--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เสียงสะท้อนชาวระยอง PTTGC ปิดข้อมูล !!??


น้ำมันรั่ว,คราบน้ำมัน,เกาะเสม็ด,พีทีทีจีซี,ปตท.

แม้จะมีการเก็บคราบน้ำมันดิบที่อ่าวพร้าวได้หมด ใน 1-2 สัปดาห์ แต่ผลกระทบต่ออาชีพประมง กลุ่มชาวประมงเรือเล็กพื้นบ้าน จะกระทบไปอีกเป็นปี

คราบน้ำมันดิบสีดำ บริเวณหาดทรายจำนวนมาก ค่อยๆ ถูกเก็บกู้ขึ้นมา หลังสถานการณ์ท่อขนถ่ายน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว ของ บริษัท ปตท. โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี รั่วกลางทะเลเมื่อเช้าของวันเสาร์ที่ 27 ก.ค. ส่งผลให้น้ำมันดิบไหลทะลักออกสู่ทะเลประมาณ 50 - 70 ตัน แพร่กระจายบนผิวน้ำเป็นบริเวณกว้าง แม้ว่าตลอด 6 วันที่ผ่านมา ปตท.จะระดมกำลังเจ้าหน้าที่จากไออาร์พีซี และได้รับความช่วยเหลือจากทหารเรือ นำพลทหารเรือกว่า 200 ราย มาช่วยเก็บกู้คราบน้ำมันดิบที่ลอยเข้ามายังอ่าวพร้าว

ทว่าเสียงสะท้อนจากคนระยอง โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ยังกังขาและต้องการคำตอบจากผู้บริหารพีทีทีจีซี ว่าเหตุใดการออกมาให้ข่าวในช่วงแรกหลังเกิดเหตุ จึงออกมาระบุว่าน้ำมันดิบที่รั่วออกมามีจำนวนไม่มาก และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

"ช่วงแรกหลังเกิดเหตุท่อน้ำมันรั่ว สื่อหลายสำนักโทรเข้ามาสอบถามสถานการณ์จำนวนมาก เพราะหากน้ำมันดิบลอยเข้ามาสู่เกาะเสม็ด ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือธุรกิจท่องเที่ยว ผมจึงตอบสื่อไปว่ามันรั่วไม่เยอะ เพราะทาง ปตท.เขาบอกว่าไม่เยอะ สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ที่ไหนได้เพียงชั่วข้ามคืน คราบน้ำมันจำนวนมากลอยเข้ามายังอ่าวพร้าว ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเสม็ด กระทบผู้ประกอบและธุรกิจท่องเที่ยวอย่างหนัก" นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง ลำดับเหตุการณ์ท่อน้ำมันดิบรั่วกลางทะเล ระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนจังหวัดระยอง(กกร.)

"เป็นที่ชัดเจนว่าเกิดความเสียหายค่อนข้างแรง จริงๆ แล้วเราอยากได้ความจริง แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้ แต่ว่าตั้งแต่เกิดเหตุทำไมผู้บริหาร ปตท. ไม่ออกมาแจ้งให้กับผู้ประกอบการรู้เรื่องก่อน ให้ได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นก่อน เพื่อที่จะได้หาลู่ทาง หาทางหนีทีไล่ รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ที่สำคัญคือตัวผมเองจะได้ตอบคำถามสื่อได้อย่างถูกต้อง"

นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง ประเมินว่า ผลจากคราบน้ำมันดิบลอยมาอ่าวพร้าว แม้จะเป็นเพียงแค่พื้นที่หนึ่ง เพียง 6% ของเกาะเสม็ดทั้งหมด แต่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวถือว่าได้รับผลกระทบหนักมาก เพราะขณะนี้ภาพที่แพร่กระจายออกไป ดูเหมือนว่าเกาะเสม็ดได้รับความเสียหายทั้งเกาะ การท่องเที่ยวพังหมด จากเดิมที่ทางสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว ประเมินไว้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้ ของจังหวัดระยองน่าจะสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท แต่ขณะนี้ยอดจองห้องพักชะงัก แถมนักท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริปก็ไม่เดินทางเข้ามา ดังนั้นรายได้จึงตกฮวบ ซึ่งผลกระทบในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ทที่พัก เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึง ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวด้วย เรียกได้ว่ากระเทือนไปทั้งระบบ

ขณะที่ นางอนุชิดา ชินศิรประภา ประธานหอการค้าจังหวัดระยอง บอกว่า หลังผลกระทบกับภาคธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยว เริ่มเห็นภาพชัดเจน ทางหอการค้าจังหวัดระยองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงอยากเรียกร้องให้ทางผู้บริหาร ปตท.ให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง จากนี้เราอยากทราบระยะเวลาที่แน่นอนในการเก็บคราบน้ำมัน รวมถึงระยะเวลาในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งตรงนี้เชื่อมโยงไปถึงบทบาทของทางผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ดังนั้นผลการประชุมคณะกรรมการรวมภาคเอกชน จะถูกรวบรวมและจัดทำเป็นหนังสือส่งถึงยังผู้ว่าราชการจังหวัดระยองโดยเร็วที่สุด

"ข้อเสนอเฉพาะหน้าเพื่อกู้คืนภาพลักษณ์เกาะเสม็ด เราต้องการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นผู้ประสานไปยังผู้บริหาร ปตท. สอบถามเกี่ยวกับระยะเวลาในการเก็บกู้คราบน้ำมันที่บริเวณอ่าวพร้าว ว่าจะต้องใช้เวลาทั้งหมดนานขนาดไหน และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการอีกกว่า 90% ที่ไม่โดนคราบน้ำมันน้อยที่สุด"

ทั้งนี้ การปิดรีสอร์ทที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวพร้าวอย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งมีอยู่ 4 แห่ง ดำเนินการโดยผู้ประกอบการ 2 ราย และทำการประชาสัมพันธ์ออกไปว่ารีสอร์ทที่เหลือยังพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากผลกระทบไม่ได้ครอบคลุมวงกว้างอย่างที่หลายคนตกใจ แต่ทาง ปตท.ก็ต้องชัดเจนในเรื่องของการชดเชยผู้ประกอบการด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเป็นคนประสานงาน

ด้าน นายจัตุรัส เอี่ยมวรนิรันดร์ นายกสมาคมประมงเรือเล็กพื้นบ้านระยอง บอกว่า มั่นใจว่าหลังเกิดเหตุท่อน้ำมันดิบรั่วกลางทะเล ทาง ปตท.จงใจบิดเบือนข้อมูล เพราะกระแสข่าวที่ออกมา มีการระบุว่าปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วออกมา มีเพียงแค่ 5 หมื่นลิตร แต่ก่อนหน้านั้นได้รับรายงานจากสมาชิกชาวประมงเรือเล็ก ที่ออกเดินเรือจับสัตว์น้ำใกล้กับบริเวณที่เกิดเหตุ ว่าพบคราบน้ำมันจำนวนมากลอยอยู่กลางทะเล และประเมินกันว่าปริมาณน้ำมันที่ลอยอยู่นั้น น่าจะมากถึง 1 แสนลิตร โดยระยะเวลาที่สมาชิกชาวประมง โทรมาแจ้งเหตุประมาณ 06.00 น. ของเช้าวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่ทาง ปตท.กลับเพิ่งออกมาให้ข้อมูลตอน 06.20 น. ช้ากว่าที่เพื่อนสมาชิกพบเห็นถึง 20 นาที

เขาบอกว่า จริงๆ แล้วเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันรั่วกลางทะเล บริเวณจังหวัดระยอง เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อประมาณ 7-8 ปี ที่ผ่านมา แต่ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น ปริมาณน้ำมันที่รั่วออกมาน้อยกว่าครั้งนี้มาก และก็มีการใช้สารเคมีโปรย เพื่อให้น้ำมันเกาะตัวกันจมลงก้นทะเลเช่นกัน ซึ่งหากถามว่ากระทบกับชาวประมงเรือเล็กพื้นบ้านหรือไม่ ตอบได้เลยว่ากระทบการจับสัตว์น้ำ ช่วงนั้นหากปู ปลาหมึก และปลา ได้น้อยมาก การชดเชยเยียวยา ให้ค่าชดเชยแบบเป็นกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ กลุ่มหนึ่งมีประมาณ 10 กว่าคน ค่าชดเชยที่ได้รับกลุ่มละหมื่นกว่าบาท เฉลี่ยแล้วแบ่งกันได้คนละ 1,000 บาท เท่านั้น ถือว่าน้อยมาก

"แม้จะมีการเก็บคราบน้ำมันดิบที่อ่าวพร้าวได้หมด ในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ แต่ผลกระทบต่ออาชีพประมง กลุ่มชาวประมงเรือเล็กพื้นบ้าน จะกระทบไปอีกเป็นปี เพราะการใช้สารเคมีโปรยให้คราบน้ำมันจมลง แน่นอนว่าจะไปทับแนวปะการัง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ทั้ง ปู กั้ง หอย กุ้ง และปลาประจำถิ่นตายหมด ขณะที่ปลาอื่นๆ ก็จะไม่ว่ายเข้ามาในบริเวณที่คราบน้ำมันหลุดลอยไป การออกเดินเรือแต่ละครั้งจึงต้องออกไกลกว่าเดิม ค่าน้ำมันก็สูงขึ้นตามไปด้วย แต่จับสัตว์ทะเลมาขายได้น้อยลง"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น