มีคนจำนวนมากตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าอยากไต่เต้าขึ้นสู่ความเป็นใหญ่ ความมีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นใหญ่ในบริษัท ในวงการสาขาอาชีพ หรือแม้แต่เป็นใหญ่ในบ้านในเมือง มีอำนาจล้นมือ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจในที่นั้นๆ โดยลืมสัจธรรมที่ว่า สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง คือมีความไม่เที่ยงเป็นที่ตั้ง แปรเปลี่ยนไม่แน่นอน ทุกขัง ความแปรเปลี่ยน ไม่อาจคงอยู่ ทำให้เกิดความรู้สึกที่รับได้ยาก เป็นทุกข์ และอนัตตา ก็คือความไม่มีตัวตน คือสุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไร
เมื่อไม่อาจเข้าใจในสัจธรรมดังกล่าว ผู้คนจึงหลงติดอยู่กับอำนาจ หลงติดอยู่กับสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าเป็น "ความพิเศษ" หรือ "สิทธิพิเศษ" ที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งดี ดังนั้น ไม่ว่าจะเพื่อให้ได้มา หรือการรักษาอำนาจที่ได้มาไว้ จึงยอมทำทุกวิถีทาง โดยไม่ได้สนใจว่า สิ่งที่กระทำลงไปนั้นถูกต้องต่อศีลธรรมหรือไม่ หรือสิ่งที่กระทำลงไป ได้สร้างความเดือดร้อน ความลำบาก หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตผู้ใด ด้วยหวังเพียงอยากจะได้เสพสุข หรือรักษาการเสพสุขของตนเองในอำนาจหรือความมั่งคั่งเหล่านั้นเอาไว้
หากใครที่ติดตามข่าวในประเทศจีน จะพบว่าเมื่อปีที่แล้ว มีข่าวที่ฮือฮามากข่าวหนึ่ง ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในประเทศจีน ก็คือการปลดเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ที่มีชื่อว่า "ป๋อซีไหล" จากนั้นก็ทำการปลดจากทุกตำแหน่งทางการเมือง และไม่นานก็ถูกส่งเข้าสู่การดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม จากนั้นเราก็เห็นว่าป๋อซีไหล รวมไปถึงข่าวของเขา ได้หายไปจากหน้าของสื่อทุกประเภทเป็นเวลากว่า 1 ปี
จนกระทั่งล่าสุด ได้มีการเปิดเผยว่า ขณะนี้ทางอัยการได้เตรียมยื่นฟ้องป๋อซีไหลใน 3 คดีใหญ่ ซึ่งคดีนี้จะถูกพิพากษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ศาลประชาชนชั้นกลางเมืองงจี้หนาน มณฑลซานตง ซึ่งมีการคาดเดากันว่า ศาลน่าจะทำการพิพากษาราวเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการเปิดประชุมสภาประชาชนทั่วประเทศประจำปี
การที่คดีนี้เป็นคดีใหญ่ และเป็นที่จับตาไม่ว่าจะเป็นประชาชนชาวจีน หรือแม้แต่ในระดับโลกก็เพราะว่า "ป๋อซีไหล" เป็นบุคคลที่ "ไม่ธรรมดา" และเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลผู้นี้ จึงอยากจะเท้าความถึงความเป็นมาให้ได้รู้จักกันอีกครั้งก่อน เพื่อจะได้เห็นถึงสภาพของคดี และความสำคัญมากยิ่งขึ้น
ป๋อซีไหลเป็นลูกชายคนที่ 2 ของป๋ออีปอ หนึ่งในผู้นำอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยหัวหน้ากลุ่มนี้ถูกกวาดล้างในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ในข้อหาสนับสนุนการค้าขายกับตัวตะวันตก ป๋อและครอบครัวถูกจำคุก แม่ของเขาฆ่าตัวตายในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่สุดท้ายพ่อของเขากลับมาอีอำนาจอีกครั้ง โดยได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหลังยุคของเติ้งเสี่ยวผิง
ป๋อซีไหลได้เรียนจนจบการศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และได้เข้าทำงานในหน่วยงานที่เป็นคลังสมองของรัฐบาล เขาเริ่มก้าวเข้าสู่สายอาชีพเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา มีความสามารถที่เข้ามาอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์
ชีวิตของป๋อไต่เต้ามาเรื่อย ๆ เคยเป็นผู้ว่าฯเมืองต้าเหลียน และทำให้เมืองต้าเหลียนเจริญขึ้นจนเป็นที่อิจฉาของชาวเมืองอื่น ๆ จนอยากให้เขามาปกครองเมืองของตัวเองบ้าง ต่อมาก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อยู่หลายปี จนกระทั่งล่าสุดที่ได้ถูกส่งตัวมา โดยถือเป็นความหวังในการพัฒนาหัวเมืองตะวันตกอย่างฉงชิ่ง
เมืองฉงชิ่งถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งทางการเมืองสุดท้ายของเขา เพราะเขาถูกปลดและจับกุมตัวในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ควบตำแหน่งคณะกรรมการประจำกรมการเมือง และคณะกรรมการกรมการเมือง เรียกว่าจุดสูงสุดของเขาก็คือจุดจบของเขาด้วยเช่นกัน
การมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่งถือว่าเป็นตัววัดความสามารถของป๋อได้เป็นอย่างดี ผลงานของเขาในช่วงก่อนถูกจับกุม ถึงขั้นได้รับการขนานนามจากทั่วประเทศ และหลาย ๆ ประเทศว่าเป็น "ฉงชิ่งโมเดล" ซึ่งผู้เขียนยังจำได้ว่า ก่อนที่เขาจะถูกจับนั้น ตอนที่ไปเยือนเมืองฉงชิ่ง ก็เห็นได้ถึงความเจริญก้าวหน้าอย่างผิดหูผิดตา และคำชื่นชมจากชาวเมืองที่นั่นไม่ขาดปาก
เริ่มจากหลังดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ซึ่งถูกยกเป็นมหานครเทียบเท่าปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ได้ไม่นาน ป๋อซีไหลได้ทำการปราบปรามอาชญากรรม และกลุ่มมาเฟียขนานใหญ่ และถึงขั้นรื้อระบบโครงสร้างของกรมตำรวจฉงชิ่งแบบนับหนึ่ง เพราะตำรวจในเมืองนี่แหละที่ถือเป็นตัวปัญหาในกระบวนการยุติธรรมปฐมภูมิ รวมถึงยังมีตำรวจระดับบิ๊กหลายคนที่เป็น "มาเฟียŽขาใหญ่ตัวจริงในเมือง ทำให้ฉงชิ่งที่เคยเป็นเมืองอาชญากรรม และเมืองซ่องสุมมาเฟียอันดับต้น ๆ ของโลกนั้นมีความสงบสุขขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
นอกจากนั้นป๋อซีไหลยังได้เปิดมีนโยบายพัฒนาที่เรียกว่า "5 พัฒนาแห่งฉงชิ่ง" ได้แก่การพัฒนา "ระบบคมนาคม" ด้วยการซ่อมแซมถนนขนานใหญ่ และสร้างทางด่วนเพิ่มให้เป็น 3,000 กิโลเมตรในเมือง "สร้างเมืองสีเขียว" ที่กำหนดให้มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวร้อยละ 38 ของพื้นที่ใน 5 ปี และตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 45 ในลำดับต่อไป จนคนที่ผ่านไปมาได้เห็นถึงการปลูกต้นไม้ควบคู่กับการก่อสร้างเต็มไปหมด
นโยบายอื่น ๆ อย่างเช่นเมืองน่าอยู่ ด้วยการปรับอัตราของสังคมเมืองกับสังคมชนบท นโยบายเมืองสุขภาพดี ที่รณรงค์ให้ออกกำลังกาย เสริมสร้างด้านสาธารณสุข และยกระดับอายุเฉลี่ยของประชาชนในเมืองจาก 71 เป็น 77 ปี และนโยบายเมืองปลอดภัยที่นอกจากปราบปรามอาชญากรรมแล้ว ยังมีการติดกล้องวงจรปิดเพื่อระวังภัย การลงโทษผู้ทรงอิทธิพลอย่างจริงจัง ฯลฯ และด้วยนโยบายเหล่านี้ ทำให้เขาถูกกล่าวขวัญและได้รับการยอมรับอย่างมากในเวลานั้น
นี่คือความยิ่งใหญ่ของป๋อซีไหลที่เรียกว่าอยู่ในวงการการเมืองจีนมาอย่างช้านาน แต่แล้วจุดจบหรือชะตากรรมในปัจจุบันของเขาที่สะท้อนความไม่จีรังแห่งอำนาจนั้นจะเป็นเป็นอย่างไร มาติดตามกันต่อในฉบับหน้านะครับ
ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อไม่อาจเข้าใจในสัจธรรมดังกล่าว ผู้คนจึงหลงติดอยู่กับอำนาจ หลงติดอยู่กับสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าเป็น "ความพิเศษ" หรือ "สิทธิพิเศษ" ที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งดี ดังนั้น ไม่ว่าจะเพื่อให้ได้มา หรือการรักษาอำนาจที่ได้มาไว้ จึงยอมทำทุกวิถีทาง โดยไม่ได้สนใจว่า สิ่งที่กระทำลงไปนั้นถูกต้องต่อศีลธรรมหรือไม่ หรือสิ่งที่กระทำลงไป ได้สร้างความเดือดร้อน ความลำบาก หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตผู้ใด ด้วยหวังเพียงอยากจะได้เสพสุข หรือรักษาการเสพสุขของตนเองในอำนาจหรือความมั่งคั่งเหล่านั้นเอาไว้
หากใครที่ติดตามข่าวในประเทศจีน จะพบว่าเมื่อปีที่แล้ว มีข่าวที่ฮือฮามากข่าวหนึ่ง ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในประเทศจีน ก็คือการปลดเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ที่มีชื่อว่า "ป๋อซีไหล" จากนั้นก็ทำการปลดจากทุกตำแหน่งทางการเมือง และไม่นานก็ถูกส่งเข้าสู่การดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม จากนั้นเราก็เห็นว่าป๋อซีไหล รวมไปถึงข่าวของเขา ได้หายไปจากหน้าของสื่อทุกประเภทเป็นเวลากว่า 1 ปี
จนกระทั่งล่าสุด ได้มีการเปิดเผยว่า ขณะนี้ทางอัยการได้เตรียมยื่นฟ้องป๋อซีไหลใน 3 คดีใหญ่ ซึ่งคดีนี้จะถูกพิพากษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ศาลประชาชนชั้นกลางเมืองงจี้หนาน มณฑลซานตง ซึ่งมีการคาดเดากันว่า ศาลน่าจะทำการพิพากษาราวเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการเปิดประชุมสภาประชาชนทั่วประเทศประจำปี
การที่คดีนี้เป็นคดีใหญ่ และเป็นที่จับตาไม่ว่าจะเป็นประชาชนชาวจีน หรือแม้แต่ในระดับโลกก็เพราะว่า "ป๋อซีไหล" เป็นบุคคลที่ "ไม่ธรรมดา" และเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลผู้นี้ จึงอยากจะเท้าความถึงความเป็นมาให้ได้รู้จักกันอีกครั้งก่อน เพื่อจะได้เห็นถึงสภาพของคดี และความสำคัญมากยิ่งขึ้น
ป๋อซีไหลเป็นลูกชายคนที่ 2 ของป๋ออีปอ หนึ่งในผู้นำอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยหัวหน้ากลุ่มนี้ถูกกวาดล้างในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ในข้อหาสนับสนุนการค้าขายกับตัวตะวันตก ป๋อและครอบครัวถูกจำคุก แม่ของเขาฆ่าตัวตายในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่สุดท้ายพ่อของเขากลับมาอีอำนาจอีกครั้ง โดยได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหลังยุคของเติ้งเสี่ยวผิง
ป๋อซีไหลได้เรียนจนจบการศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และได้เข้าทำงานในหน่วยงานที่เป็นคลังสมองของรัฐบาล เขาเริ่มก้าวเข้าสู่สายอาชีพเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา มีความสามารถที่เข้ามาอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์
ชีวิตของป๋อไต่เต้ามาเรื่อย ๆ เคยเป็นผู้ว่าฯเมืองต้าเหลียน และทำให้เมืองต้าเหลียนเจริญขึ้นจนเป็นที่อิจฉาของชาวเมืองอื่น ๆ จนอยากให้เขามาปกครองเมืองของตัวเองบ้าง ต่อมาก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อยู่หลายปี จนกระทั่งล่าสุดที่ได้ถูกส่งตัวมา โดยถือเป็นความหวังในการพัฒนาหัวเมืองตะวันตกอย่างฉงชิ่ง
เมืองฉงชิ่งถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งทางการเมืองสุดท้ายของเขา เพราะเขาถูกปลดและจับกุมตัวในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ควบตำแหน่งคณะกรรมการประจำกรมการเมือง และคณะกรรมการกรมการเมือง เรียกว่าจุดสูงสุดของเขาก็คือจุดจบของเขาด้วยเช่นกัน
การมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่งถือว่าเป็นตัววัดความสามารถของป๋อได้เป็นอย่างดี ผลงานของเขาในช่วงก่อนถูกจับกุม ถึงขั้นได้รับการขนานนามจากทั่วประเทศ และหลาย ๆ ประเทศว่าเป็น "ฉงชิ่งโมเดล" ซึ่งผู้เขียนยังจำได้ว่า ก่อนที่เขาจะถูกจับนั้น ตอนที่ไปเยือนเมืองฉงชิ่ง ก็เห็นได้ถึงความเจริญก้าวหน้าอย่างผิดหูผิดตา และคำชื่นชมจากชาวเมืองที่นั่นไม่ขาดปาก
เริ่มจากหลังดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ซึ่งถูกยกเป็นมหานครเทียบเท่าปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ได้ไม่นาน ป๋อซีไหลได้ทำการปราบปรามอาชญากรรม และกลุ่มมาเฟียขนานใหญ่ และถึงขั้นรื้อระบบโครงสร้างของกรมตำรวจฉงชิ่งแบบนับหนึ่ง เพราะตำรวจในเมืองนี่แหละที่ถือเป็นตัวปัญหาในกระบวนการยุติธรรมปฐมภูมิ รวมถึงยังมีตำรวจระดับบิ๊กหลายคนที่เป็น "มาเฟียŽขาใหญ่ตัวจริงในเมือง ทำให้ฉงชิ่งที่เคยเป็นเมืองอาชญากรรม และเมืองซ่องสุมมาเฟียอันดับต้น ๆ ของโลกนั้นมีความสงบสุขขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
นอกจากนั้นป๋อซีไหลยังได้เปิดมีนโยบายพัฒนาที่เรียกว่า "5 พัฒนาแห่งฉงชิ่ง" ได้แก่การพัฒนา "ระบบคมนาคม" ด้วยการซ่อมแซมถนนขนานใหญ่ และสร้างทางด่วนเพิ่มให้เป็น 3,000 กิโลเมตรในเมือง "สร้างเมืองสีเขียว" ที่กำหนดให้มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวร้อยละ 38 ของพื้นที่ใน 5 ปี และตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 45 ในลำดับต่อไป จนคนที่ผ่านไปมาได้เห็นถึงการปลูกต้นไม้ควบคู่กับการก่อสร้างเต็มไปหมด
นโยบายอื่น ๆ อย่างเช่นเมืองน่าอยู่ ด้วยการปรับอัตราของสังคมเมืองกับสังคมชนบท นโยบายเมืองสุขภาพดี ที่รณรงค์ให้ออกกำลังกาย เสริมสร้างด้านสาธารณสุข และยกระดับอายุเฉลี่ยของประชาชนในเมืองจาก 71 เป็น 77 ปี และนโยบายเมืองปลอดภัยที่นอกจากปราบปรามอาชญากรรมแล้ว ยังมีการติดกล้องวงจรปิดเพื่อระวังภัย การลงโทษผู้ทรงอิทธิพลอย่างจริงจัง ฯลฯ และด้วยนโยบายเหล่านี้ ทำให้เขาถูกกล่าวขวัญและได้รับการยอมรับอย่างมากในเวลานั้น
นี่คือความยิ่งใหญ่ของป๋อซีไหลที่เรียกว่าอยู่ในวงการการเมืองจีนมาอย่างช้านาน แต่แล้วจุดจบหรือชะตากรรมในปัจจุบันของเขาที่สะท้อนความไม่จีรังแห่งอำนาจนั้นจะเป็นเป็นอย่างไร มาติดตามกันต่อในฉบับหน้านะครับ
ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น