อัยการและ กกต. แสดงความมั่นใจคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ไซฟ่อนเงิน 258 ล้านบาท จะไม่ถูกยกคำร้องเหมือนคดีใช้เงิน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์แน่เพราะยื่นฟ้องคนละข้อกฎหมาย เผยส่งฟ้องคดีไปนานแล้วแต่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากศาลรัฐธรรมนูญว่าจะให้ทำอย่างไร จะนัดพร้อมคู่ความและเปิดไต่สวนคดีได้เมื่อไร ส.ว.สรรหาจี้ตุลาการเสียงข้างน้อยชี้แจงเหตุผลไม่ยกคดี ตั้งคำถามเรื่องเงื่อนเวลาเป็นข้อกำหนดของกฎหมายทำไมเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ เพื่อไทยเตรียมประชุมทีมกฎหมายหาช่องยื่นถอดถอน 6 ตุลาการ ด้านเลขาธิการสถาบันพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองขีดเส้นภายใน 1 เดือน กกต. ทั้ง 5 คนต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด หนึ่งในคณะทำงานอัยการคดีอัยการสูงสุดยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ข้อหารับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อย่างผิดกฎหมายจำนวน 258 ล้านบาท ยืนยันว่า คดี 258 ล้านบาทจะไม่ซ้ำรอยคดีเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องเพราะยื่นฟ้องไม่ทันกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดแน่นอน แม้ขั้นตอนการฟ้องคดีจะเหมือนกันแต่รูปคดีต่างกัน เพราะเรื่องนี้เป็นการทำนิติกรรมอำพราง ไซฟ่อนเงินในตลาดหลักทรัพย์ฯผ่านพรรคการเมือง เป็นความผิดคนละมาตรากับคดี 29 ล้านบาท
รอเมื่อไรศาลจะนัดพิจารณาคดี
“คดี 258 ล้านบาท อัยการสูงสุดเป็นคนลงนามส่งฟ้องเองและส่งเรื่องไปที่ศาลนานหลายเดือนแล้ว กำลังรอว่าศาลจะนัดฟังว่าจะรับคำร้องหรือไม่เมื่อไร หรือว่าจะนัดสืบพยานกันวันไหน ซึ่งอัยการเตรียมทีมงานเอาไว้หมดแล้วแต่ยังไม่ได้รับการติดต่ออะไรจากศาลรัฐธรรมนูญ” โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดระบุ
นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด หนึ่งในคณะทำงานคดี 258 ล้านบาท กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีสิทธิที่จะเอาบรรทัดฐานคำตัดสินจากคดี 29 ล้านบาท ไปยื่นเพื่อขอให้ศาลจำหน่ายคดี 258 ล้านบาทได้ หากยื่นจริงอัยการก็ต้องคัดค้าน ส่วนผลจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล
คดี 258 ล้านเงื่อนเวลาไม่เหมือนกัน
“เรื่องนี้ต้องโต้แย้งกันในข้อกฎหมายเพราะเป็นการฟ้องเอาผิดคนละมาตรากัน เรื่องเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองกำหนดให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นคำร้องยุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน แต่กรณีไซฟ่อนเงินอัยการสูงสุดเป็นคนเซ็นส่งฟ้อง ซึ่งกฎหมายกำหนดเวลาฟ้องภายใน 30 วัน” นายวัยวุฒิกล่าว
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การจะยื่นเรื่องให้ศาลจำหน่ายคดี 258 ล้านบาท ได้หรือไม่ต้องดูที่ข้อกฎหมาย จากนั้นจึงดูข้อเท็จจริง ซึ่งที่สุดแล้วต้องอยู่ที่ดุลยพินิจของศาลว่าจะเห็นอย่างไร
ปชป. เล็งใช้ประโยชน์จากคำตัดสิน
นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จะต้องรอดูรายละเอียดคำตัดสินของศาลรัฐธณรมนูญในคดี 29 ล้านบาท ก่อนว่าจะมีส่วนไหนเป็นคุณกับคดี 258 ล้านบาทหรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 คดีมีความคาบเกี่ยวกันอยู่
“คดี 258 ล้านบาท พรรคได้ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาไปตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา กำลังรออยู่ว่าศาลจะนัดพร้อมคู่ความเมื่อไร ระหว่างนี้หากศึกษาคำวินิจฉัยคดี 29 ล้านบาท แล้วเห็นว่ามีประเด็นที่เป็นคุณก็จะยื่นเอกสารเพิ่มเติมไปอีก”
ขีดเส้น 1 เดือน 5 กกต. ต้องลาออก
นายตุลย์ ประเสริฐศิลป์ เลขาธิการสถาบันพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง จังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยกรรมการสถาบัน เข้ายื่นหนังสือผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัดขอนแก่นถึง กกต. กลางทั้ง 5 คน ขอให้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีศาลยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถือว่าเป็นความผิดพลาดของ กกต. ที่ฟ้องคดีไม่ทันเงื่อนเวลาตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะให้เวลา 1 เดือน หากไม่ลาออกจะเป็นผู้รวบรวมรายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนต่อไป
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง เปิดเผยหลังการประชุม กกต. ว่าที่ประชุมรับทราบคำวินิฉัยของศาลรัฐธรมนูญ และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีนี้ว่าทำดีที่สุดแล้ว จากนี้จะรอคำวินิจฉัยฉบับเต็มเพื่อพิจารณาหาข้อบกพร่องต่อไป
กกต. ชี้เป็นเรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน
“คดีนี้เป็นคดีแรกที่ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องใช้ดุลยพินิจ ซึ่งเมื่อรับเรื่องเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2552 ท่านชี้ว่าให้ยกคำร้องทั้งคดี 29ล้านบาท และคดี 258 ล้านบาท ท่านอื่นทักท้วงจึงมีการตั้งกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง และได้หลักฐานเพิ่มเติมจึงเปลี่ยนใจส่งฟ้อง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไปนับเงื่อนเวลาจากการตัดสินใจครั้งแรก ตรงนี้เป็นข้อบกพร่องของกฎหมายที่ต้องไปแก้ไข เพราะในข้อเท็จจริงเวลา 15 วัน ถือว่าน้อยเกินไป” นายประพันธ์กล่าวและว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เห็นไม่ตรงกันในข้อกฎหมาย แต่เมื่อตัดสินมาแล้วต้องยอมรับ นายทะเบียนพรรคการเมืองทำเต็มที่แล้ว เรื่องจะให้ลาออกไม่สมเหตุสมผล
มั่นใจคดี 258 ล้านไม่ซ้ำรอยเดิม
นายประพันธ์กล่าวว่า คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท จะไม่ซ้ำรอยคดีเงิน 29 ล้านบาท แน่นอนเพราะเป็นการฟ้องคนละมาตรา ซึ่งมีเงื่อนเวลาต่างกัน มั่นใจว่าไม่มีปัญหาเรื่องกรอบเวลาส่งฟ้องศาลแน่นอน
นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา เรียกร้องให้นายชัช ชลวร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นตุลาการเสียงข้างน้อย ออกมาชี้แจงเหตุผลว่าทำไมไม่ให้ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
จี้ 2 ตุลาการเสียงข้างน้อยแจงเหตุผล
“ตามหลักแล้วหากจะยกคำร้องเพราะว่ายื่นฟ้องไม่ทันตามกำหนดเสียงต้องเป็นเอกฉันท์ เพราะเป็นเรื่องของข้อกฎหมาย แต่เมื่อมี 2 คนที่เห็นแตกต่างก็ต้องออกมาชี้แจงกับสังคม นอกจากนี้ยังต้องชี้แจงด้วยว่าเหตุใดเมื่อเห็นว่าคดีขาดอายุความแล้วจึงให้มีการไต่สวนพยานและเรียกเอกสารไปดูเป็นแสนๆแผ่น เรื่องนี้ต้องชี้แจงให้สังคมหายความเคลือบแคลงใจ” นายประสารกล่าว
นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีต ส.ว.จังหวัดตาก ให้ความเห็นว่า นายทะเบียนอาจมีความเห็นค้านคำวินิจฉัยของศาลได้ว่า วันที่ 17 ธ.ค. 2552 ยังไม่พบความผิดจึงได้ตั้งกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง เรื่องนี้ต้องยึดตามมติสุดท้ายของ กกต. แต่คงไปแก้อะไรไม่ได้เพราะตัดสินไปแล้ว
คดี 258 ล้านใช้มุขเดิมตัดสินไม่ได้แล้ว
“คดี 258 ล้านบาท คงใช้เหตุผลเดิมไม่ได้แล้ว คดีนี้ต้องตัดสินในเนื้อหาสาระของคดี ศาลจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน คดี 29 ล้านบาท กับคดี 258 ล้านบาท เป็นข้อเท็จจริงชุดเดียวกัน เพราะคดีทั้ง 2 เรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์เอาไปใช้มั่วกัน ซึ่งทางอัยการแถลงสรุปได้ชัดเจนมากว่ามีการรายงานเรื่องการใช้จ่ายเงินเป็นเท็จ ไม่ตรงกับความจริงและไม่ได้ไปทำตามที่ กกต. อนุมัติให้ไปทำ เพราะเรื่องพรรคประชาธิปัตย์เอาไปอ้างว่าทำตามที่ กกต. อนุมติให้ทำ ความจริงได้ทำเสร็จไปแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้น ประเด็นเรื่องคดี 258 ล้านบาท คิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ดิ้นอย่างไรก็ลำบาก เพราะถึงอย่างไรศาลได้พิจารณาคดีนี้แน่ๆว่าผิดหรือไม่ผิด เพียงแต่เงื่อนไขเวลาในการพิจารณาของศาลอาจจะช้าบ้าง” นายพนัสกล่าว
เพื่อไทยหาช่องฟ้อง 6 ตุลาการ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงหลังการประชุมแกนนำพรรคว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาต่อสู้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
“แม้ผลของคำตัดสินจะถือว่าสิ้นสุดทางกฎหมาย แต่ไม่ได้สิ้นสุดในหัวใจของคนที่รักความยุติธรรม พรรคต้องขอร้องว่าให้คนที่ไม่พอใจแสดงออกอย่างสงบ” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า วันที่ 1 ธ.ค. ทีมกฎหมายของพรรคจะหารือกันว่าจะยืนฟ้องศาลรัฐธรรมนูญในคดีเงิน 29 ล้านบาทได้หรือไม่ และหารือถึงคดียุบพรรคกรณีเงิน 258 ล้านบาทด้วย
อาจถึงขั้นยื่นถอดถอน
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ กล่าวว่า ตามกระบวนการยุติธรรมแล้วเมื่อศาลจะไม่รับฟ้องคดีก็ไม่ควรจะต้องเปิดไต่สวนคดีโดยใช้เวลานานหลายเดือน ถือว่าเรื่องนี้ไม่ปรกติ ซึ่งพรรคจะได้หารือข้อกฎหมายเพื่อดำเนินการยื่นถอดถอนตุลาการ 6 คน ที่เป็นองค์คณะพิจารณาคดีต่อไป
ที่โรงแรมเรดิสัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้ความเห็นว่า การตัดสินยุบหรือไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เรื่องสำคัญคือความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญยังมีอยู่หรือไม่ การตัดสินเรื่องข้อกฎหมายที่เป็นเงื่อนเวลาทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำไปผิดหรือถูก เพราะไม่ได้มีการวินิจฉัยประเด็นนี้
แย้งความเห็นนายทะเบียนพรรคการเมือง
นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า กรณีที่วินิจฉัยว่าการยื่นฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะยื่นฟ้องหลังจากความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเกิน 15 วันนั้น ในอดีตเคยมีกรณีที่เหมือนกันคือ กกต. ในฐานะผู้ร้องให้ยุบพรรคการเมืองพรรคหนึ่งได้ระบุว่า วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองคือวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในขณะนั้นผู้ร้องคือนายทะเบียนพรรคการเมืองก็คือนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. คนเดียวกับที่ร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่าวันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนคือวันที่ 17 ธ.ค. 2552 แต่ข้อเท็จจริงคือในช่วงนั้น กกต. ยังไม่มีมติให้ยื่นคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์และยังถกเถียงกันอยู่ ขณะที่ตัวนายอภิชาตเองมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง การนับจากวันที่ 17 ธ.ค. 2552 จึงไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือต้องนับจากวันที่ 21 เม.ย. 2553 ที่ กกต. ทั้งคณะเห็นชอบให้ฟ้องตามมาตรา 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง สรุปคือการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยที่เคยยุบพรรคการเมืองอื่นๆมาแล้ว
“ผลของคดีนี้จะทำให้คนจำนวนมากเลิกเชื่อถือระบบที่มีอยู่ และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ แต่ส่วนตัวไม่อยากให้เกิด อยากให้ประชาชนศึกษาคำวินิจฉัยและวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและทำทุกอย่างโดยสันติวิธีเพื่อตามหาความยุติธรรม”
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น