--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาสังคม ร้อนแรง รอการเยียวยา !!??

ร้อนแรงไม่เลิกราจริงๆ สำหรับปัญหาเศรษฐกิจไทย ที่ล่าสุด “บีบีซี” ได้นำเสนอบทความ “Thailand’s economy enters recession” โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากตัวเลขจีดีพีของไทยไม่การชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 และต้องถือเป็นเรื่องสะท้านสะเทือนถึงหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะคำว่า “เศรษฐกิจถดถอย” ไม่ใช่ปัญหาปลาซิวปลาสร้อยที่ “ใคร” จะมองข้ามไปง่ายๆ
   
โดยเฉพาะ “สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)” ที่ออกมายอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรมว่า “หากมองในทางเทคนิคแล้ว  ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) เนื่องจากจีดีพีติดลบต่อเนื่องถึง 2 ไตรมาส และการเติบโตอย่างผิดคาดของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี ก็มาจากความผิดปกติของฐานการเติบโตในช่วงปลายปี 2555 ที่สูงมาก รวมถึงยังมีปัญหาการที่พม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติชั่วคราว ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบและหยุดการผลิตไปบางส่วน”
   
แต่ดูเหมือนยังมีบางเรื่องที่น่าจะเป็นประเด็น แต่อาจจะไม่ได้รับความสนใจเหมือนเรื่องราวทางเศรษฐกิจในขณะนี้มากนัก นั่นคือ “ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทย” ที่ล่าสุด “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สศช.) หรือสภาพัฒน์” ออกมาระบุโดยอ้างอิงผลการสำรวจของ “เอแบคโพลล์” ว่า ในช่วง 29 ก.ค. - 1 ส.ค.2556 “ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทยลดลง” มาอยู่ที่ 5.62% จากช่วง  มี.ค.อยู่ที่ 6.58% และช่วงปลายปี 2555 อยู่ในระดับสูงที่สุดที่ 7.61%
   
และปัญหาสำคัญที่กระทบกระเทือนต่อความสุขของคนไทยทั้งประเทศ คงหนีไม่พ้น “ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่กำลังเริ่มมีปัญหา และส่งผลตามมาทำให้เกิดปัญหา “หนี้ครัวเรือน” นอกจากนี้ยังมีปัญหา “ความไม่สงบทางการเมือง” ที่จนปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปของเรื่องนี้ไม่ได้
   
ความเครียด ไม่ได้เกิดแค่ในผู้ใหญ่วัยทำงานเท่านั้น  เพราะปัจจุบันเด็กและเยาวชนก็เกิดปัญหาความเครียดรุมเร้าไม่แพ้กัน จากการดำเนินชีวิตภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างในทุกวันนี้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิต และที่พบมากที่สุดนอกจากปัญหา “ความเครียด” “ภาวะโรคซึมเศร้า” จนนำไปสู่ปัญหา “การฆ่าตัวตาย” ในที่สุด และปัจจุบันมีข้อมูลยืนยันชัดเจนแล้วว่า “การฆ่าตัวตายของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”  และที่น่าแปลกใจนั่นคือ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี มีการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้น เฉลี่ยปีละ 200 คน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเครียดในปัญหาการเรียนและความรัก
   
โดยข้อมูลบ่งชี้ชัดเจนว่าปัจจุบันคนไทยมี “ความเครียด”  เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จากข้อมูลปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ของกรมสุขภาพจิต ในปี 2555 พบว่า คนไทยให้ความสนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น อยู่ที่ 3.6 หมื่นราย หรือเพิ่มขึ้น 65% จากปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มอายุที่ใช้บริการมากที่สุด คือ กลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี รองลงมาคือกลุ่มอายุ 26-30 ปี ซึ่งกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่เข้ามาขอรับบริการส่วนใหญ่จะปรึกษาปัญหา “ความคาดหวังของผู้ปกครองต่อการเรียน และการไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการคบเพื่อน ไปจนถึงปัญหาของความรัก”
   
ปัญหาความน่ากังวลในสังคมยังไม่หมด เพราะปัจจุบันวัยรุ่นไทยยังมีแนวโน้มเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้นอีกด้วย โดยจากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา พบว่า กลุ่มเยาวชน อายุ 15-24 ปี มีอัตราการป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
   
และอีกปัญหาที่บั่นทอนความรู้สึกของคนในสังคม นั่นคือ “ปัญหาการท้องไม่พร้อม” ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ “การทำแท้ง” โดยจากข้อมูลสถิติสาธารณสุข ชี้ให้เห็นชัดเจนถึงอัตราการเจริญพันธุ์ของคนทั่วไปว่ามีแนวโน้มลดลงเหลือ 24.4% ต่อประชากรหญิง 1 พันคน แต่สิ่งที่น่าตกใจนั่นคือ อัตราการเจริญพันธุ์ตามหมวดอายุมารดาที่ 15-19 ปี กลับมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราแม่วัยรุ่นควรจะลดลงมากกว่าจากการขยายโอกาสทางการศึกษาที่ทำให้เด็กอยู่ในระบบนานขึ้น แต่ตัวเลขดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น คงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นแล้วว่ายังมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในระบบการศึกษาพื้นฐานไม่ครบ แม้จะมีโครงการเรียนฟรีและการขยายโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องก็ตาม
   
นอกจากปัญหา “การท้องไม่พร้อม” แล้ว ยังมีเรื่องที่น่าขบคิดต่ออีกเรื่อง มีการศึกษาของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่ร่วมกับกรมอนามัย และมีการคาดการณ์ว่าจะมีการทำแท้ง 1-2 แสนรายต่อปี โดย 1 ใน 3 หรือประมาณ 3-5 หมื่นราย เป็นวัยรุ่น ส่วนกลุ่มแม่วัยรุ่นอีก 27.1% ท้อง เพราะไม่มีทางเลือกหรือไม่มีโอกาสยุติการท้อง และปัญหา “การทำแท้งเถื่อน” ก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย และถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา โดยในปี 2554 พบว่ามีหญิงไทยที่มีอัตราการท้องเฉลี่ย 1.1 ล้านคน คลอดสำเร็จ 8 แสนคน ส่วนที่เหลือคาดว่ามีการยุติการตั้งครรภ์ หรือทำแท้ง โดยในส่วนนี้ประมาณ 30% ของวัยรุ่นที่ตั้งท้องเลือกที่จะทำแท้ง!!
   
ยอมรับว่าสังคมไทยในปัจจุบันยังเต็มไปด้วยปัญหาอาญชากรรมต่างๆ การทำแท้ง การฆ่าตัวตาย แต่ทั้งหมดไม่ใช่เครื่องสะท้อนว่า “สังคมไทยไม่น่าอยู่” เพราะหากทุกฝ่าย ทุกคนยังให้ความร่วมมือ สนใจ ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของปัญหา เชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน และสังคมไทยก็จะกลับมาเป็น “สังคมที่เป็นสุข” ได้อย่างแท้จริง.

ที่มา.ไทยโพสต์
///////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น