“ดอกไม้เหล็กแห่ง กกต.”ของขึ้น!!
ปิดตำนาน “ศรีทนได้”!!
ถึงวันนี้ โฆษณา “ศรีทนได้” น่าจะใช้ไม่ได้สำหรับการเมืองไทยยุค อะไรก็เกิดขึ้นได้ภายใต้รัฐบาลมาร์ค ที่มี”ของแข็ง” คอยหนุนอยู่เบื้องหลัง
แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้องไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลที่เหมือน”เส้นผมบังภูเขา แต่สงครามความคิดของคนที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวอะไรด้วย,,,,มันก็ไม่จบ!!
หนึ่งในจำนวนนั้น คือ กกต.ที่ชื่อ สดศรี สัตยธรรม ซึ่งออกมา”ชนดะ” กับประดาบิ๊ก ปชป. อันเป็นที่มาของ”หัวข่าว” ศรีเลิกทน หรือ”ศรีทนไม่ได้” ในวันนี้
เริ่มเปิดฉาก ....นิยายบู๊แนวชีวิตมีว่า....
เล่นกับใครอาจจะง่าย เพราะตลอดมานายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์
ถูกยกให้เป็นมือวางอันดับ 1 ตลอดกาลของพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว ในเรื่องของการใช้วาจาเชือดเฉือนคน จนเคยได้รับฉายาว่า “ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง”
นายชวนถือเป็นไอดอลของคน ปชป. หลายคน แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ถือเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ ที่ลอกเลียนแบบนายชวนมาทั้งดุ้น!!!
เพียงแต่ระยะหลัง พัฒนาการทาง DNA ปชป. มีปัญหา เนื่องจากติดเชื้อขั้วอำนาจพิเศษอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ หลายคนก็เลยกลายเป็นแค่ “นายกองร้องด่าท้าทาย” ได้แค่นั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเอาตำแหน่งอะไรมาสวมหัวโขนให้ก็ตาม
รวมทั้งแม้แต่นายชวน ต้นแบบเอง ระยะหลังๆ ด้วยความที่ต้องปกป้องพรรค ปชป. สุดชีวิต ก็เลยแกว่งไปเหมือนกัน พูดอะไรก็ทำให้สังคมตะลึง ว่านี่หรืออดีตนักการเมืองคุณภาพ???
แต่แน่นอนว่าไม่ว่าอย่างไร ชื่อชั้นบารมีของนายหัวชวน ยังคงขายได้ และเป็นเหมือนเกราะเหล็กผนังทองแดงให้กับนายอภิสิทธิ์ และพรรค ปชป. ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในศึกคดียุบพรรค ปชป. ที่ผ่านมา นายชวนทุ่มเทเกินร้อย เพียงเพื่อทำอย่างไรก็ได้ ขอเพียงแค่ไม่ให้พรรค ปชป. ถูกยุบเป็นพอ
ขนาดแถลงปิดคดีความผิดกรณีใช้เงินกองทุนการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ที่ลุยแหลกเหมือนการอภิปรายในสภาเป็นชั่วโมงๆ จนงงกันทั้งสังคม ว่าเป้นการแถลงปิดคดีจริงๆหรือ
ยิ่งเมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 4 ต่อ 2 ให้ยกคำร้อง ชนิดที่สังคมทำตาปริบๆ เพราะในแง่ของข้อยุติทางคดี ก็ต้องยอมรับในอำนาจวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ ว่าจบแค่นี้ก็คือจบแค่นี้
แต่ในแง่ของความรู้สึกของคนในสังคมนั้นช่วยไม่ได้ หากจะมองว่า ขั้วอำนาจพิเศษแหงๆ และ 2 มาตรฐานชัดเจนอีกแล้ว
จนกลายเป็นผลกระทบกับ ทั้งพรรค ปชป. ทั้งตุลาการรัฐธรรมนูญ และทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
กระแทกกันอุตลุด เพื่อเบี่ยงหนีว่า การยกคำร้อง ไม่ต้องยุบพรรคปชป.เที่ยวนี้ ใครควรจะต้องเป็นหน่วยงานที่ต้องแสดงความรับผิดชอบ
งานนี้ กกต. ดูจะโดดเดี่ยวที่สุด เพราะ ปชป. กับ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ดูจะขานรับกันเป็นลูกระนาด เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้ดีที่สุด
แต่เมื่อต้อนกันมากไป กกต.หลายคน ก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน โดยเฉพาะนางสดศรี สัตยธรรม เจ้าของฉายา “ดอกไม้เหล็กแห่ง กกต.”
พยายามออกมายืนยันหลายรอบแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายต้องการเบี่ยงเบนให้เป็นภาระรับผิดชอบของ กกต.ให้ได้ ก็ทำให้ กกต. หลายคนชักจะเริ่มทนไม่ไหว เพราะใครจะใจเย็นเป็นน้ำ เรื่อยๆเอื่อยๆได้เหมือนนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.
ยิ่งเมื่อนายชวนออกมาระบุทำนองว่า นางสดศรีให้สัมภาษณ์ว่าถูกเสื้อแดงกดดันทำให้ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์
เท่านั้นก็ได้เรื่อง เพราะนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง เลือกที่จะไม่ทนอีกแล้ว ถึงขนาดเดินตรงมายังห้องสื่อมวลชนก่อนที่จะร่วมพิธีถวายสัตย์ได้ร่วมปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีและร้องเพลงสดุดีมหาราชา เนื่องในวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เจตนาเพื่อชี้แจงข่าวที่นายชวนพาดพิงทันทีว่าไม่เคยพูดในลักษณะนั้น !!!
หากนายชวนมีเทปหรือมีหลักฐานก็ขอให้นำออกมาเผยแพร่
“เพราะคนดีๆ ที่มีสมอง ไม่วิกลจริตไม่มีทางที่จะพูดแบบนั้นแน่นอน”นายสดศรีกล่าว
พร้อมกับระบุด้วยว่า เรื่องการยุบพรรคจะต้องเป็นความเห็นของนายทะเบียนเท่านั้น กกต. 4 คนไม่มีอำนาจไปยุบพรรคได้ เพราะเป็นอำนาจของนายทะเบียน เรื่องนี้เป็นการกล่าวร้าย ในความเป็นจริงตนไม่เคยพูดแบบนั้น
นายชวนเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ดังนั้น การที่จะพูดอะไรออกมาต้องมีหลักฐาน
“ถามว่า กกต.ตัวเล็กๆ จะเอาอะไรไปยุบพรรคการเมืองท่านได้ ถ้านายทะเบียนไม่ทำความเห็นมาให้ยุบ เรื่องนี้ควรจบได้แล้ว เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการตีความข้อกฎหมาย เราไม่ได้เป็นศัตรูกับพรรคการเมือง หากไม่มีการร้องเรียนเข้ามาเราก็ไม่ทำ แต่เมื่อมีการร้องเข้ามาเราก็ต้องทำตามหน้าที่”นางสดศรี กล่าว
ส่วนกรณีให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทำความเห็นส่งคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากข้อกล่าวหาเงิน 29 ล้านบาทซ้ำหรือไม่นั้น นางสดศรี กล่าวว่า การจะฟ้องซ้ำได้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองเท่านั้น!!!
โดยส่วนตัวไม่มีความเห็นใดๆ เพราะขึ้นอยู่กับนายอภิชาต ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าจะฟ้องหรือไม่
ดังนั้นเรื่องนี้ขอให้ไปถามนายอภิชาตเอง
งานนี้ประกาศศักดิ์ศรี กกต.หญิง หนึ่งเดียวในคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดปัจจุบันให้เป็นที่ประจักษ์ ว่า“เจ๊สด” ของน้องๆนักข่าวนั้น บทจะ ดื้อ บทจะดุ ขึ้นมาแล้ว อะไรก็เอาไม่อยู่ แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีก็เถอะ
ซึ่งเชื่อว่างานนนี้นายชวนก็คงจะเลือกพลิ้ว ว่าผมเป็นผู้ใหญ่ ผมไม่คิดจะไปรังแกใครหรอก เป็นการเข้าใจผิดกันมากกว่า แล้วก็โยนกลองไปให้สื่อมวลชนตามฟอร์ม
เพราะขืนลุยต่อหรือสวนกลับ ก็จะเสียผู้ใหญ่เท่านั้น
แต่งานนี้ต้องยอมรับว่า นางสดศรีนั้นกล้าจริง!!!
แต่อย่างว่าเส้นทางของนางสดศรีนั้นธรรมดาที่ไหน จากอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ก้าวมาสู่วงการเมืองในฐานะหนึ่งในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 และกรรมการการเลือกตั้ง
ซ้ำยังมีบุคลิกนิสัยที่ชัดเจนตรงไปตรงมา อีกทั้งปากไวให้ สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นประเด็นร้อนๆ ที่อาจจะไม่โดนใจใครหลายๆคน ในหลายกรณีจึงกลายเป็นเป้าที่ถูกกระหน่ำทั้งซ้ายและขวา!!!
นางสดศรี ถือว่ามีสายเลือดนักกฎหมายอยู่ในตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะมีคุณพ่อเป็นนักกฎหมาย แถมพี่ชายก็เป็นนักกฎหมายด้วย ที่สำคัญตัวเองก็จบปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ
“คุณพ่อและพี่ชายเป็นนักกฎหมาย แต่ตอนเด็กๆไม่ค่อยสนใจนะ เพียงแต่รู้ว่าตัวเองชอบเห็นความยุติธรรม เวลาเห็นอะไรไม่ยุติธรรม จะไม่ยอม ต้องแก้ให้ถูกต้อง ตอนอยู่กระทรวงยุติธรรม ก็เป็นหัวโจกร้องเรียนทุกเรื่อง เราเป็นผู้พิพากษาให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน ถ้าผู้พิพากษาไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วจะเรียกร้องกับใครได้ ความยุติธรรมต้องมีให้กับทุกคน”นางสดศรีเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้
รวมถึงเรื่องในอนาคต คิดอยากเล่นการเมืองบ้างหรือไม่ นางสดศรีบอกไว้ชัดว่า ไม่เคยคิดเลย
“อยู่อย่างนี้ดีแล้ว อยากกลับไปวงการเดิม เพราะวงการศาลเป็นวงการที่สงบ ถึงไม่ดัง ไม่มีใครรู้จัก แต่เป็นที่ที่เราสงบ และปลอดภัยดี อยู่ที่นี่เหมือนอยู่ในป่า ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรแค่ไหน ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว”
ดูแล้วก็เชื่อว่า ยิ่งคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นแบบนี้ และมีความพยายามที่จะหาแพะให้มาเป็นจำเลยสังคมแบบนี้ กกต.ก็คงต้องเหนื่อยอีกมาก
และนางสดศรี ก็คงต้องยิ่งระมัดระวังตัวทุกฝีก้าวให้มากกว่าเดิม
เพราะ ปชป.นั้นธรรมดาที่ไหน!?!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น