กิตติรัตน์-อาคม ยืนยันหนักแน่น!!! เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย มั่นใจเงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออก ลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาต่อยอดสินค้า
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในรายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน ยืนยัน ถึงภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย มั่นใจ เงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออก เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจอยู่ระหว่างการปรับสมดุล โดยปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้นมาจากการบริโภคในประเทศ หลังจากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มคุณภาพบุคลากร การพัฒนาต่อยอดสินค้า
พิธีกร : ท่านผู้ชมหลายๆ คนเป็นห่วงว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย เป็นห่วงว่าตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาลดลงอย่างต่อเนื่อง 2 ไตรมาส ขณะที่สำนักข่าว BBC ก็รายงานว่า ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว ถ้ามองกันจริงๆ ทั้งเรื่องของการส่งออก การท่องเที่ยว การบริโภค การลงทุน เครื่องยนต์แต่ละตัวเป็นอย่างไร ต้องเรียนถามท่านรองนายกฯว่า แท้จริงแล้วเนื้อเศรษฐกิจเป็นอย่างไรบ้างคะ
รองนายกฯกิตติรัตน์ : ก็ขอขยายความคำว่า เศรษฐกิจถดถอย คำว่า ถดถอย แปลว่า ไม่สามารถรักษาระดับเดิมและก็ลดลง เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงอัตราการเติบโตก็ต้องบอกว่า เป็นอัตราที่ติดลบถึงจะบอกว่าถดถอย ผมเข้าใจว่า การตีความตรงนี้ไปดูตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือว่าตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 คือหมายถึง ช่วงเวลาเดือนเม.ย.- มิ.ย.ของปี 2556 เทียบกับไตรมาสที่ 1 ช่วงเดือนม.ค.- มี.ค. ปี 2556 หรือว่า อาจจะอ้างถึงตัวเลขไตรมาสที่ 1 ของปีนี้นะครับ เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว
พิธีกร : คือเทียบไตรมาสต่อไตรมาสที่แล้ว
รองนายกฯกิตติรัตน์ : ใช่ครับ ซึ่งก็เห็นตัวเลขเป็นลบจริงนะครับ แต่สำหรับผม ผมคิดว่า ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขประกอบตัวเลขที่มีความสำคัญมากกว่า คือการเทียบกันกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าดูไตรมาสที่ 2 ก็คือช่วงเม.ย. -มิ.ย. ปี 2556 เทียบกับเม.ย.- มิ.ย. ปี 2555 แล้วดูว่ายังโตอยู่หรือเปล่า ถ้าหากว่ายังโตอยู่ แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย ความจริงการที่เราติดลบลงจากไตรมาสก่อนนั้นมันมีคำอธิบายอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องปกติทั่วๆไปนะครับ ยกตัวอย่างเช่นในไตรมาสที่ 2 มีเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นเดือนสำคัญของการหยุดพัก เป็นเทศกาลประจำปีของประเทศถ้าเทียบกับไตรมาสที่ 1 ซึ่งก็เป็นการทำงานค่อนข้างจะเต็มที่ เพราะฉะนั้นไตรมาสที่ 2 เทียบกับไตรมาสที่1 ก็จะมีลักษณะตรงนี้อยู่ แต่ว่าในปีนี้มีลักษณะพิเศษคือว่า ในเดือนเม.ย. มี 2 เรื่องสำคัญ เรื่องที่ 1. คือการที่เราหยุดรับแก๊สจากประเทศเมียนมาร์ เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ ซึ่งก็ต้องประสานให้ภาคอุตสาหกรรมชะลอการผลิตในช่วงเวลาดังกล่าวนะครับ เพื่อที่จะไม่ต้องใช้พลังงานมากจนเกินไป
เรื่องที่ 2. ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เป็นช่วงที่อัตราแลกเปลี่ยนหรือว่าค่าเงินบาทของเราแข็งค่าขึ้นที่สุด เท่าที่เคยปรากฎมาในช่วงระยะเวลาเป็นทศวรรษ ซึ่งก็เป็นอัตราที่เคยแข็งที่สุด คือ 28 บาทเศษๆ ในช่วงเดือนเม.ย. ฉะนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกใจที่ภาคส่งออก จะไม่สามารถทำงานได้ดีนัก ในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นการที่เราจะเทียบไตรมาสที่ 2 กับไตรมาสที่ 1 ก็คงจะเป็นข้อมูลแค่ประกอบ และไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเราถดถอย
พิธีกร : พอเห็นตัวเลข 2 ไตรมาสที่ลดน้อยลง ทำให้คนตกใจว่า เกิดสัญญาณถดถอยขึ้นหรือเปล่า ท่านรองนายกฯ เปรียบเทียบว่า ควรจะไปเทียบปีต่อปีมากกว่าไปเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ถ้ามองตัวเลขตรงนี้แล้ว ดูฟันเฟืองด้านเศรษฐกิจทั้งส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุน การบริโภค ทั้ง 4 เครื่องยนต์หลักเป็นอย่างไรบ้างคะ
รองนายกฯกิตติรัตน์ : ก็ยังเป็นบวกอยู่ ยกเว้นเรื่องส่งออก อย่างที่เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคำนวณเรื่องส่งออกที่แปลงเป็นเงินบาท เราก็ติดลบลง แต่เนื่องจากเหตุผลที่ได้เรียนไปว่า เวลาค่าเงินบาทแข็ง การจะแข่งขันและการส่งออกก็จะทำยากขึ้น ความจริงผมเคยส่งสัญญาณมานานแล้วว่า ไม่อยากเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจนเกินไป ตั้งแต่ครั้งที่เรายังอยู่ในระดับประมาณ 32 บาท ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ เมื่อปีก่อน เสียดายที่มันได้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ค่าเงินบาทก็อ่อนตัว และกลับไปอยู่ในระดับที่ผมคิดว่า เหมาะสมและก็สามารถแข่งขันได้ เพราะฉะนั้นก็หวังว่าจะไม่มีใครมาชี้อีกว่า เราอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว เพราะจริงๆ แล้ว ช่วงที่แข็งค่าไปตรงนั้น ถ้าจินตนาการว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นได้ ก็จะเป็นเรื่องดีกับเศรษฐกิจ และจริงๆ มันก็เป็นความราบเรียบของค่าเงินบาทเอง ที่จะอยู่ในประมาณ 31เศษๆ 32 เศษๆ ก็เป็นช่วงที่ดีที่มีความสามารถในการแข่งขันได้ หากเรารักษาระดับความเสถียรภาพความต่างระดับไว้ได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี ทั้งในเรื่องการส่งออก ทั้งเรื่องการควบคุมเงินเฟ้อที่จะเกิดจากสินค้านำเข้า
พิธีกร : ท่านรองนายกฯ กำลังจะบอกว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลงมาในขณะนี้ น่าจะส่งผลดีกับเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อการส่งออกในเร็วๆ นี้ ใช่ไหมคะ
รองนายกฯกิตติรัตน์ : ใช่ครับ
พิธีกร : ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์คะ ถ้ามองตัวเลขเศรษฐกิจเจาะลงไปในรายกลุ่ม ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้างกับการลงทุน การบริโภค กับการท่องเที่ยวคะ
อาคม : คือในแง่ของไตรมาสที่ 2 ผมย้อนไปนิดหนึ่ง เมื่อปีที่แล้วหลังน้ำท่วม การใช้จ่ายภายในประเทศค่อนข้างสูง เพราะว่าชาวบ้านที่น้ำท่วมต้องใช้เงินไปซ่อมแซมบ้าน โรงงาน ก็ต้องสั่งซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ซ่อมแซมโรงงานใหม่ เพราะฉะนั้นปีที่แล้วค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นปีนี้มันปรับตัวเข้าสู่ในระดับปกติของเรา หลังจากค่าใช้จ่ายที่เราต้องเพิ่มมาเป็นพิเศษตรงนั้น เพราะฉะนั้น อย่างไรก็ตามแล้ว ในเรื่องการใช้จ่ายของครัวเรือนหรือของประชาชนก็ยังเพิ่มอยู่ อย่างที่ท่านรองนายกฯ ได้พูดเมื่อสักครู่นี้ ถ้ามองเทียบกับปีที่แล้วยังบวกอยู่แน่นอน เพียงแต่อยู่ในระดับที่ปกติ เรื่องการลงทุนก็เช่นเดียวกัน เพราะว่ามาตรการของรัฐ โดยเฉพาะเรื่องของการเร่งรัดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ เราก็จะเห็นว่าในช่วงไตรมาสที่1 ที่ 2 นั้น การใช้จ่ายก็ยังสูงอยู่ ส่วนเรื่องของภาคเอกชนนั้นก็อาจจะมีติดขัดอยู่นิดเดียวตรงช่วงไตรมาสที่ 2 นั้น การสั่งซื้อเครื่องจักรน้อย ซึ่งก็น่าเสียดายตรงที่ว่า ช่วงนั้นเงินบาทพอดีแข็ง แทนที่จะได้ของถูก แต่ว่าแน่นอนที่สุดถ้าก่อสร้างโรงงานไม่เสร็จก็ติดตั้งเครื่องจักรไม่ได้อย่างชัดเจน
พิธีกร : ตอนบาทแข็งตรงนั้นจะเร่งนำเข้าสินค้าทุนก็ยังไม่มีมากนักในช่วงเวลานั้น
อาคม : ยังไม่มากนักครับตรงนั้น ส่วนเรื่องส่งออกนั้นผมเรียนว่า จริงๆ แล้วเราอาจจะเห็นผลของเศรษฐกิจโลก ถ้าพูดถึงเรื่องถดถอย ผมเห็นว่า ยุโรปถดถอยแน่นอน เพราะว่าปีนี้เขาติดลบ อันนั้นชัดเจน แล้วก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย ซึ่งบวกกับในเรื่องของเรื่องบาทแข็งในช่วงเดือนเม.ย. แล้วก็มีวันหยุดด้วย ฉะนั้นออเดอร์ส่งออกมาลงในช่วงไตรมาสที่ 2 พอดีเลย ฉะนั้นไตรมาสที่ 2 ตัวเลขส่งออกก็ติดลบ อย่างไรก็ตาม เมื่อรวม 6 เดือนแรกส่งออกของเรายังบวกอยู่นะครับ เราก็คาดว่าจริงๆ แล้วปีที่แล้ว เนื่องจากตลาดในประเทศดี เพราะฉะนั้นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมทั้งหลายก็ชิปสินค้าตัวเองมาขายในประเทศมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรถยนต์ ไม่ว่าจัดเป็นวัสดุก่อสร้าง เพราะขายในประเทศได้ราคาก็ลดในเรื่องของตลาดต่างประเทศในปีนี้กลับมาอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนะครับ
พิธีกร : ถ้ามองที่ไตรมาส 3 วันนี้เราอยู่ในไตรมาส 3 คือเดือนก.ค. - ก.ย. ท่านรองนายกฯ มองไตรมาส 3 อย่างไรบ้างคะกับตัวเลขต่างๆ
รองนายกฯกิตติรัตน์ : ผมก็มองว่า เราก็ยังมีโอกาสที่จะขยายตัว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ต้องยอมรับว่า โลกมีการผันผวนมากจริงๆ หลายสิ่งหลายอย่างสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั้งหน่วยงานสำคัญๆเศรษฐกิจของประเทศ ผมจำได้ว่าในช่วงต้นๆ ไตรมาสที่ 2 กับกลางไตรมาสที่ 2 ยังห่วงว่า เศรษฐกิจจะร้อนแรงไปหรือเปล่า พอผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ไม่กี่เดือน กลับกลายมากังวลร่วมกันว่า เศรษฐกิจจะเติบโตดีพอหรือเปล่า อย่างไรก็ตามผมคิดว่า เราเองต้องมองเศรษฐกิจในเรื่องยาวๆ นะครับ แล้วก็แนวทางในเรื่องการปรับสมดุล ไม่อยากจะมองในเรื่องรายเดือนรายไตรมาสจนเกินไป เพียงแต่ว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลประกอบ ทิศทางเดียวกันในทางที่ดี สิ่งที่ประเทศกำลังต้องการคือ การอยู่ในเวลานี้ คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ ลงทุนแล้วก็จะกลายเป็นศักยภาพที่ดีเยี่ยม เมื่อระบบต่างๆ เสร็จแล้ว ประสิทธิภาพจะดีขึ้นนะครับ ในช่วงไตรมาสที่ 3 ส่วนสำคัญก็คือเรื่องการใช้จ่ายผ่านภาครัฐ เพราะว่าไตรมาสที่ 3 ของปี คือ ไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ การที่จะดูแลให้มีการใช้จ่ายภาครัฐให้เป็นไปตามแผนยังเป็นส่วนที่รัฐบาลต้องทำงานอย่างจริงจัง และควบคุมให้ได้นะครับ อีกส่วนหนึ่งก็คือความสำคัญด้านมั่นใจ เวลาเราพูดกันไปมากๆ ว่า เศรษฐกิจจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็เข้าใจ
พิธีกร : มันเกิดผลทางจิตวิทยา
รองนายกฯกิตติรัตน์ : บางท่านอาจจะเตรียมที่จะซื้อสินค้าต่างๆ เป็นปกตินะครับ อาจจะกังวลบ้าง แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ดีพอสมควรในไตรมาสนึงครับ
พิธีกร : ค่ะ ถ้ามองไตรมาส 3 แล้ว จำเป็นต้องมีมาตรการอะไรที่จะอัดฉีดเศรษฐกิจออกมาไหมคะ
รองนายกฯกิตติรัตน์ : ผมก็เลิกพูดคำว่า อัดฉีด เลิกพูดคำว่า กระตุ้นมาเป็นเวลานานแล้วนะครับ ความจริงส่วนที่เราต้องทำงานก็คือว่ากลจักรต่างๆ ทั้งตัวหลักที่เรียกว่า การส่งออกการลงทุนภาคเอกชน การอุปโภค บริโภคในประเทศการใช้จ่ายภาครัฐ ก็ต้องทำกันจริงจัง นอกจากนั้นสามารถแตกแขนงเป็นเรื่องต่างๆ ได้ ขบวนการส่งออกก็หมายถึง เรื่องการส่งออกสินค้า การส่งออกบริการก็หมายถึง การท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐก็หมายถึง การใช้จ่ายเพื่อการบริหารจัดการทั่วไป การอบรมสัมมนาก็หมายถึง การลงทุนโครงการต่างๆ ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ สิ่งเหล่านี้ เราทำงานกันอย่างจริงจังเต็มที่นะครับ สร้างบรรยากาศให้ดี นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความสบายใจในการที่จะขยายกำลังการผลิต ในการที่จะสร้างโรงงานต่างๆ เศรษฐกิจก็ไปได้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าส่วนที่สำคัญถามว่า ตอนนี้อยากทำอะไร อยากให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของเศรษฐกิจไทย แล้วก็ความมั่นใจร่วมกันมีไม่กี่ประเทศในโลกครับที่มีการกระจายตัวดีแบบไทย แล้วก็มีอัตราการว่างงานต่ำ คนไทยแทบจะทุกคนถ้าไม่เกี่ยงงาน ถ้าไม่เลือกจนเกินไปเขาสามารถมีงานทำได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นกลจักรสำคัญ ที่ทำให้เศรษฐกิจของเราเติบโตได้เป็นอย่างดีในช่วงปานกลาง ระยะยาว
พิธีกร : ค่ะ แต่ถ้ามองปัจจัยเสี่ยงในช่วงเวลานี้ ท่านผู้ชมก็จะทราบเองว่า ถ้าติดตามข่าวสารว่า ปัจจัยเสี่ยงเรื่องของต่างประเทศ เศรษฐกิจการขยายตัวของเอเชียเองรวมถึงจีนเป็นหลัก มันก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของประเทศไทยด้วย วันนี้มองจีน มองเอเชียแล้วกลับมามองเรา ความเสี่ยงมันเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน การที่จีนแค่โตขึ้นน้อยลงนิดเดียวมันก็กระทบกับเราแล้วค่ะ
รองนายกฯกิตติรัตน์ : ครับ จริงๆ แล้วก็ยอมรับ เราเป็นประเทศที่ยังพึ่งพาการส่งออกมาก แม้ว่าจะทำงานกันมาระดับหนึ่ง จนเริ่มจะพึ่งพาเรื่องอื่นๆ มากขึ้น ก็ยังพึ่งพาการส่งออกมาก ก็จะต้องได้รับผลกระทบ ถ้าหากว่าโลกมีความขลุกขลัก แต่ว่าจีนถ้าจะเติบโตชะลอลง เขาก็ยังจะเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าคนอื่นๆ แล้วก็เติบโตเร็วกว่าเรา เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้ค้าผู้ขายที่ดีกับเขาก็จะเป็นเรื่องที่หวังได้ ประเทศในอาเซียนเองก็ยังเป็นประเทศที่มีการขยายตัวที่ดีนะครับ อย่างไรก็ตาม ขออนุญาตเรียนว่า ความพร้อมของเราในขณะนี้เราสามารถที่จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี เงินสำรองระหว่างประเทศสูงกว่า 170 พันล้านเหรียญสหรัฐ สภาพคล่องที่เป็นเงินบาทที่ดูแลอยู่ในระบบธนาคารกลางมีในระดับที่สูง แล้วก็ส่วนอื่นๆ ที่เป็นข้อกังวลถ้าหากว่า อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนไปจะเป็นอย่างไรต่อ ราคาน้ำมัน กองทุนน้ำมันของเรา ในช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทแข็ง เราก็รักษาความเข้มแข็งไว้ดี กองทุนน้ำมันสามารถที่จะติดลบขึ้นไปถึง 2-3 หมื่นล้านได้ เราเคยอยู่ในระดับนั้น ดูแลความไม่ผันผวนของน้ำมันขนาดนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีจำนวนมูลค่าเป็นบวกเกือบหมื่นล้านนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนไป น้ำมันดิบในตลาดโลกซึ่งเกิดจากสถานการณ์ตรึงเครียดในตะวันออกกลางเกิดขึ้น เราก็จะสามารถประคับประคองราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศให้อยู่ในระดับที่เป็นอย่างนี้ โดยไม่กระเทือนเงินเฟ้อได้ในระยะที่นานเลยทีเดียว
พิธีกร : คือกำลังจะบอกว่า ยังมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะสามารถเข้ามาบริหารจัดการดูแลได้ ไม่ให้ราคามันผันผวนสูงจนเกินไป
รองนายกฯกิตติรัตน์ : ใช่ครับ เพราะฉะนั้นภูมิคุ้นกันในเรื่องต่างๆ ผมคิดว่า อยู่ในภาวะที่เข้มแข็ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะบอกว่า ไม่กระทบเลยเวลาที่โลกเขาผันผวนก็คงไม่ถูกต้องนะครับ
พิธีกร : ในส่วนของท่านอาคม มองตรงนี้อย่างไรคะ
อาคม : ช่วงนี้เป็นช่วงของการปรับสมดุลอย่างที่ท่านรองนายกฯ พูดเมื่อสักครู่นี้ จริงๆ แล้วผมอยากเรียนเพิ่มเติมในเรื่องของไตรมาส 2 นิดหนึ่งมีสัญญาที่ดีอยู่ 3 เรื่อง เรื่องที่ 1. คือเรื่องท่องเที่ยวของเรานั้น ไม่มีใครพูดถึงเลยท่องเที่ยวยังต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วที่สนามบินสุวรรณภูมิแน่น สนามบินดอนเมืองแน่นตลอด และสนามบินที่ต่างจังหวัดนักท่องเที่ยวไปกันเยอะ เรื่องที่ 2. คือราคาสินค้าเกษตรเราอาจพูดเฉพาะเรื่องข้าว แต่จริงๆ ข้าวเป็นสินค้าเดียว ต้องพูดสินค้าอื่นด้วย สินค้าอื่นอย่างพวกมันสำปะหลัง ข้าวโพด อะไรพวกนี้ปรับตัวดีขึ้น เพราะฉะนั้นตรงนี้เองทำให้รายได้ภาคเกษตรนั้นก็ดี อีกอันที่อยากจะเรียนว่า เวลาพูดถึงเศรษฐกิจจีนนั้นกระทบ ไม่ใช่กระทบเฉพาะประเทศไทย แต่กระทบในอาเซียนด้วยพวกผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ประเด็นตรงนี้คือว่า มันมีการปรับโครงสร้างใหม่ เพราะว่าการแสวงหาวัตถุดิบ การให้ประเทศใดประเทศหนึ่งผลิตชิ้นส่วนแต่เพียงประเทศเดียวไม่เป็นจริงต่อไปเพราะเกิดความเสี่ยง เพราะฉะนั้นตรงนี้เองเมื่อจีนกระทบมันจะมากระทบประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียนด้วย เรื่องที่ 3. คือเรื่องของเทคโนโลยี เทคโนโลยีวันนี้ถ้าเราเห็นว่าอิเล็กทรอนิกส์ เราส่งออกไม่ดีเท่าไรแต่จริงๆ มันมีเหตุผลเบื้องหลังคือว่า วันนี้เราเองเคยเป็นผู้ส่งออกในเรื่องของ desktop computer notebook แต่วันนี้ทุกคนหันไปใช้แท็บเล็ตกันหมด เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยน เราเองนักลงทุนที่ลงทุนในประเทศไทยก็เริ่มที่จะต้องคิดในเรื่องนี้ว่า ต้องเปลี่ยนรูปแบบสินค้าใหม่เลย ทำให้ช่วงส่งออกของเราซึ่งเราพึ่งพาค่อนข้างเยอะ มันก็เลยตกไปตรงนี้
พิธีกร : พอการส่งออกชะลอตัวไปแบบนี้ มันจะกระทบไปอย่างต่อเนื่อง กระทบกำลังซื้อของผู้บริโภคต่างๆ ต่อเนื่องไปด้วย
อาคม : ที่นี้อีกจุดหนึ่งที่เรียนไม่ว่าจะเป็น ไตรมาสที่ 1 ไตรมาสที่ 2 ที่เราเห็นก็คือว่า เศรษฐกิจภายในประเทศนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนมากขึ้น เมื่อเทียบกับภาคการส่งออกอยู่ประมาณ 60-70 % แต่วันนี้เราเริ่มจะใช้เศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดว่า จะขับเคลื่อนในช่วงไตรมาสที่ 3 ไตรมาสที่ 4 หรือแม้กระทั้งในปีต่อไป คือเรื่องของการลงทุนภายในประเทศ
พิธีกร : ทั้งภาครัฐและเอกชน
อาคม : ถูกต้องครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย จะมาเสริมกำลังการผลิตของเรา เสริมในเรื่องของต้นทุน ลดต้นทุน ในเรื่องของการผลิตของภาคเอกชน ตรงนี้เองก็ทำให้การลงทุนกลับเข้ามาสู่ประเทศของเรา ข้อสุดท้ายเรื่องของสิ่งที่กระตุ้นหรือไม่กระตุ้น ผมคิดว่า เอาแค่ว่าวันนี้เราอีก 2 ปีจะได้เห็นอาเซียน เอาแค่ว่า สินค้าของเราจะเคลื่อนย้ายระหว่างภูมิภาค เราปรับปรุงในเรื่องของการอำนวยความสะดวกสินค้าผ่านแดนได้เร็วขึ้น สินค้าวัตถุดิบของเราไปอยู่ประเทศอื่น หรือประเทศเข้ามาประเทศเรา วันนี้ระบบการขนส่งทางบกค่อนข้างสะดวก ถ้าเราปรับแค่ตรงนี้หรือการอำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนภาคการส่งออกต่างๆ พวกนี้เชื่อว่า ต้นทุนเราลดแน่นนอนและสินค้าเราจะส่งออกได้
พิธีกร : และอาเซียนจะเป็นตลาดใหญ่ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งขณะนี้ก็ถือว่า การส่งออกในไทยส่งออกไปทั่วโลก อาเซียนก็เป็นอันดับ 1.อยู่แล้ว แต่โอกาสในการขยายการค้า การลงทุนระหว่างไทยกับอาเซียนมีสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ถ้าหันกลับมาดูในบ้านเราท่านเลขาธิการฯ คะ ตัวกำลังซื้อของประชาชนบางกระแสบอกว่า ตอนนี้กู้เงินก็ยากขึ้น กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน กู้รถไม่ผ่านสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร
อาคม : ขึ้นอยู่กับ 2 ด้าน ด้านที่ 1. คนกู้คือ ประชาชน กับอีกด้านหนึ่งคือผู้ให้กู้ ผมเชื่อว่าผู้ให้กู้เองก็ต้องมีความระมัดระวังเหมือนกัน จะให้ไฟแนนซ์ใคร ในเรื่องของสินเชื่ออะไร ประเทศใดก็ตามในระดับเดียวกันของผู้กู้เอง ผมเชื่อว่ามาตรการของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายในเรื่องของการเพิ่มรายได้ตรงนี้ยังต้องเพิ่มต่อ จะเพิ่มบนพื้นฐานของประสิทธิภาพ ปีที่แล้วเราเพิ่มในเรื่องของค่าแรง 300 บาท แน่นนอนกำลังซื้อกลับมา ด้านที่ 2. คือใครก็ตามที่จบปริญญาตรีนั้นได้ 15,000 บาท นั้นคือขั้นพื้นฐาน ทำให้เราสามารถให้ผู้กู้หรือประชาชนที่มีเงินเดือนขึ้นอยู่กับเงินเดือน สะท้อนในเรื่องของขีดความสามารถของเขาโดยแท้จริง
พิธีกร : มีกำลังซื้อมากขึ้น
อาคม : เป็นธรรมมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นในอนาคตนั้น คงจะต้องเสริมในเรื่องของการฝึกทักษะ หรือให้เขามีองค์ความรู้มากขึ้น เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพรายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากนั้นก็คงเป็นในเรื่องสิ่งที่เราทำกันอยู่ OTOP เรื่องสินค้า กองทุนต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาส ผมยกตัวอย่างว่า มีญี่ปุ่นมาถามเหมือนกันว่า ทำไมประเทศไทยไม่คิดเรื่องของผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือในเรื่องของคอสเมติก ที่เป็นเนเชอรัล ที่เป็นคอสเมติกจากธรรมชาติ เขาบอกเป็นโอกาสของประเทศไทยทำไมไม่รีบทำตรงนี้ เพราะฉะนั้นตรงนี้เอง ถ้าเรารู้จักในเรื่องของการเอางานวิจัยเข้ามาปรับปรุงในเรื่องของสมุนไพรต่างๆ ที่มาเป็นวัตถุดิบตรงนี้ เราก็มีโอกาสเป็นสินค้ากลุ่มใหม่ที่จะสร้างรายได้ และเป็นรายได้ที่อยู่กับชาวบ้านทั้งหมดครับ
พิธีกร : เงินอยู่ในประเทศ เงินลงไปในท้องถิ่นชุมชนด้วยนะคะ ท่านรองนายกฯคะ ถ้าเกิดมองภาพใหญ่ของประเทศวันนี้ มองภาพใหญ่ประเทศ ต่างชาติให้ความเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน
รองนายกฯกิตติรัตน์ : ต่างชาติก็มีหลายๆ กลุ่มนะครับ ถ้าบอกว่า ต่างชาติที่เป็นผู้ลงทุนในภาคที่แท้จริงเป็นการลงทุนเพื่อสร้างกิจการต่างๆ จะเห็นได้ว่า คำขอในการที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทีเดียว และจะทำให้คำขอเหล่านั้นกลายเป็นลงทุนจริงอย่างต่อเนื่องไปข้างหน้า ความเชื่อมั่นของประเทศต่างๆ รอบๆ เรา เขาทั้งเชื่อมั่น ทั้งหวังว่าเราจะดำเนินการต่างๆ เพราะว่าการลงทุนในระบบคมนาคมขนส่งของเรา จะสามารถเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ให้สามารถไปมาถึงกันเอง และไปจนถึงประเทศที่มีเศรษฐกิจสำคัญๆ ในเอเชียตะวันออกได้นะครับ
ในส่วนที่อาจจะเป็นคำถามของคุณสร้อยฟ้า คือว่า แล้วผู้ลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนในระบบตลาดทุนเป็นอย่างไร ผู้ลงทุนเหล่านี้เขาก็เชื่อมันแน่ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่ง เพียงแต่ว่าในแง่ของการที่จะกระโดดเข้ากระโดดออกตามภาวะเรื่องราวต่างๆ ที่ภาคการลงทุนในระบบกองทุนต่างๆ ที่มี ก็อาจจะทำให้เกิดการผันผวน แต่ผมอยากชี้ว่าทุกๆ ครั้งที่มีการดำเนินการขายหุ้นเป็นขนานใหญ่ โดยผู้ลงทุนต่างประเทศ ก็มักจะเป็นโอกาสทองของคนที่รอซื้อหุ้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนต่างประเทศรายอื่น หรือว่าผู้ลงทุนในประเทศเอง โอกาสที่จะได้ซื้อหุ้นในราคาถูกๆ มักจะเกิดขึ้นในยามที่มีความกังวลในลักษณะนี้ที่เป็นเชิงภูมิภาค ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญในความท้าทายในการตอบโจทย์ อินโดนีเซียกำลังจะต้องตอบโจทย์ว่า เขาจะแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า หรือการขาดดุลงบประมาณอย่างไร มาเลเซียกำลังต้องการตอบโจทย์เหมือนกันว่า เขาจะดูแลการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลให้ดีขึ้นอย่างไร ประเทศไทยขณะนี้ผมคิดว่าเราไม่ได้มีโจทย์อะไรต้องตอบ เราตอบชัดแล้วว่าเราจะแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณอย่างไร และดำเนินการมาแล้วเห็นจริงอย่างต่อเนื่องหลายปีงบประมาณแล้ว เรากำลังดำเนินการที่จะผ่านกฎหมายเพื่อการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน และเราก็ตอบโจทย์ไปนานแล้วว่า ต่อให้เราลงทุนเต็มอัตราที่ว่านี้ หนี้สาธารณะเราก็อยู่ในระดับที่ต่ำ ดังนั้นผมเชื่อว่าเราได้อยู่ในความมั่นใจของผู้ลงทุนต่างๆ ครับ
พิธีกร : คือวันนี้สิ่งที่ประชาชนทั่วไป สิ่งที่นักลงทุนเป็นห่วง กระแสเงินทุนไหลออกของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ตัวบอลเป็นอย่างไรบ้าง มีความน่าเป็นห่วงแค่ไหนท่ามกลางบรรยากาศที่เงินบาทอ่อนค่าลงมา เห็น 31 แล้วแบบนี้ค่ะ
รองนายกฯกิตติรัตน์ : เมื่อวานนี้ ผมได้เรียนในที่ประชุมไปว่า ถ้าเงินไหลออกซะบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเงินจำนวนมากนี้ไม่ควรจะไหลเข้ามาเลย ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แล้วเข้ามาก็เป็นภาระทำให้เงินสำรองของประเทศดูสูงขึ้น สวยขึ้นก็จริง แต่เป็นภาระที่ทำให้เมื่อเงินเหล่านั้นถูกแปลงเป็นเงินบาท ก็จะต้องถูกดูแลโดยธนาคารกลางไว้เป็นต้นทุน การไหลออกไปบ้างทำให้ภาระเหล่านั้นลดลง และช่วงเวลาที่ไหลเข้ายังไม่สมควร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอย่างไม่จำเป็น และทำให้เกิดผลกระทบต่อภาคที่แท้จริงคือการส่งออก ฉะนั้นการที่เราจะเห็นเงินไหลออกไปบ้าง บางคนบอกว่าไหลเข้าน้อยลงพอไหม ผมว่าก็ยังดีไหลเข้ามากขึ้น แต่ว่าถ้าไหลออกไปบ้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย และก็เงินสำรองของเรา ถ้าหากจะลดไปจาก 170 เหรียญลงไปบ้าง เพราะขนาดนี้มียอดเงินสำรองเป็นจำนวนหลายเท่าของหนี้ระยะสั้น และเพียงพอต่อการนำเข้าสินค้าต่างๆ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะครับ
พิธีกร : สรุปสุดท้ายตรงนี้คำว่า ถดถอย ที่หลายๆ คนเป็นห่วงกันว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ตรงนี้จะพิสูจน์กันได้ในการค้าการธุรกิจของไตรมาส 3 ไตรมาส 4 นี้ไหมคะ
รองนายกฯกิตติรัตน์ : เพียงแต่ผมเรียนว่า มองประเทศไทย มองยาวๆนะครับ แล้วก็อย่าไปสนใจเรื่องนี้จนกระทั่งเราลังเลกับเรื่องที่จะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เราเคยน้ำท่วมขนานใหญ่มาแล้ว เราต้องลงทุนเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องนี้ซ้ำขึ้นอีก ไม่ทราบฤดูกาลหน้าฝนปีไหนมันจะมีฝนมากกว่าปกติ เราติดๆ ขัดๆ กับเรื่องการระบบคมนาคมขนส่งกันอยู่ การที่เราจะมุ่งหน้าเดินหน้าไปโดยที่เรารู้ความพร้อมของเราเป็นเรื่องสำคัญ ทำเรื่องต่างๆ ที่สมควรทำ แล้วก็การขยายตัวจะเกิดขึ้นเอง แทนที่จะหมกหมุ่นกับการที่จะต้องเห็นตัวเลขโตให้ได้ แล้วก็หาวิธีต่างๆ ที่จะทำให้โตในระยะสั้นๆ เพื่อเอาอกเอาใจคนที่ติดตามข่าวระยะสั้นๆ อยู่ ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนัก
ที่มา.ทีนิวส์
/////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น