--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเมืองไม่ธรรมดา ทางเลือกเพื่อเดินหน้า !!??

การที่นักการเมืองรุ่นใหญ่อย่างนายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับสีเขียว พ.ศ.2540  อดีตประธานรัฐสภาสมัยพรรคไทยรักไทย  ออกมาแสดงบทบาทยื่นหนังสือถึงประธานรัฐสภาคนปัจจุบันให้ถอนญัตติร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และร่างพ.ร.บ.บัญญัติปรองดอง

  ในจังหวะที่ฝ่ายรัฐบาลกำลังเร่งเครื่องผลักดันเต็มสูบ  ส่วนฝ่ายค้านก็ตั้งกำแพงต้านอย่างเต็มที่  คือเพียงภาพของคนแก่ว่างงานที่อยากร่วมวงสนุก   หรือเรื่องที่ผู้ใหญ่ที่หวังดีต่อประเทศชาติออกมาส่งสัญญาณเตือนภัยที่มิอาจมองข้าม
   
ข้ออ้างของอดีตประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคไทยรักไทย  นักการเมืองรุ่นเก๋าที่ยุติบทบาทไปนานแล้ว  ที่ว่าสังคมไทยยังเป็นปกติดี  ไม่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายทั้งสองรูปแบบ  อาจจะฟังดูบางเบาในภาพรวมเพราะสังคมไทยนั้นไม่ปกติมาหลายปีแล้ว  ประกอบกับร่างกฎหมายทั้งสองฉบับก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มามากมายจนถึงจุดว่าจะเอาหรือไม่เอาแล้ว  ดังนั้นการขับเคลื่อนของนายอุทัยครั้งนี้จึงมีคำถามว่าเพราะ ได้ข้อมูลวงใน  หรือเพราะเห็นอะไรที่จะเกิด
   
เป็นเพราะเห็นรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ช่วงวันที่ 1-10 สิงหาคม และการระดมกำลังตำรวจเข้ารักษาพื้นที่สำคัญในเขตพระนคร ดุสิต ป้อมปราบฯ  โดยอ้างอิงข้อมูลของสันติบาลและหน่วยข่าวกรองที่ว่าจะมีผู้ชุมนุมประมาณ 2 หมื่นคน  ที่จะมาชุมนุมอย่างยืดเยื้อ  มีกลุ่มที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อยกระดับการชุมนุมสู่การจลาจลรุนแรงเพื่อหวังผลต่อเนื่อง
   
หรือเพราะว่าเห็นวงจรอุบาทว์ทางการเมืองกำลังย้อนกลับมาเล่นงานประเทศไทยอีกรอบ  ด้วยกระแสประชาธิปไตยข้างถนน  มีความพยามยามปลุกม็อบสร้างสถานการณ์รุนแรง  นำไปสู่การยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  นำประเทศไทยถอยหลังกลับสู่ระบอบเผด็จการอีกครั้ง  ซึ่งนักประชาธิปไตยอย่างนายอุทัยมีจุดยืนต่อต้านอำนาจเผด็จการมาโดยตลอด
   
แต่ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นก็คงเพราะนายอุทัยเห็นว่าประเทศไทยต้องมองข้ามปัญหาที่ฉุดยึดประเทศไทยเอาไว้นานแล้ว  เช่นเรื่องพาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับบ้าน  เพราะนายอุทัยก็เคยขึ้นเวทีขับไล่มาก่อน  การมองข้ามเรื่องปรองดอง  เพราะนายอุทัยเชื่อว่าร่างพ.ร.บ.ปรองดองจะทำให้เกิดความแตกแยกรุนแรง  และมองข้ามการนิรโทษกรรม  เพราะนายอุทัยเห็นว่าเป็นแค่ปัญหาของคน 200-300 คนที่ถูกคุมขังในคุกอันเนื่องจากการชุมนุม  ไม่ใช่ปัญหาของคนทั้งประเทศ
   
เมื่อเป็นเช่นนั้นประเทศไทยก็คงต้องเดินหน้าด้วยกฎหมายที่ชัดเจนเด็ดขาดทุกกรณี  ใครโกงบ้านโกงเมืองก็ต้องนำตัวกลับมาลงโทษ  ใครก่อม็อบยึดทำเนียบยึดสนามบินสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติก็ต้องลงโทษดำเนินคดี  ใครก่อม็อบเผาบ้านเผาเมืองเผาศาลากลางก็ต้องดำเนินคดี  ใครสั่งสลายม็อบขอคืนพื้นที่และสั่งฆ่าผู้ชุมนุมด้วยกระสุนจริงก็ต้องดำเนินคดี
   
นายอุทัยเป็นนักกฎหมายและคงเชื่อมั่นในกฎหมายที่เป็นมาตรฐานเดียว  แต่กับยุคตุลาการภิวัตน์ที่เราได้เห็นการใช้กฎหมายสองมาตรฐาน   นายอุทัยจะมองเห็นบ้านเมืองสงบสุขหรือไม่

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น