--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สกัดจุดตาย

งัดทุกกระบวนท่า!

ดำดินมาแบบเนิบๆ แม้แต่ขอมผู้เป็นต้นฉบับมหาเวทย์ “ดำดิน” ยังไม่สะกิดใจและสะดุดตา!คอการเมืองกว่าจะถึง “บางอ้อ” ก็มีการหมกเม็ด ยัดไส้เข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติแบบเงียบๆแต่ทำกันเป็นทีม หลักแหลมชาญฉลาดเนียนไร้ที่ติ อาศัยช่วงชุลมุนทางการเมือง ชิงความได้เปรียบบนสนามเลือกตั้งในอนาคตข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง

เรื่องของเรื่อง เผอิญเกิดขึ้นในช่วงการเมืองร้อน ถูกจุด เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่เพิ่งผ่านพ้นไป สภาผู้ทรงเกียรติ สเปก ท่าน ส.ส.ฝักถั่ว สมัครสมานให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ในวาระแรกโดยมีสาระสำคัญยกเลิกการนับคะแนนแบบเก่า ที่นำมารวมนับที่เขต มาเป็นให้นับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง แล้วส่งผลการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้นไปรวมที่ เขตเลือกตั้ง

“รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดมีเจตนารมณ์กำหนดเกี่ยวกับการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง และส่งผลการนับคะแนนเลือกตั้งนั้นไปรวมที่เขตเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนรวม ดังนั้น ในการนับคะแนน การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ควรกำหนดให้มีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งแล้วส่งผล การนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้นไปรวมที่เขตเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนรวม เพื่อความรวดเร็วในการนับคะแนน และเป็นการอำนวยความสะดวกในการนับคะแนนการลงเลือกตั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความถูกต้อง ของการนับคะแนนอันเป็นผลให้การเลือกตั้งเป็นไปโดย สุจริตและเที่ยงธรรม”

นั่นเป็นเหตุผลและความจำเป็นในการเสนอร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่..) พ.ศ....

“ถวิล ไพรสณฑ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ กับคณะ ส.ส.จำนวนหนึ่ง

“ภราดร ปริศนานันทกุล” จากพรรคชาติไทยพัฒนา กับคณะส.ส.จำนวนหนึ่ง

“พัฒนา สังขทรัพย์” จากพรรคภูมิใจไทย กับคณะ ส.ส.จำนวนหนึ่ง

นี่คือทีมงานต้นทางในการชงร่างพระราชบัญญัติ ดังกล่าวที่แยกกันส่งเป็น 3 ร่างเข้าสู่การพิจารณาในสภา ผู้แทนราษฎร ก่อนที่ฝักถั่วจะรับหลักการในวาระแรก และรวบรัดตัดตอนมาพิจารณารวมในร่างของ “ถวิล ไพรสณฑ์” นักปกครองมืออันดับต้นๆ ของเมืองไทยจากพรรคประชาธิปัตย์พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่..) พ.ศ.... อันประกอบด้วยผู้ทรงเกียรติในสภาล่างจำนวน 36 ท่าน ปะปนกันไประหว่าง ส.ส.ซีกรัฐบาลและซีกฝ่ายค้าน แต่เนื่องด้วยการชงในรอบนี้ เป็นความร่วมมือกันอย่างแข็งขันของประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนา

มันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาในทางการเมืองที่การ กลั่นกรองหรือการแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ หรือแม้ กระทั่งในชั้นสภาผู้แทนราษฎร เสียงของ ส.ส.ในซีก รัฐบาลย่อมแรงชัดถ้วนทั่วปริมณฑลการเมืองเฉกเช่นใน อดีตที่ผ่านมา งานนี้หากไม่ผิดคิว เปิดสภาสมัยหน้า เลือกตั้ง สนามเล็กคงไม่แคล้วต้องนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งถามว่าดีหรือไม่??? คงเข้าใจได้ว่า..เป็นการตัดตอน กลโกงระหว่างทางในการขนถ่ายหีบบัตรไปสู่จุดนับคะแนนรวม นั่นรวมไปถึงเงื่อนไขในการลดขั้นตอนเพื่อ ประหยัดเวลาสำหรับคอการเมืองที่ใจเร็วอย่างทราบผลแต่จะสะอาดหมดจด โปร่งใสตรวจสอบได้ ดังที่ระบุไว้ในบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญประกอบร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวหรือไม่ ยังต้องใส่ไว้ในวงเล็บตอนท้ายด้วย “เควสชั่นมาร์ค”

เนื่องด้วยยังมีคำถามว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นจำเป็นหรือไม่ที่ต้องยึดโยงจับหลักเดียวกันกับกติกาสนามใหญ่ที่ข้อร้องเรียนโกงเลือกตั้ง ยังประเดประดังท่วมหัว กกต.ทุกครั้ง ในคือวันที่ปี่กลองเลือกตั้งดังสนั่น ลั่นทุ่ง อรรถาธิบายขยายความให้กระจ่างคือ ไม่ว่าจะนับที่หน่วยหรือนับรวมที่เขตใหญ่ มันก็ไม่สามารถตอบโจทย์ที่ใช้เป็นข้ออ้างเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องในการเลือกตั้งที่ระบุไว้ในเจตนารมณ์ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวกระนั้นก็ตาม หากมองในแง่ความได้เปรียบทาง การเมือง ยึดโยงกับการถูลู่ถูกังแก้รัฐธรรมนูญของทีมงานพรรคร่วมรัฐบาลในรอบที่ผ่านมา ก็จะพบว่า มันล้วน มีคุณูปการในการเจาะฐานคะแนนเสียงสีแดงจากกระเป๋าใบเขื่องของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทย

หากการเมืองสนามเล็กนั่นคือฐานสำคัญในวันข้างหน้าของการเมืองสนามใหญ่ การกลับไปนับคะแนน ที่หน่วยเลือกตั้งในสนามเล็ก มันก็ไม่ต่างจากการเดินย้อนรอยไปสู่กติกาเดิมๆ ในการเลือกตั้งแบบเก่าๆ ที่เอื้อ ให้กับผู้มีอิทธิพลและพลังเงินในพื้นที่ได้มีโอกาสกลับมา เกิดใหม่ เพราะหากเปลี่ยนกติกา เหล่ามาเฟียในคราบผู้สมัคร ส.ส. ย่อมสามารถเช็กคะแนนหน้าหน่วยได้อย่าง ไม่มีปัญหา

นั่นย่อมจะกินรวมไปถึงกลโกงในอดีตที่หวนคืนกลับมา อาทิ การซื้อเสียงหน้าหน่วย หรือแม้กระทั่งซื้อ แบบยกหน่วย รวมไปถึงวิถีโจรในรูปแบบอื่น มันก็จะย้อนยุคสีเทาในวันเก่าๆ ตามมาด้วยสำคัญที่สุดแห่งสาระสำคัญในกติกาที่กำลังจะบังเกิด มันเผอิญมีวาระใกล้เคียงและละม้ายคล้ายคลึงกับโรด แมปการล้มทฤษฎี “ทักษิณฟีเวอร์”..หากสภาไฟเขียว วาระ “เสาไฟฟ้าแดง” ของพรรคแดงย่อมสุ่มเสี่ยงเอวังปมซ่อนเร้นที่บังเกิด ย่อมพิสูจน์ได้ว่า..การเดินย้อนรอยทางกฎหมายรอบนี้ มันเป็นผลประโยชน์ทาง การเมืองล้วนๆ โดยไม่มีนัยยะใดๆ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แห่งประชาชนแม้แต่น้อย

แต่ที่กระทบประชาชนแน่ๆ และแน่นอนถึงขั้นนอนนิ่งแน่ๆ นั่นคือสถิติอาชญากรรมหลังวันเลือกตั้งที่ ตั้งเค้าจะคืนกลับ หากร่างกฎหมายนี้ไปโลดแล่นฉิวผ่าน ฝักถั่วในสภา เพราะหากนับคะแนนกันที่หน่วยคะแนนแต่ละหน่วยย่อมปรากฏขึ้นให้เห็นประจักษ์เป็นพยาน หลักฐาน และบังเอิญหัวคะแนนผู้เป็นประชาชนตาดำๆ ที่มากด้วยความโลภ ทำแต้มจากวาระกระสุนดินดำไม่ได้ ตามเป้าวาระกระสุนตะกั่ว ภายใต้บรรยากาศรังสีอำมหิต แห่งการเมืองไกลปืนเที่ยง มันย่อมสุ่มเสี่ยง และเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเกิดฆาตกรรมอันต่อเนื่องติดจรวดตาม มา และแค่นี้ก็น่าจะยืนยันได้ว่า..

หากกฎหมายผ่าน ระหว่างประชาชนและนักการ เมืองใครมีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่ากัน??? แต่ในเมื่อเป็นวาระสกัดจุดตายฝ่ายกุมอำนาจประเทศในสนามเล็ก นักเลือกตั้งงัดทุกกระบวนท่าเพื่อ กระชับอำนาจระดับท้องถิ่นไว้ในมือมันคงเป็นหน้าที่ประชาชนแล้วแหละ ที่จะต้อง จดพฤติกรรมเหล่านี้ลงแบล็กลิสต์ แล้วค่อยคิดบัญชีชำระแค้นเหล่านักเลือกตั้งชั่วให้สูญพันธุ์..คาคูหา เลือกตั้ง!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น