หมายเหตุ- นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม เขียนบทความ 'ประเทศไทยมีกี่ศาล' เพื่ออธิบายถึงระบบโครงสร้างของศาล และอำนาจหน้าที่ตามภารกิจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
นับแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้เปลี่ยนจากระบบศาลเดี่ยวมาเป็นระบบศาลคู่
กล่าวคือจากเดิมที่มีเฉพาะศาลสถิตยุติธรรมที่ทำหน้าที่ชี้ขาดตัดสินอรรถคดีทั้งปวง เปลี่ยนมาเป็นมีศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้น
ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แม้แต่ผู้คนที่อยู่ในแวดวงกระบวนการยุติธรรมบางส่วนยังสับสนไขว้เขวเข้าใจไม่ถูกต้อง
จึงไม่แปลกหากประชาชนและสื่อมวลชนบางสาขา จะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในระบบการศาลของไทยที่ปฏิรูปใหม่
ดังตัวอย่างเช่น บทความการเมืองหน้า 3 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หัวข้อ
"น้ำท่วมกับประชาชนต้องมาก่อน 'ไม่ครบเทอม' สัญญาณ 'อภิสิทธิ์' ย่อหน้าที่ 9 ความว่า 'สถานการณ์ต่อมาคือการต่อสู้ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี 'ทางโค้ง' ให้ใจหายใจคว่ำ จากกรณี 'คลิปการสนทนา' ระหว่างทีมกฎหมายของพรรคกับอดีตเลขานุการส่วนตัวประธานศาลฎีกา..."
ผู้เขียนเชื่อว่า บทความข้างต้นคงมุ่งหมายถึงเหตุการณ์ในคลิปภาพและเสียงการสนทนาระหว่างเลขานุการส่วนตัวของประธานศาลรัฐธรรมนูญ กับสมาชิกสภาผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังตกเป็นข่าวตามสื่อในขณะนี้มากกว่า
เนื่องจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลรัฐธรรมนูญสามารถแต่งตั้งเลขานุการส่วนตัวได้ตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการแต่งตั้งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2551
ส่วนประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นประมุขสูงสุดของศาลยุติธรรม ไม่มีตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวเช่นศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจระบบศาลในประเทศไทยโดยไม่ผิดหลง ผู้เขียนจึงอาสาขออรรถาธิบายขยายความ คำว่าระบบศาลคู่ในประเทศไทย ดังนี้
1. ศาลยุติธรรม ก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2425
มีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีทั้งปวงตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น คดีแพ่ง คดีอาญา คดีเยาวชนและครอบครัว คดีล้มละลาย คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ คดีภาษีอากร คดีเลือกตั้ง คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เป็นต้น
มีนายสบโชค สุขารมณ์ เป็นประธานศาลฎีกา นายวรวุฒิ ทวาทศิน เป็นเลขาธิการประธานศาลฎีกา และนายเชวง ชูศิริ เป็นเลขานุการศาลฎีกา
โดยไม่มีตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวประธานศาลฎีกา
2. ศาลปกครอง จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542 เปิดทำการเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2544
มี 2 ชั้นศาล คือ ศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองกลาง
มีอำนาจหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีปกครองโดยเฉพาะอันไม่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลอื่น
คดีที่เกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือ/เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
หรือคดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ฯลฯ เป็นต้น
มีนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล เป็นประธานศาลปกครองสูงสุด
3. ศาลรัฐธรรมนูญ จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 เริ่มเปิดทำการเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2543
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีทั้งหมด 9 คน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 กำหนดอำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญไว้หลายประการ
เช่น การวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ประกาศใช้บังคับแล้วมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ กระทำการใดเพื่อให้ตนมีส่วนโดยตรงและโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายหรือไม่
หรือวินิจฉัยมติ หรือข้อบังคับของพรรคการเมือง การพิจารณาอุทธรณ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการวินิจฉัยกรณีบุคคลหรือพรรคการเมืองใช้สิทธิและเสรีภาพในทางการเมืองโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
มีนายชัช ชลวร เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ
และนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เป็นเลขานุการส่วนตัว ซึ่งปัจจุบันได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว
4. ศาลทหาร เป็นศาลพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498
แบ่งได้ 3 ประเภทคือ ศาลทหารในเวลาปกติ ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ศาลอาญาศึก
ศาลทหารปกติมี 3 ชั้นศาลคือ ศาลทหารชั้นต้น ศาลทหารชั้นกลาง (ชั้นอุทธรณ์) และศาลทหารชั้นสูงสุด (ชั้นฎีกา)
"มีอำนาจพิจารณาพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดอาญาซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด...."
เช่น ทหารประจำการ ทหารกองประจำการ (ทหารเกณฑ์หรือที่สมัครเข้ากองประจำการเพราะกฎหมายบังคับให้ต้องเป็นทหาร)
ส่วนคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร เช่น คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน เช่น ทหารกระทำผิดอาญาร่วมกับพลเรือน คดีที่ต้องดำเนินการในศาลเยาวชนและครอบครัว เนื่องจากอายุของผู้กระทำความผิด เป็นต้น
ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ ระบบศาลคู่ในประเทศไทยโดยสังเขป ตามที่กำหนดในกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
แม้ผู้เขียนจะระบุอำนาจหน้าที่ตามภารกิจทั้งหมด หรือระบบโครงสร้างของศาลแต่ละศาลไม่ครบถ้วนกระบวนความก็ตาม แต่ก็พอทำให้ท่านผู้อ่านรู้จักประเภทของศาลและระบบศาลคู่ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ผู้คนในสังคมยังไม่ค่อยรู้ประการหนึ่งก็คือ ศาลยุติธรรมได้แยกออกจากกระทรวงยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543
ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2543 ด้วยแล้วอีกเช่นกัน
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
*********************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น