--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ใกล้เลือกตั้งแล้วใครขอก็จะให้

สำนัก(ข่าว)พระพยอม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย พระพยอม กัลยาโณ

กระแสการขอปรับขึ้นเงินเดือนกำลังเป็นที่นิยม พอหน่วยงานนี้เห็นหน่วยงานนั้นขอได้ก็ขอบ้าง สรุปว่าขอขึ้นกันเกือบทั้งหมด หากจะปรับขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งแล้วใครขอก็จะให้

ในที่สุดก็ได้เห็นปรากฏการณ์ “ขี้ขอ” เกิดขึ้นตามมามากมายหลังคณะกรรมการค่าจ้างกลางอนุมัติให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ขณะที่ ส.ส.-ส.ว. ก็ขอปรับขึ้นเงินเดือนด้วยเช่นกัน ตามด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชง ครม. ขอให้กับ อบต. ทั่วประเทศ (ยังแป้ก) กลุ่มแรงงานรัฐวิสาหกิจก็ขอด้วย ส.ก.-ส.ข. กลัวตกขบวนรีบขอ อ้างว่า 17 ปีแล้วไม่ได้ขยับ ส่วนข้าราชการลอยตัวรัฐบาลปรับให้ก่อนแล้ว

มีคำกลอนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “อยากได้ดีต้องทำดีอย่ารีรอ มัวแต่ขอรอแต่ดีไม่ดีเลย” หากทุกฝ่ายขอกันหมดและได้ตามที่ขอผลกระทบก็จะอยู่ที่ชาวบ้าน เพราะแทบจะเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เมื่อปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ปรับเงินเดือนข้าราชการ ข้าวของก็มักจะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย และการปรับขึ้นก็เป็นเรื่องประหลาดมากๆ อาตมาเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้วหลายปีแต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ คือคำว่าเหมือนกันหมด เช่น การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการก็ปรับให้เหมือนกันหมด เป็นระนาบเดียวกันหมด ด้วยเหตุผลคำว่า “คนเหมือนกัน”

คำว่าคนเหมือนกันอาตมาขอเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า พระราชาเมืองหนึ่งทรงเสด็จทางชลมารคเพื่อไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ภายในเรือมีมหาดเล็กนั่งเคียงข้างเป็นที่ปรึกษา ฝีพายคนหนึ่งที่มีหน้าที่พายเรืออย่างเดียวก็นึกอิจฉามหาดเล็กที่นั่งเฉยๆ ไม่ต้องมาพายเรือเหมือนตน ซ้ำบางช่วงยังนั่งหลับอีกต่างหาก จึงเอ่ยวาจาเสียดสีว่า “คนเหมือนกันนี่หว่า” พระราชาได้ยินจึงรู้ว่าฝีพายกำลังอิจฉามหาดเล็ก พอถึงท่าน้ำเสด็จขึ้นฝั่งแล้วก็ไล่ให้มหาดเล็กขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าพระราชาได้ยินเสียงลูกหมาร้องจึงเรียกให้ฝีพายขึ้นมาช่วยหาลูกหมา ฝีพายจึงก้มดูใต้แคร่แล้วรีบลุกขึ้นมากราบทูลตอบกลับไปว่า “หมาออกลูกพระเจ้าข้า” พระราชาก็ถามกลับไปอีกว่า “มีกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับ “มี 4 ตัวพระเจ้าข้า” พระราชาถามอีก “แล้วตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับอีกและตอบกลับมาว่า “ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว พระเจ้าข้า” เรียกว่าฝีพายต้องก้มอยู่หลายครั้งตามคำสั่งของพระราชา

พระราชาจึงบอกให้ฝีพายนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกมหาดเล็กมาหา พร้อมกับบอกให้ก้มไปดูว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น สิ้นคำสั่งพระราชามหาดเล็กจึงก้มลงไปสักอึดใจหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาทูลให้ทราบว่า ใต้แคร่นั้นมีลูกหมาที่พึ่งคลอดอยู่ 4 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว มีสีนั้นสีนี้ เรียกว่ารายงานให้พระราชาทรงทราบในรายละเอียดที่เห็นจากการก้มเพียงครั้งเดียว พระราชาจึงพูดขึ้นว่า “คนเหมือนกัน” แล้วมองหน้าถามฝีพายกลับไปว่า “คิดว่าคนเหมือนกันหรือไม่”

นิทานเรื่องนี้สะท้อนว่าคนเราอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นผลตอบแทนหรือค่าตอบแทนในการทำงานก็ควรไม่เหมือนกันด้วย เพราะคนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญา ความสามารถมีไม่เท่ากัน หากนายจ้างจะขึ้นเงินเดือนให้ก็ต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคน ดูที่ความขยัน ดูที่ความขี้เกียจของแต่ละคนในการพิจารณาขึ้นเงินเดือน

เพราะฉะนั้นการขึ้นเงินเดือนไม่ว่าจะตำแหน่งอะไร ทำงานอะไร อย่างไรก็ไม่สมควรขึ้นให้เท่ากัน คนงานที่วัดสวนแก้วบางคนให้ 50 บาท ยังไม่คุ้มเลย เพราะอู้ก็เก่ง หนีงานก็ที่หนึ่ง แล้วอย่างนี้จะให้เท่ากันได้อย่างไร ส.ส.-ส.ว. ก็ไม่ต่างกัน เวลาประชุมทำงานเพื่อบ้านเมืองก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง บางคนไม่เคยมาเลยก็มี แล้วจะให้ขึ้นเท่ากันได้อย่างไร เป็นเรื่องสมควรหรือไม่

ถึงเวลาหรือยังที่การปรับขึ้นเงินเดือนในแต่ละครั้งควรให้โอกาสภาษีของประชาชนบ้าง ถ้าเป็นแรงงานภาคเอกชนก็ควรให้โอกาสเจ้าของกิจการบ้าง อาตมากล่าวอย่างนี้เพียงแค่ต้องการเตือนนายทุนทั้งหลายว่าถ้าแรงงานคนไหนทำงานให้คุณด้วยความทุ่มเท ทำให้บริษัท ห้างร้านของคุณก้าวหน้า ก็ควรให้โอกาสเขาด้วยเช่นกัน เขาจะได้ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าเหนื่อยมาตั้งเยอะแต่ได้แค่นี้

ฉะนั้นแรงงานหรือนักการเมืองควรนำคำว่าดีมาคิดบ้าง เพราะถ้าดีไม่พอก็ไม่อยากจะขึ้นให้ แต่ถ้าดีพอก็ขึ้นให้แน่นอน จึงควรนำเรื่องเหล่านี้มาพิจารณากันบ้าง ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐหรือเอกชน ไม่ใช่ใครขอมาก็ให้หมด มันจะพังกันไปทั้งประเทศ อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งใครขออะไรก็ให้

เจริญพร

**********************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น