--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปิดลับตัวเลขงบศอฉ.อ้างเบิกจ่ายตามขั้นตอนไม่ต้องชี้แจง

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบยกเลิกบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินพื้นที่ กทม.-ปริมณฑลแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. เป็นต้นไป ส่งผลให้ ศอฉ. ต้องยุบตัวเองแต่ตั้ง ศตส. ขึ้นรับผิดชอบกระชับอำนาจแทน “มาร์ค” ระบุไม่จำเป็นต้องชี้แจงตัวเลขว่า ศอฉ. ทำงานมา 8 เดือนใช้งบประมาณไปเท่าไร อ้างเบิกจ่ายตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ผบ.ทบ. ฉุนถูกบี้ถาม ลั่นรับแต่เบี้ยเลี้ยงอยากรู้เท่าไรเอาจำนวนเจ้าหน้าที่ไปคูณเอง โวยคนพูดผลาญหมื่นล้านแสนล้านปั้นน้ำเป็นตัว

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมเห็นชอบยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. เป็นต้นไป โดยให้นำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาบังคับใช้แทน นอกจากนี้ยังเห็นชอบให้ปล่อยตัวผู้ร่วมชุมนุมตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ 104 คน พร้อมกับรับทราบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ศึกษาโดยคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน

ตั้ง ศตส. กระชับอำนาจต่อจาก ศอฉ.

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ต้องถูกยุบไป ส่วน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯที่นำมาใช้แทนถือเป็นกฎหมายปรกติที่อยู่ในความดูแลของกองอำนวยรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) โดยตั้งศูนย์อำนวยการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ขึ้นมารับช่วงแทน ส่วนตัวคิดว่าจะน่าเพียงพอที่จะดูแลความเคลื่อนไหวทางการเมือง

หวังไม่มีใครท้าทายอำนาจรัฐ

“แม้ว่าเราจะเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ต่างๆเอาไว้ แต่หวังว่าจะไม่มีการก่อเหตุเพื่อท้าทายอำนาจรัฐ” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า เมื่อเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วกลับมาใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯภารกิจหลักจะเป็นหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมั่นใจว่าดูแลสถานการณ์ได้ เพราะเรามีแผนรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว

ไม่จำเป็นต้องชี้แจงงบ ศอฉ.

ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อเลิก ศอฉ. แล้วจะเปิดเผยตัวเลขงบประมาณที่ใช้ไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มี เพราะการอนุมัติงบประมาณเป็นไปตามขั้นตอนปรกติที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และผ่านความเห็นชอบจากผู้ดูแลด้านงบประมาณอยู่แล้ว

ส่วนการให้ประกันตัวผู้ต้องหาเสื้อแดง 104 คนนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นกลุ่มที่มีความผิดน้อย ซึ่งคนเหล่านี้ต้องยื่นประกันตัวเอง แต่หากไม่มีผู้สนับสนุนด้านหลักทรัพย์หรือด้านกฎหมายกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพก็จะเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งเหมือนกับหลายกรณีที่ทำมาก่อนหน้านี้ ในส่วนของแกนนำจากการประสานก่อนหน้านี้เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือด้านหลักทรัพย์หรือด้านกฎหมาย เพราะมีทนายความของเขาเอง รัฐบาลจึงทำได้เพียงช่วยเรื่องการประสานงานเท่านั้น คือไปช่วยดูเรื่องงานธุรการต่างๆ ส่วนการยื่นประกันตัวทนายความของเขาจะดำเนินการเอง

โยนเสื้อแดงหาเหตุผลประกันตัวเอง

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากแกนนำยื่นประกันตัวจะคัดค้านการประกันตัวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะคัดค้านหรือไม่ดูที่ข้อมูล ข้อเท็จจริง คนที่เคยยื่นประกันตัวแล้วและศาลวินิจฉัยไปแล้วก็ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาอธิบายต่อศาลเพื่อให้ศาลวินิจฉัยใหม่ การจะได้ประกันตัวหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับศาล

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ศตส. ที่จะมาทำหน้าที่แทน ศอฉ. ไม่ใช่เรื่องของการใช้อำนาจ แต่เป็นการเฝ้าติดตามสถานการณ์เพื่อให้เตรียมรับมือได้ทัน ส่วนตัวอยากให้เคลื่อนไหวกันในกรอบกติกา ซึ่งชัดเจนว่าในปีหน้าจะมีการเลือกตั้ง จึงอยากให้ทุกคนมุ่งไปทางนั้นดีกว่าจะได้ไม่ต้องกลับมาใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกันอีก

ผบ.ทบ. ไม่สบอารมณ์ถูกถามงบ ศอฉ.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไม่ค่อยสบอารมณ์นักเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามเรื่องงบประมาณของ ศอฉ. โดยระบุว่าไม่ได้ใช้งบเป็นหมื่นล้านแสนล้านอย่างที่ใครออกมาพูด

“ไปเอาตัวเลขมาจากไหนหมื่นล้านแสนล้าน เจ้าหน้าที่ได้แต่เบี้ยงเลี้ยง ทำเท่าไรก็ได้เท่านั้น มีกี่คนก็คูณเข้าไป จ่ายไปแค่นั้นแหละ หมื่นล้านแสนล้านไปเอาเงินมาจากไหน ใครพูดก็ไปถามคนนั้น” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ลั่นใช้ไม่ถึงหมื่นล้านแสนล้าน

เมื่อถูกถามต่อว่าสรุปแล้วใช้ไปเท่าไร ผบ.ทบ. กล่าวว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่ได้สนใจ ได้งบมาก็จ่ายให้คนที่ทำงานไป แต่ไม่ถึงกับหมื่นล้านแสนล้านแน่นอน รัฐบาลคงไม่มีเงินมาให้มากขนาดนั้น ถ้าอยากให้เจ้าหน้าที่ทำงาน อยากให้บ้านเมืองสงบ เลิกเสียทีกับเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว เขียนเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

พ.ร.บ.ความมั่นคงไม่ต่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

น.ส.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์ประจำศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ความจริงรัฐบาลควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทุกพื้นที่มาตั้งนานแล้ว เพราะการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่มีขอบเขต และเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯมาใช้แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะโดยเนื้อหาของกฎมายแทบไม่แตกต่างกัน เจ้าหน้าที่ยังมีอำนาจอย่างกว้างขวางและไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ

การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังมีต่อไป

“มีข้อมูลงานวิจัยทางวิชาการระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนระบุว่า ไม่ว่าประเทศใดก็ตามที่บังคับใช้กฎหมายความมั่นคงด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคงจริงหรือไม่ก็ตาม จะเป็นหนทางและบ่อเกิดให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ยกตัวอย่างในมาเลเซียและสิงคโปร์ที่ใช้กฎหมายความมั่นคง ปรากฏว่าทั้ง 2 ประเทศสามารถจับคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลโดยไม่ต้องมีข้อกล่าวหาได้ และยังฝากขังโดยที่ไม่มีการพิพากษา ซึ่งพบว่ามีประมาณ 10-20 คน ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง” น.ส.ศรีประภากล่าวและว่า หากประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยจริงไม่ควรนำเอา พ.ร.บ.ความมั่นคงฯมาใช้ และต้องยอมรับว่าหลักของประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ที่ขาดหายไปคือเรื่องความพร้อมในการแสดงความรับผิดชอบของรัฐบาล โดยเฉพาะไม่ได้รับการตรวจสอบใดๆจากประชาชนและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเราเรียกว่าการขาดดุลในการตรวจสอบ

ส่วนที่รัฐบาลให้ประกันตัวแนวร่วมเสื้อแดง 104 คนนั้น น.ส.ศรีประภากล่าวว่า การประกันตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาที่รัฐบาลให้ และองค์กรระหว่างประเทศให้การรับรองเอาไว้

ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น