความเป็นมาของนายพสิษฐ์ว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใดกับนายชัช และนายชัชปกป้องนายพสิษฐ์หรือไม่ แม้จนขณะนี้ก็ยังไม่มีการฟ้องร้องเพื่อให้ติดตามจับกุมนายพสิษฐ์นอกจากถอนพาสปอร์ตข้าราชการเท่านั้น โดยนายพสิษฐ์ยังสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้ด้วยพาสปอร์ตแบบปรกติทั่วไป

พฤติกรรมของนายพสิษฐ์จึงยิ่งเป็นปริศนาว่าทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อใคร ถ้าทำเพื่อตัวเอง ทำเพราะอะไร และถ้าทำเพื่อ “นาย” ทำเพราะอะไร?

แถลงการณ์ปริศนา?

นอกจากนี้ยังมีจดหมายที่อ้างว่าเป็นของนาย พสิษฐ์จากฮ่องกง โดยส่งมาทางแฟกซ์ถึงสำนักพิมพ์ต่างๆในช่วงค่ำวันที่ 8 พฤศจิกายน ซึ่งเขียนด้วยลายมือ จึงไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ และมีการตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากมีการแฟกซ์ปริศนาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีคลิปชุดที่ 3 เผยแพร่ออกมา ส่วนข้อความในจดหมายมีว่า

“กระผมนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ มีความคิดและมีอุดมการณ์ตั้งมั่นอยู่ในจิตวิญญาณ และเชื่อถือระบบกระบวนการยุติธรรมว่าจะต้องโปร่งใส เสมอภาค และมีคุณธรรม จริยธรรมครบถ้วนในทุกด้าน เหนือกว่าสาขาอาชีพใดๆ เพราะถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของชาวไทยทุกท่าน

ซึ่งเมื่อกระผมได้เข้ามาทำงานในศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์กรสำคัญยิ่งยวด เพราะคำวินิจฉัยถือเป็นที่สุด และผลแห่งคำวินิจฉัยผูกพันทุกองค์กร แต่กระผมกลับเสียใจต่อความพิลึกของผู้มีอำนาจ ทั้งเรื่องความหมายของคำว่ามาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม ตลอดถึงกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับศาลในรูปแบบที่บิดเบี้ยวของพรรคการเมืองบางพรรค รวมถึงกระแสพิเศษและความเกื้อหนุนอุ้มชูในหลากหลายรูปแบบ หลายครั้งยากต่อการมองเห็น รวมถึงมีบุคคลแอบอ้างกระแสพิเศษกันมากมาย

กระผมอยากเห็นคำว่ายุติธรรมกลับไปศักดิ์สิทธิ์ดังเดิม โดยอุดมการณ์ของกระผมนี้คงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับประชาชนคนไทยทั้งหลาย ซึ่งกระผมมีความภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารซึ่งกระผมเทิดทูนยิ่งชีวิต ถึงแม้จะถูกกล่าวหาต่างๆนานา แต่กลับทำให้กระผมมีความเข้มแข็ง เพราะกระผมไม่ได้เป็นไปตามคำกล่าวหาต่างๆ

ขอแสดงความเคารพต่อพี่น้องประชาชนคนไทยที่มีความรักความถูกต้องในทุกวิถี และช่วยกันผดุงความดีจรรโลงไว้ในแผ่นดิน จึงขอให้พี่น้องชาวไทยได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับกระผม และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมฉันใด ความจริงทุกประการก็จะได้ปรากฏอีกมากมาย”

“จรัญ” ไม่จนตรอกไม่ฟ้อง

ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคนใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้เผยแพร่คลิป แต่นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า ถ้าไม่จนตรอกจริงๆจะไม่ใช้กฎหมายไปเล่นงานประชาชน แต่เพียงขอให้มีโอกาสได้ชี้แจงต่อสาธารณะบ้าง

“ขณะนี้ขอให้เราได้มีโอกาสชี้แจงต่อสาธารณะให้รับทราบบ้าง ซึ่งตอนนี้เราก็พอทนได้ แต่เราไม่มีช่องทางที่จะไปสู้กับเขา ได้แต่หาทางพิสูจน์ความจริงกันไป อีกทั้งผมไม่อยากดำเนินคดีกับประชาชนถ้าไม่จนตรอกจริงๆ และผมก็ไม่อยากใช้กฎหมายไปเล่นงานประชาชน เพราะอาจถูกมองว่าเราไม่เป็นศาล ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยฟ้องร้องดำเนินคดีกับใคร”

ส่วนคลิปชุดที่ 3 ที่มีอักษรย่อ “จ” แอบไปตีกอล์ฟที่ประเทศสิงคโปร์ แล้วมีรายการตีกอล์ฟหลุม 19 ต่อนั้น นายจรัญกล่าวว่า ปรกติไม่ค่อยชอบตีกอล์ฟเพราะเห็นว่าเป็นกีฬาที่เบาไป และ 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เดินทางไปประเทศสิงคโปร์เลย ที่ระบุในคลิปจึงเป็นการใส่ร้ายกัน แต่ก็ไม่รู้สึกหนักใจที่มีการนำคลิปที่เป็นผลเสียกับศาลรัฐธรรมนูญออกมาเผยแพร่เป็นระยะ เพราะถือเป็นการนำความเท็จมากล่าวหากัน หลังจากนี้จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เผยแพร่คลิปดังกล่าวหรือไม่นั้น ยังไม่มีการหารือกันของตุลาการ

ดักคอศาลรัฐธรรมนูญ

“ผมว่าเรื่องนี้ตุลาการอย่าบอกปัด แต่ควรเคลียร์ตัวเองให้กระจ่าง หากบอกว่าถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายต้องเอาหลักฐานมาแสดงให้ชัดเจน เร็วเกินไปถ้ามีคนพูดว่าคลิปฉาวนี้มีการตัดต่อ ผมยืนยันว่าเราสามารถวิพากษ์วิจารณ์ศาลได้ในระบอบประชาธิปไตย โดยสามารถวิจารณ์ในเชิงวิชาการและวิจารณ์ด้วยเจตนาที่อยากให้ดีขึ้น มีกระบวนการยุติธรรมที่ยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น ไม่ใช่วิจารณ์ด่าทออย่างเสียๆหายๆ และศาลเองก็ต้องเปิดรับฟังความเห็น ไม่ใช่เอะอะอะไรก็หมิ่นศาล เพราะถ้าศาลไม่พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมไม่อยากให้มีความรู้สึกว่าศาลกำลังจะหมิ่นประชาชน”

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวถึงคลิปฉาวโดยติงถึงกลุ่มคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างกระแสว่าเป็นการแอบถ่ายหรือจัดฉาก และการเผยแพร่คลิปผิดกฎหมาย ทั้งที่ประเด็นสำคัญอยู่ที่เนื้อหาที่พูดกันในคลิป ซึ่งถ้าเนื้อหาที่พูดเป็นความจริงจะสร้างความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก จะทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือศาลอีกต่อไป และจะยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์ของปัญหา 2 มาตรฐาน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องออกมาพูดให้ชัดเจนว่าจริงหรือไม่ อย่างไร อย่าให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องออกมาแก้ตัวแทน

ภาพพจน์สูงต่ำอยู่ที่ตุลาการ

เช่นเดียวกับนายกระมล ทองธรรมชาติ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าคลิปที่ออกมาไม่สามารถดิสเครดิตหรือทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะมีความน่าเชื่อถือสูงหรือต่ำไม่ได้อยู่ที่องค์กร และการเมืองไม่สามารถแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่อยู่ที่พฤติกรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

“เรื่องนี้มีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องหลายคน บางคนอาจไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ได้เป็นตุลาการด้วย โดยเฉพาะนายพสิษฐ์ ซึ่งยังไม่รู้ว่าตำแหน่งนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะสมัยก่อนเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญคือเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ”

จี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออก

ด้านมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “ความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว” ว่าแม้ข้อกล่าวหาต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏในปัจจุบันอาจยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร แต่ก็มีผลสั่นคลอนความไว้วางใจของสาธารณชนที่มีต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง และนับตั้งแต่เกิดข้อสงสัยต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ปรากฏคำชี้แจงเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในความเป็นอิสระ เที่ยงธรรมในการตัดสินคดีแต่อย่างใด

ความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในสถานะที่จะทำหน้าที่ของผู้วินิจฉัยได้อย่างชอบธรรมอีกต่อไป จึงขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันกดดันเพื่อให้เกิดการแสดงความรับผิดต่อปัญหาที่เกิดขึ้นคือ

1.ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่สร้างความสงสัยต่อความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงให้เกิดความชัดเจนได้

2.ให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว เพราะแม้จะมีการสับเปลี่ยนตัวบุคคลมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ปัญหาพื้นฐานสำคัญคือสถาบันตุลาการที่ปราศจากการตรวจสอบทั้งจากภาคสังคมและการเมืองยังดำรงอยู่ การปฏิบัติหน้าที่ก็อาจไม่ได้ดำเนินไปบนหลักการหรือมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรม สถาบันตุลาการจะกลายเป็นองค์กรที่สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น

ตรงกันข้ามหากสถาบันตุลาการเป็นอิสระและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริงจะมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมการเมืองไทย จึงต้องร่วมกันผลักดันความรับผิดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในอนาคต

เปลือยคลิป-เปลือยตุลาการ

ปฏิกิริยาต่างๆที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้จึงส่งผลกระทบต่อสถาบันตุลาการทั้งระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ตราบใดที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถ “ทำความจริงให้ปรากฏ” ว่าเนื้อหาในคลิปฉาวทั้ง 3 ชุดที่ออกมาจริงหรือเท็จประการใด ก็ยากที่จะทำให้ประชาชนเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคลิปชุดแรกได้พาดพิงถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย

ยิ่งทำให้ “คลิปฉาว” มีความเป็นไปได้ ทั้งฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายที่ต้องการทำลายศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออกก็ไม่สามารถตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ แต่ถ้าตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจเกิดการต่อต้านจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและลุกลามจนนำมาสู่การรัฐประหารอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคลิปจะออกมาจากฝ่ายใดและมีเบื้องลึกอย่างไร แต่ขณะนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงสถาบันตุลาการทั้งระบบอีกด้วย อย่างผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนของสถาบันพระปกเกล้าที่มีต่อศาลและองค์กรอิสระ ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับความน่าเชื่อถือต่ำที่สุด รองลงมาคือศาลปกครอง

ท่ามกลางกระแสศรัทธาที่มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งคณะ แล้วสรรหาตุลาการชุดใหม่มาตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ใช่จะหยุดวิกฤตศรัทธาได้ในทันที

แต่ถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่าบริสุทธิ์และสุจริตเที่ยงธรรม กล้าที่จะตัดสินคดียุบพรรคประ-ชาธิปัตย์ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็มีคำถามว่าใครจะเชื่อถือ?

ที่สำคัญเชื่อว่าจะมีคลิปที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือสูงกว่านั้นออกมาอีก และมี “บุคคลระดับสูง” อีกหลายคนที่จะถูก “เปลือย” อย่างล่อนจ้อน...

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำความจริงให้ปรากฏ และเร่งปฏิรูปศาลอย่างจริงจัง เชื่อว่าอีกไม่นานเราอาจจะได้เห็น “ตุลาการวิบัติ” มากกว่า “ตุลาการภิวัฒน์”!

หากประชาชนหมิ่นศาล...พอจะเดาได้ว่าผลที่ตาม มาอย่างแน่นอนคือ “ติดคุก”

แต่ถ้าศาลหมิ่นประชาชน...ไม่กล้าเดาจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น!!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข

********************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น