--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จำกัด พลางกูร: ภารกิจเพื่อชาติ เสรีไทยในวันที่ถูกลืม !!??

ศ.ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา: เรื่องของเสรีไทยไม่ได้รับการให้ความสำคัญเท่าที่พวกเขาสำคัญอย่างแท้จริง เพราะเรื่องเอกราชของประเทศเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่มี ผมว่าเราก็ต้องถูกยึดครองเหมือนประเทศผู้แพ้สงครามทั้งหลาย และอาจถูกแบ่งแยกประเทศ ฝ่ายนั้นจะเอาส่วนนี้ ฝ่ายนี้จะเอาส่วนนั้น อย่างน้อยก็เสียเอกราช

เพราะอาจารย์ปรีดีฯ และคณะของเขาพ่ายแพ้ทางการเมืองหลังจากรัฐประหาร 2490 ซึ่งพรรคพวกของท่านก็ถูกลอบฆ่าบ้าง จนท่านก็ต้องหนีออกนอกประเทศ กลายเป็นว่าเรื่องนี้ไม่พูดกันเท่าไหร่ เพราะถ้าพูดถึงเสรีไทยก็เท่ากับว่ายกย่องฝ่ายอาจารย์ปรีดีฯ

เรื่องกระบวนการเสรีไทยเป็นเรื่องที่คนไทยทุกหมู่เหล่าได้ประสานร่วมแรงร่วมใจกันเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ เป็นการปรองดองกันของคณะราษฎรกับคณะฝ่ายเจ้าเพื่อเอกราชของประเทศ



ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา

ผมชอบฉากการตกลงของคุณจำกัดฯ กับหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ นะ เพราะเป็นภาพที่สวยงาม เป็นการร่วมมือของสองฝ่ายระหว่างฝ่ายเจ้า ฝ่ายคณะราษฎรซึ่งมีความหมายที่รวมทั้งคนชั้นกลาง ประชาชนทั่วไป เป็นการเข้าใจกันอย่างดีของทั้งสองด้านโดยยึดหลักเอกราช ประชาธิปไตย และความเจริญของประเทศ และมีการตกลงจริง ตัวแทนจริงของทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งคือพระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงสนิท สวัสดิวัตน และอีกฝ่ายหนึ่งก็คือคุณจำกัด พลางกูรซึ่งเป็นตัวแทนของคนชั้นกลางในเมือง และประชาชนธรรมดาสามัญในประเทศที่มีนายเตียง ศิริขันธ์เป็นตัวแทนซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคุณจำกัด มันเกิดขึ้นจริงและเราก็แสดงตามที่มันเป็นจริง ภาพนี้มันสวยงามมาก

นายฉันทนา (มาลัย ชูพินิจ) ก็ได้เขียนเรื่องราวนี้ขึ้นด้วย ซึ่งเป็นภาพที่เขาตื้นตันใจ เป็นภาพที่สวยงามมากที่บอกว่า “ในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ จำกัดได้พบทั้งมือที่พร้อมสำหรับกางออกต้อนรับ และใจซึ่งพร้อมจะสนับสนุนแผนการและอุดมคติของเขาอย่างเต็มที่ ในเจ้าชายเชื้อพระวงศ์องค์นี้ เขาได้พบคนไทยที่บูชาประชาธิปไตย”


ผมคิดว่ามันเป็นฉากที่เกิดขึ้นจริง และมันก็ไม่ใช่ utopia ที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว และถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปได้ เมืองไทยจะไปได้ดี และผมหวังว่าเมืองไทยจะไปตามฉากนี้

ท่านศุภสวัสดิ์ฯ ยอมรับหลักการของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของ 2475 ที่อยากให้ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ทรงอยู่เหนือการเมือง ซึ่งท่านเป็นเจ้าที่ยอมตามคณะราษฎร ซึ่งมันมีอยู่จริงในบันทึกประจำวันของจำกัดนะ (อ่านเพิ่ม..ที่มาที่ไปของละครเวทีเพื่อชาติ เพื่อ humanity)
ปรีดี พนมยงค์

รับบทบาทโดยสุรเดช สุวรรณโมรา ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโทรคมนาคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิศวกรชำนาญการ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (AIS)


คุณสุรเดช สุวรรณโมรา รับบทบาทเป็นปรีดี พนมยงค์

Background บทบาทที่ได้รับและความรู้สึกหลังได้รับหน้าที่นี้ การได้รับบทบาทนี้ ผมรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะท่านอาจารย์ปรีดีเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อประเทศอย่างมากตั้งแต่ 2475 อภิวัฒน์ เปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย จนก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประชาชนขึ้นมา กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองท่านอาจารย์ปรีดี ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการเป็นหัวหน้าคณะเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นประชิดดินแดนของประเทศไทยซึ่งตอนนั้นได้กรีฑาทัพมาไทยเพื่อจะไปยังมลายูของอังกฤษรวมทั้งพม่าเองด้วย

ขณะที่ท่านยังอยู่ในคณะของผู้นำประเทศ ท่านอาจารย์ปรีดีได้ถูกเชิญไปยังต่างประเทศของคณะสัมพันธมิตร ท่านได้เห็นยุทโธปกรณ์ของสัมพันธมิตรว่ามีความพร้อม มีการผลิตเองแบบ mass production

ระหว่างนั้นนั้นก็เกิดความขัดแย้งกับคณะผู้นำประเทศ หรือจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพราะจอมพล ป. ยินยอมให้ญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทย แต่ท่านอาจารย์ปรีดีไม่เห็นด้วย ท่านพยายามทำภารกิจอย่างลับๆ เพื่อทำให้สัมพันธมิตรเชื่อว่า เราไม่ได้ร่วมมือกับอักษะหรือญี่ปุ่น ซึ่งท่านอาจารย์ปรีดีโดยพื้นฐานนั้นมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล และยึดประโยชน์ของชาติเป็นหลัก การที่ญี่ปุ่นได้ประชิดเข้ามา สร้างความหวาดระแวงให้ประชาชนอย่างมาก

ท่านอาจารย์ปรีดียึดประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ท่านก่อตั้งองค์กรต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นมา คือองค์การคณะเสรีไทยตามเจตนารมณ์ของท่านคือ หนึ่งเพื่อต่อสู้ญี่ปุ่นเพื่อรุกรานโดยกำลังอาวุธซึ่งเป็นสายภายในประเทศคือชาวบ้านที่เป็นกองกำลังที่แท้จริงของประเทศ สองเพื่อร่วมมือกับสัมพันธมิตรและทำให้เชื่อว่าเรามีกองกำลังที่เป็นจริง

ท่านอาจารย์ปรีดีได้หล่อหลอมคนในประเทศที่มีหลากหลายชนชั้นอาชีพขึ้นมาเป็นกองกำลัง หรือแม้แต่เจ้าหรือหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ก็ได้มาสนับสนุนท่านด้วย โดยมีภารกิจเพื่อชาติเป็นหลัก คือทำอย่างไรที่จะเจรจากับสัมพันธมิตรให้ได้ว่าเราไม่ได้เข้าข้างฝ่ายอักษะ

ละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครเวทีที่พลิกประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมา ซึ่งผู้คนอาจจะหลงลืมไปหรือพยายามบิดเบือนและไม่เคยรู้ โดยฉากที่ประทับใจที่สุดคือฉากที่เริ่มก่อกำเนิดเป็นคณะเสรีไทย หรือฉากที่มีคณะราษฎรที่เรามารวมตัวกันเป็นพันธกิจแรก องค์การนี้ประกอบด้วยคนไทยที่รักชาติทุกชนชั้นวรรณะทั้งภายในและต่างประเทศ



ถ้าได้อยู่ในสมัยนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างทิ้งไว้ข้างหลัง ขอให้ทำเพื่อชาติที่ยังคงเอกราชและอำนาจอธิปไตยไว้ได้ ละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเสียสละของคนในชาติที่ไม่ได้มีเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่เป็นกลุ่มก้อน แม้กระทั่งคุณจำกัดฯ เองก็ทิ้งครอบครัว หน้าที่การงานเพื่อไปปฏิบัติภารกิจนี้ โดยที่เขาไม่รู้หรืออาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าอาจจะไม่สามารถรอดชีวิตจากภารกิจครั้งนี้ได้ แต่เขาก็ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจนี้เพื่อเอกราชและอธิปไตย


คำสำคัญที่อาจารย์ปรีดีฯ ได้พูดกับคุณจำกัดคือ “เคราะห์ดีที่สุดอีก 45 วันคงได้เจอกันและเคราะห์ไม่ดีนักก็อีก 2 ปีคงได้เจอกัน แต่เคราะห์ร้ายที่สุดก็ถือเสียว่าสละชีวิตเพื่อชาติไป” เพราะอาจารย์ปรีดีฯ ก็เคยส่งคนไปทำภารกิจนี้ก่อนหน้าแล้วแต่ผู้คนเหล่านั้นก็สูญหายไป เรื่องนี้ให้แง่คิดในลักษณะที่เห็นได้ชัดว่า คนเราต้องมีความเสียสละเพื่อบ้านเมือง ซึ่งสมัยก่อนผมคิดว่ามีแน่ แต่สมัยนี้ที่คิดถึงประเทศชาติและประโยชน์ส่วนรวมนั้นถือว่าหาได้ยากมากในสมัยนี้

แรงบันดาลใจจากการได้เล่นละครเวทีเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งผมมีกลิ่นอายหรือสายเลือดของเสรีไทย เนื่องจากคุณตาทวดของผมก็เป็นเสรีไทยในสายคุณเตียง ศิริขันธ์ เป็น 1 ใน 18 คนที่ถูกยัดเยียดให้เป็นกบฏแบ่งแยกดินแดนในสมัยนั้น ที่ทางการต้องการจับตัว เพราะคุณตาทวดผมก็เป็นกองกำลังที่เป็นจริงของคณะเสรีไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนพลภูพานนั่นเอง สมัยนั้นทุกคนก็ทำภารกิจละทิ้งครอบครัวและหน้าที่การงานไว้ เพราะทำอะไรก็เพื่อชาติให้ได้เอกราชกลับมา

ช่วงนั้นคงมีทุกอารมณ์ทั้งความหวาดกลัว หวาดระแวงว่า เราจะยังมีชาติอยู่ไหม เราจะเป็นทาสของนานาประเทศที่เข้ามาล่าอาณานิคม ซึ่งทุกคนถ้ากลัวตายคงไม่ทำภารกิจนั้น เสียสละชีวิตแม้กระทั่งความตายได้ เพื่อปฏิบัติภารกิจ และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่อยากเล่นบทบาทนี้เพื่อให้ลูกหลานของท่าน แม้กระทั่งคนที่ศรัทธาท่านได้เห็นว่าท่านปรีดีมีความสำคัญ มีคุณูปการต่อประเทศอย่างไร

ท่านคิดอ่านวิเคราะห์ท่านสังเกตและมองการณ์ไกลอย่างไร คิดเผื่อสำหรับประเทศไว้แบบใด คิดแล้วลงมือทำก็ประสบความสำเร็จได้

ละครเรื่องนี้จรรโลงใจว่า การเสียสละเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กัน เอาประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เหตุการณ์ที่ผ่านมาทิ้งบทเรียนที่นำไปปรับใช้กับปัจจุบันได้

ดูละครให้ย้อนดูตัว ว่าเราเสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อบ้านเมือง เพื่อชาติได้หรือยัง?
จำกัด พลางกูร

รับบทบาทโดยเสมอไหน เพ็งจันทร์ ปริญญาตรีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำลังศึกษาปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยของ Sasin Institute for Global Affairs (SIGA) ภายใต้สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การได้รับบทบาทนี้ เริ่มจากเขาเปิดให้แคส ซึ่งเดิมเลยก็ไม่ค่อยรู้จักข้อมูลของคุณจำกัดนัก รู้จักแต่เพียงเรื่องของอาจารย์ปรีดีและหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ บ้าง จากนั้นได้อ่านหนังสือเพื่อชาติเพื่อ humanity ก็รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มีความสำคัญจังเลยต่อประวัติศาสตร์ก็เลยสนใจ แคสอยู่นานมาก และสุดท้ายอาจารย์ก็บอกว่าไม่ได้ คือคุณเรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์มารับบทบาทคุณจำกัดฯ


คุณเสมอไหน เพ็งจันทร์รับบทบาทเป็น จำกัด พลางกูร

จากนั้น อาจารย์ถามว่าคุณยังจะเล่นบทอื่นอยู่หรือเปล่า ก็เลยตอบไปว่า ถ้าไม่ใช่บทคุณจำกัดฯ ก็ไม่เล่น แต่ให้ช่วยอะไรก็ช่วย จึงได้รับบทเป็นครูเตียง แต่ด้วยเงื่อนเวลาของเจมส์ฯ ไม่ได้ จนสุดท้ายอาจารย์ ผู้กำกับ และผู้ช่วยผู้กำกับเรียกไปคุยกันบอกว่าพวกเรามีมติให้คุณรับบทคุณจำกัด ซึ่งเดิมก็คิดว่าไม่ได้เล่นแม้จะคาดหวังลึกๆ อยู่บ้าง

พอได้รับเล่นบทคุณจำกัดแล้ว ความกดดันมันยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นบทที่ยากมาก เพราะคุณจำกัดฯ ที่เรารับบทคือคนทั่วไปที่มีอารมณ์โกรธหรือฉุนเฉียว ไม่ได้ถูกประกอบสร้างให้เขาต้องเป็นวีรบุรุษ หรือฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบมากๆ แต่พอได้สัมผัสและได้อ่านบันทึกประจำวันของเขา จึงเรียนรู้ว่าคนนี้ไม่เหมือนกับคนทั่วไปตรงที่มีความรักชาติอยู่มาก


สิ่งที่สะกดเขาไว้ว่า เพื่อชาติเขาต้องไปต่อ แต่ถามว่ามีวอกแวกหรือคิดถึงภรรยาไหม ก็มีบ้าง แต่คำว่าเพื่อชาติคำเดียวที่อาจารย์ปรีดีฯ ฝากไว้ ทำให้เขาสู้ต่อไป

เขามีความรู้สึกที่หลากหลาย เป็นพระเอกก็จริง แต่เขามีอารมณ์มีความกังวล ร้อนใจ จากบันทึกประจำวันของเขาแต่ละถ้อยคำที่เขาพูดมีหลากหลายอารมณ์มากๆ แค่คำเดียวว่าเพื่อชาติเท่านั้นเอง สิ่งที่ประทับใจเขา คือ เรากำลังถ่ายทอดบทบาทของวีรบุรุษที่มีตัวตนเป็นคนจริงๆ มีเรื่องราวที่เป็นคน ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เก่งเลย ดีใจที่ได้มีโอกาสสัมผัสเขา

รู้สึกอย่างไรกับละครเวทีเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นละครที่คนรุ่นหลังควรที่จะได้ดู ได้รับรู้เรื่องราวของคุณจำกัดฯ นอกจากการชื่นชมสิ่งที่เขาได้เสียสละแล้ว ยังเป็นการช่วยเตือนสติคนรุ่นหลังว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราก็ต้องคิดถึงส่วนรวมด้วย ไม่ใช่คิดถึงแต่ตนเองอย่างเดียว เปรียบเทียบกับคุณจำกัดที่เป็นนักเรียนนอก เขามีหน้าที่การงานที่ดีสามารถจะเจริญรุ่งโรจน์ต่อไปได้ แต่เขาก็ยอมทิ้งทุกอย่าง ซึ่งปัจจุบันนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น แต่คิดอะไรเพื่อส่วนรวมบ้างก็ดี

อย่างละครเวทีจากที่เราไม่เคยรู้จักกันเลย สุดท้ายทุกอย่างค่อยๆ หล่อหลอมและมีจุดมุ่งหมายที่เรามุ่งมั่นในการทำละครเวทีเรื่องนี้มากๆ ทั้งเพื่ออาจารย์ฉัตรทิพย์ อาจารย์ปรีชา และได้เชิดชูเกียรติของคุณจำกัดด้วย และยังได้พิสูจน์พวกเรากันเองที่จะก้าวผ่านความขัดแย้งไม่ลงรอยกันโดยที่มีเป้าหมายเดียวกัน

ละครเรื่องนี้สมกับชื่อจริงๆ เป็นการเสียสละคนละแบบที่แต่ละคนอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวด้วยการสละ

บางอย่างทั้งเวลาทั้งเงินที่ตัวเองเคยมี อาจารย์ฉัตรทิพย์บอกพวกเราทุกคนเสมอว่าเราไม่มีค่าตัวให้นะ มีอาหารการกินให้ แต่ว่าเพราะรักจึงสมัครใจเล่น ซึ่งเป็นคำที่บอกตัวเองอยู่เสมอเวลาที่เราท้อ

กว่าจะเป็นละครเวทีเรื่องนี้ได้ เมื่อย้อนเวลากลับไปดู จริงๆ มันเป็นเรื่องยากนะเพราะพวกเรามือใหม่หมดเลย ซึ่งมีไม่กี่คนที่มีประสบการณ์ และมีความบังเอิญหลายอย่างเช่น มีผู้ประกาศข่าว มีนักแสดง มีนักเปียโน เพื่อนพ้องมาร่วมกันช่วยจนเป็นละครเรื่องนี้ขึ้นมาได้

คุณูปการของเรื่องนี้ก็คงเข้าใจอยู่แล้ว ซึ่งมันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ แม้จะมีความขัดแย้งอยู่บ้างแต่เราก็มีเป้าหมายเดียวกัน


chamkad balangkura, จำกัด พลางกูร

ฉากที่ประทับใจที่สุด ฉากลาอาจารย์ปรีดีฯ เป็นฉากที่พูดน้อยมาก คือเหมือนเราให้ไปหมดแล้วและคุณสุรเดช สุวรรณโมราที่รับบทบาทเป็นอาจารย์ปรีดีส่งให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคุณจำกัดที่สละให้ได้ทุกอย่างเบื้องหลังและไปข้างหน้า เป็นจุดเริ่มแรกที่เดินไปภารกิจ รู้สึกน้ำตาคลอทุกครั้งที่เล่นฉากนี้

ผมได้อ่านบันทึกประจำวันของคุณจำกัดซึ่งก็ได้เขียนว่า ตอนที่อาจารย์ปรีดีพูดกับเขา เขาน้ำตาคลอ จึงรู้สึกร่วมไปด้วย คือให้สละชีพเพื่อชาติไป และคำนี้เป็นคำที่ประทับใจและตราตรึงใจตลอดเวลาที่ปฏิบัติภารกิจ คือเป็นคำที่ตราตรึงในใจคุณจำกัดไว้และยึดเหนี่ยวเขาไว้อย่างเหนียวแน่น และฉากที่ลาคุณฉลบชลัยย์ซึ่งเป็นความรู้สึกต่อสู้กันระหว่างการรักภรรยากับการรักชาติ ซึ่งได้อ่านบันทึกของเขา มันให้ความรู้สึกว่าจังหวะนี้มันโหวงไปหมด รักภรรยา เป็นห่วง แต่ชาติก็ต้องทำเพราะรับปากอาจารย์ปรีดีฯ ไว้แล้ว ซึ่งเขาก็เขียนไว้ว่า จนสุดท้ายก็เลือกรักชาติ

เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ได้เผยแพร่ออกไปแล้ว อยากฝากให้สังคมได้หันกลับมามองกรณีของคุณจำกัดว่าเป็นกรณีศึกษา ที่ในประวัติศาสตร์ของเรา ยังมีอีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง อยากให้ตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ อยากให้เห็นถึงส่วนรวมมากขึ้น อยากให้มองว่าเราทำอะไรกับสังคมได้บ้างต่อประเทศชาติได้บ้าง


แรงบันดาลใจจากละครเวทีเรื่องนี้ ในชีวิตจริง ผมกำลังจะไปเกณฑ์ทหารซึ่งผ่อนผันมาหลายปีแล้วจนไม่สามารถผ่อนผันได้ ญาติ หรือครอบครัวก็อยากให้เราเรียนให้จบก่อน ซึ่งเราก็ลังเล เพราะที่บ้านก็ห่วงว่าจะถูกส่งตัวไปสามจังหวัดชายแดนใต้

เราลังเลอยู่มาก ซึ่งมันก็จะมีเรื่องการติดสินบนที่มันต่อสู้กับหลักการของเราอยู่ เพราะเราทำเพื่อสังคมมาเยอะ จนต่อมาได้รับบทนี้แล้ว รู้สึกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ได้เลย ไม่ลังเลเลยที่จะตัดสินใจว่าต้องไปเกณฑ์ทหาร เพราะเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรับใช้ชาติ เพราะเราไม่ได้เรียน ร.ด. และการรับบทคุณจำกัด ฯ ทำให้ผมรู้สึกว่า..มันคงประหลาดน่าดูนะ หากเราเลือกที่จะใช้วิธีลัดด้วยการติดสินบนและมันจะขัดแย้งในตัวเราตลอดเวลา จึงทำให้เราตัดสินใจเช่นนี้ นี่คือแรงบันดาลใจ
พันโทหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์

รับบทบาทโดยคุณจาตุรนต์ อำไพ ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ และปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สาเหตุที่มาเล่นละครเรื่องนี้ ยอมรับว่าครั้งแรกก็พอทราบเรื่องคุณจำกัดฯ และเรื่องราวของเสรีไทยอยู่บ้าง เนื่องจากอาจารย์ฉัตรทิพย์ฯ ก็เคยเกริ่นให้ฟัง พอทราบบ้างว่ามีความสำคัญ แต่ที่ตัดสินใจรับเล่นก็เพื่ออาจารย์ด้วยและเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ และเป็นการทำงานให้เศรษฐศาสตร์การเมือง จึงรับเล่น ตอนเล่นก็สนุกดี ได้รู้จักเพื่อนใหม่ทำให้สนิทแนบแน่นกันมากขึ้น


คุณจาตุรนต์ อำไพ รับบทบาทเป็นหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน

แต่พอเล่นเป็น หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ก็พอรู้อยู่บ้างว่าตัวละครนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์พอสมควร ยิ่งได้ศึกษาลงลึกจริงๆ แล้ว จึงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ปิดทองหลังพระ เป็นพระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งอยู่ฝ่ายเจ้า พอปี 2475 ถูกโค่นล้มอำนาจ อย่างที่รู้กันว่า รัชกาลที่ 7 พยายามสนับสนุนลับๆ ในพวกกบฏบวรเดช ซึ่งเมื่อเกิดขบวนการบวรเดช ฝ่ายคณะราษฎรก็พยายามปราบปรามขบวนการบวรเดช

หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ก็เป็นคนที่ปล้นรถไฟเพื่อฝ่ายเจ้าทั้งหลายให้หนีลงสงขลา สถานะของเขาหลังจากกบฏบวรเดชสำคัญมาก เพราะเขาเป็นนักโทษลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่อังกฤษ คือจุดเริ่มต้นมีความขัดแย้งกับคณะราษฎรอย่างเต็มที่ เป็นนักโทษลี้ภัยทางการเมือง แต่ว่าพอเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง รัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติแล้ว จากนั้นก็เสด็จสวรรคตในปี 2484 และรัชกาลที่ 8 ก็เสด็จขึ้นทรงราชย์

ส่วนหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ขณะที่อยู่อังกฤษ เมื่อญี่ปุ่นบุกไทย ทางฝั่งอเมริกาโดย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ก็ตั้งเสรีไทยในอเมริกา อาจารย์ปรีดีฯ พยายามตั้งภายในประเทศแต่ไม่มีใครรู้ ส่วนอังกฤษรู้ว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ถือเป็นคนแรกในอังกฤษที่ไม่ยอมรับที่จะเข้ากับญี่ปุ่น โดยเขียนจดหมายไปหาเชอร์ชิล บอกว่าขอร่วมสู้ด้วย และพยายามติดต่อกับ ม.ร.ว. เสนีย์ว่า ขอเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยด้วย

ดังนั้น โดยความสำคัญคือ เขาแทบจะเป็นเสรีไทยสายอังกฤษคนแรกๆ เลย ที่ได้ติดต่อกับทางอังกฤษ และทางนั้นเห็นว่าเขาเป็นคนไทยและเป็นเจ้ามาก่อน อังกฤษจึงค่อนข้างจะตอบรับพอสมควร โดยอังกฤษเองก็ให้บทบาทที่สำคัญกับหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์คืออยู่ในกองทหารที่มีหน้าที่แบบอยู่ในคณะเสนาธิการวางแผนการรบ เพราะว่าเป็นคนไทย มีเป้าหมายหลักคือให้ทำแผนที่ทหาร

ความสำคัญของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์คือค่อนข้างใกล้ชิดกับรัฐบาลอังกฤษ กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมอังกฤษ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเสรีไทยตรงที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ดำเนินยุทธวิธีทุกอย่างที่เป็นตัวกลางคอยเจรจากับทางฝ่ายอังกฤษให้มีท่าทีต่อไทยที่อ่อนลง หลังทราบข่าวจำกัด หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์พยายามติดต่อกับจำกัดและนำข่าวจากจำกัดว่ามีเสรีไทยในประเทศไปคุยกับเสรีไทยในอังกฤษให้อังกฤษโอนอ่อนลง รับรองปรีดี



ฉากที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน (จาตุรนต์ อำไพ) พบปะกับ จำกัด พลางกูร (เสมอไหน เพ็งจันทร์) เพื่อหารือกัน

เขาพยายามจะเชื่อมเสรีไทยสายต่างๆ แต่ทางสายอเมริกันค่อนข้างจะไม่ให้ความสนใจเขานัก รวมทั้งคนไทยในอังกฤษที่ร่วมขบวนการด้วยค่อนข้างที่จะไม่ค่อยเชื่อใจหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ คือกลัวว่าจะรื้อฟื้นระบอบเจ้าขึ้นมาใหม่ ซึ่งเขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการฟื้นขึ้นมา ต้องการจะกู้ชาติอย่างเดียว (ตามที่ในบทละครเขียน)

จนแม้กระทั่งว่าหลังจากจำกัดมรณกรรมไปแล้ว หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ยังวางแผนการรบกับอังกฤษและได้เข้ามาในไทยโดยที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ยินยอมรับให้อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้าขบวนการอย่างเต็มที่

โดยยินยอมที่จะเขียนจดหมายปฏิญาณตน เพื่อแสดงเจตจำนงว่าทำเช่นนี้เพื่อชาติโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังฟื้นระบอบเจ้า เป็นลายลักษณ์อักษรไว้ โดยยินดีให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง แม้ใครไม่ให้ความร่วมมือเขาก็ยินดีที่จะช่วยเพื่อทำทุกวิถีทางที่ขบวนการจะขับเคลื่อนไปต่อได้

เมื่อรู้ข่าวก็พยายามส่งไปยังสายในอเมริกาแม้ว่าสายอเมริกาไม่ตอบอะไรกลับก็ได้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารต่างๆ เขาเป็นตัวกลางระหว่างเสรีไทยกันเอง เป็นตัวกลางระหว่างไทยกับอังกฤษ ซึ่งเขาพยายาม low profile ว่าใครไม่ให้การต้อนรับก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ได้ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติเดินหน้าทำต่อไปโดยไม่เรียกร้องว่าต้องการอะไรบ้าง

ตอนที่เขาเข้ามาเมืองไทยและร่วมกันวางแผน เขาบอกกับปรีดีว่าเสรีไทยต้องไม่ได้รับการปูนบำเหน็จหรือสิทธิพิเศษอันใดนะ เพราะทุกคนทำเพื่อชาติ และเขาบอกกับปรีดีว่า สิ่งที่เขาขอมีเพียงสองเรื่องในบันทึกว่า ขอให้ปล่อยนักโทษการเมือง (แม้จะเป็นฝั่งเขา แต่ก็เป็นความสมานฉันท์ในชาติ) และขอให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ซึ่งอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า มี fair plays in politics ด้วย ให้เล่นการเมืองอย่างขาวสะอาดไม่ใส่ร้ายป้ายสีกัน

แม้ว่าคุณูปการเขาจะมากมายแต่สิ่งที่เขาขอกลับไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาโดยส่วนตัวเลย ทำเพื่อประเทศชาติทั้งนั้น โดยไม่มุ่งหวังให้ใครเชิดชูเกียรติ

เมื่อมาศึกษา จึงรู้สึกว่าเขาเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของคนทำประโยชน์ให้ประเทศชาติไม่จำเป็นต้องหวังผลตอบแทน ต่อให้ถูกใครไม่ให้ความร่วมมือ ค่อนขอด ไม่ไว้วางใจ แต่เป้าหมายก็ยังเดินหน้าจะทำเพื่อชาติ จุดประสงค์หลักคือทำเพื่อชาติเท่านั้น คนรุ่นหลังน่าจะเอาอย่างและถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเจ้าด้วยแต่เขาก็ยินยอมให้ปรีดีเป็นผู้นำ

เขาเป็นคนหยิบยกประเด็นนี้ต่ออังกฤษ โดยที่อังกฤษก็ถามเลยว่ามีเสรีไทยในประเทศจริงหรือเปล่า และถ้ามีน่าจะเป็นใคร เขาตอบว่ามีเมื่อเขาสืบค้นดูจึงรู้ว่าเป็นปรีดี เขาก็พยายามบอกอังกฤษว่าให้ช่วยสนับสนุนด้วยให้ปรีดีออกมาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้ได้นะ เพราะหากทางอังกฤษไม่สนับสนุนแล้ว ปรีดีกับจำกัดจัดตั้งคณะรัฐบาลที่จีนอาจจะทำให้อังกฤษถูกละทิ้งความสนใจได้ เขาพยายามอย่างต่อเนื่องจนอังกฤษเห็นด้วย เพียงแต่บางปฏิบัติการมันยังไม่สำเร็จเพราะสงครามมันก็จบก่อน



คณะราษฎร เพื่อชาติ เพื่อ humanity [**นับจากซ้าย] หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ (อรรถวิท เจริญเวียงเวชกิจ) หลวงบรรณากรโกวิท (ร้อยเอกศิวพงศ์ กุศลภุชฌงค์) วิจิตร ลุลิตานนท์ (สุรพร ถาวรพานิช) ปรีดี พนมยงค์ (สุรเดช สุวรรณโมรา) ถวิล อุดล (พลจิรันต์ สิริพรพัฒนชัย) สงวน ตุลารักษ์ (อติชาติ วงศ์วุฒิวัฒน์)

บันทึกของ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ จัดทำหลังจากเขามรณกรรมแล้ว คนรู้เรื่องราวของเขาน้อยมาก แม้แต่ลูกหลานเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน จนอีก 33 ปีจะครบ 100 ปีการมรณกรรมถึงเพิ่งมาเห็นบันทึกและเพิ่งทราบกันว่าพ่อเขามีความสำคัญ และเป็นคนที่ถูกลืมจริงๆ แม้จำกัดฯ จะเหมือนกับว่าถูกลืมแล้วแต่ อาจารย์ฉัตรทิพย์ฯ ก็ฟื้นจำกัดขึ้นมาแล้ว

แต่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ยังเป็นคนที่ถูกลืมอยู่ แต่ผมเชื่อว่าโดย nature ของเขา ทำให้เชื่อได้ว่าเขาก็ไม่สนใจอยากจะให้ใครรับรู้ว่าเขาทำอะไร เพราะจุดมุ่งหมายเขานั้นชัดเจนที่ว่าเขาทำเพื่อชาติ ไม่ได้คาดหวังอะไร เขาค่อนข้างใจนักเลง แม้เคยขัดแย้งกับปรีดีแต่เห็นปรีดีทำเพื่อบ้านเมืองเขาก็สนับสนุนปรีดีเต็มที่

เขามีจุดยืนชัดเจน แต่ทิ้งความขัดแย้งส่วนตนเพราะเห็นว่าปรีดีทำเพื่อชาติจริงๆ จึงสนับสนุน

หากถามว่าชอบฉากไหน ก็บอกได้ว่าชอบหลายฉาก แต่ฉากที่ตัวเองเล่น ไม่ได้ชอบในความสนุกของฉาก แต่ชอบในตัวบทของฉาก ซึ่งทุกคำพูดนั้น ผู้แต่งคืออาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคุณอัจฉรา ทองรอด วติวุฒิพงศ์ร่วมเขียนด้วย ในตัวบทได้ใส่ความเป็นตัวตนของ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ลงไปแล้ว ใส่ความสำคัญทุกอย่าง แต่บทเพียงเท่านั้นไม่สามารถเห็นถึงความสำคัญของเขาได้มาก

แต่ถ้ารู้เรื่องราวแล้ว นั่นคือหัวใจของศุภสวัสดิ์และเป็นเช่นนั้นจริง ซึ่งแม้ตอนอ่านบทครั้งแรกไม่คิดว่าจะสะท้อนตัวตนเขาขนาดนี้ ทุก wording มีความหมายทุกอัน เป็น key message ทุกบทที่พูด แม้แต่กระทั่งคำถามที่ว่า “นักโทษการเมืองเล่าจะว่าอย่างไร?” และการทำให้เป็นประชาธิปไตยคือสองสิ่งที่เขาขอ เลยรู้สึกว่าชอบบทนี้และจะพยายามถ่ายทอดออกมาให้ดี

โดยรวม ละครเวทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี การได้รื้อฟื้นประวัติศาสตร์ก็ดีอยู่แล้วซึ่งมีหลายเหตุผลที่ถูกทำให้เลือนหายไป สิ่งที่อาจารย์ทำก็ค่อนข้างยิ่งใหญ่ แต่ที่น่าเสียดายก็คือยังไม่ถึงเผยแพร่ในจุดวงกว้างได้มากเท่าที่ควร ด้วยขีดจำกัดหลายๆ อย่างของการทำละครของเรา

น่าเสียดายในความรู้สึกของเรา ใจของเราอยากให้มีการเพิ่มรอบละครเวที แต่ไม่ได้อยากให้เพิ่มรอบเพราะอยากให้คนมาดูว่าเราเล่นละครอย่างไร แต่สิ่งที่อยากให้เพิ่มรอบคืออยากให้เป็นกระแส อยากให้สังคมไทยได้รับรู้เรื่องนี้จริงๆ

แรงบันดาลใจที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ คือได้ข้อคิดที่ว่า ในการเป็นเสรีไทยคือการต้องมาเป็นยินยอมพร้อมใจทำตามปรีดี การที่เขาเป็นเจ้าและต้องมาเป็นลูกน้องคนที่เคยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และแม้ว่าในขบวนการไม่ค่อยให้ความร่วมมือและค่อนข้างระแวงเขา เขาก็ยังมุ่งหน้าทำงานต่อไป

ข้อคิดของละครเวทีเรื่องนี้ที่ผมมองคือ ถ้าอะไรที่ทำเพื่อชาติจริงๆ ก็ทำโดยไม่ต้องหวังอะไรก็ได้ 100 ปีที่ผ่านมา วันหนึ่งสุดท้ายก็ยังมีคนที่เห็น อย่างผมอาจจะเห็นไม่เยอะ แต่ก็เห็นบ้างว่ามีความสำคัญจริงๆ ถ้าทำอะไรเพื่อส่วนรวมและมีโอกาสทำได้ ก็เท่ห์ดีนะ เพราะเป็นการทำที่ไม่ต้องทำให้คนอื่นเห็นก็ได้ ถ้าของเราดีจริง ทองแท้วันหนึ่งก็ต้องมีคนเห็น

ทำเพื่อประเทศชาติก็คือทำอะไรได้ก็ทำไป ลบล้างตัวตนเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ต่อไปนี้ก็จะพยายามดำเนินทิศทางไปแบบนี้ ถ้าทำได้ ถ้ามีโอกาส


ทำอะไรเพื่อประเทศชาติก็ทำไปเถอะ อย่ามัวแต่มานั่งตีกันเลย ยึดสิ่งที่เป็นประโยชน์ของชาติ ไม่ต้องตีกัน คนเขาเคยเกลียดกันขนาดนั้นก็ยังจับมือกันได้ คือคนในยุคก่อน เขาเล่นการเมืองแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายเขาไม่ได้ทำให้บ้านเมืองพินาศ ถึงจุดหนึ่งที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองก็ทิ้งทุกอย่างได้เพื่อร่วมมือกันและทำให้บ้านเมืองไปรอด

แต่สังคมไทยตอนนี้อาจไม่เป็นอย่างนั้น ต่างคนต่างมีตัวตน ประเทศชาติเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ ฉันถูกก็ไม่คิดจะยอมใคร มันก็ไปต่อไม่ได้ ชอบบทนี้เพราะสะท้อนตัวเขาแต่ค่อนข้างร่วมสมัยกับเหตุการณ์ปัจจุบันและเป็นตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนว่าต้องลดอัตตาตัวเองลงและคิดถึงบ้านเมือง ไม่งั้นก็ไปต่อไม่ได้

เขาบอกว่าการเมืองไทยมันจะพล็อตเรื่องเดิมแค่เปลี่ยนตัวแสดง มันก็คล้ายๆ กัน แต่สมัยนั้นอยู่ในภาวะสงคราม ก็อาจจะมีมูลเหตุให้รวมกันได้กว่าตอนนี้ แต่ถ้ายึดตรงนั้นเป็นที่ตั้งกับเหตุการณ์ตอนนี้ว่าบ้านเมืองจะแตกแยกเพราะสงครามภายใน และถ้าจะหันหน้าเข้ามาร่วมกันได้จริงๆ ทิ้งตัวตนมันก็น่าจะดี โดยที่ไม่ต้องมาหวังว่าร่วมกันแล้วฉันจะต้องเป็นใหญ่หรือมีชื่อเสียงอะไร คือทำไปเถอะ

สิ่งหนึ่งที่พยายามเล่นให้เขา แน่อนอนการทำให้คนตายฟื้นคืนมาก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ทำดีอย่างไรก็อาจจะไม่รับรู้ คือคนอาจจะรับรู้เขาเป็นวีรบุรุษในระดับหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งคือ การกู้ศักดิ์ศรีให้วงศ์ตระกูลเขาด้วย หลังจากปรีดีฯ ไป และเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามปรีดีฯ เช่นกัน

ชื่อของ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ก็ไม่ค่อยจะมีคนรู้จัก ลูกหลานเองก็เสียใจที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์พ่อเขา คือเพิ่งจะมาสืบค้นข้อมูลกัน คือคิดว่าหากทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจได้ ก็เป็นการกอบกู้เกียรติยศให้หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์และลูกหลานสายตระกูลเขา พ่อเขา ทำเพื่อประเทศชาตินะ ก็อยากให้คนที่อยู่ข้างหลังยังมีที่ยืนอยู่ในสังคมอยู่บ้างครับ
เตียง ศิริขันธ์

รับบทบาทโดยธีรพงศ์ ไชยมังคละ และหน้าที่วิจัยค้นคว้า ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาราชภัฏจันทรเกษม

ผมเป็นนักวิจัยที่ช่วยดูสถานการณ์โดยรวม ทั้งลำดับเวลา อุปกรณ์ต่างๆ ว่าในช่วงเวลานั้นเป็นไปได้หรือไม่ เรามีข้อถกเถียงกันเยอะในการตีความบางอย่าง เช่น ชุดเสื้อผ้า โคมไฟ ไมโครโฟนว่าทำไมต้องของ SONY เพราะไม่ได้ค้าขายกับอเมริกา แต่ก็มีข้อจำกัดในด้านงบประมาณ และยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอีกทั้งข้อมูลสืบค้นค่อนข้างยาก



คุณธีรพงศ์ ไชยมังคละ รับบทบาทเป็น เตียง ศิริขันธ์

ครูเตียงเป็นเพื่อนสนิทคุณจำกัด ซึ่งได้คาแรกเตอร์มาจากพ่อของคุณเตียงฯ ที่เป็นพ่อค้า ครูเตียงมาเรียนที่กรุงเทพฯ และกลับมาเป็นครู ซึ่งถูกข้อหาคอมมิวนิสต์ จากนั้นก็มาสมัครเป็น สส. ซึ่งมีอิทธิพลมากในภาคอีสาน หลังจากอาจารย์ปรีดีโดนข้อหาให้ออกนอกประเทศ เขาสามารถทำให้รัฐบาลกลางบอกว่าเป็นกบฏแบ่งแย่งดินแดนได้เลย

บทบาทที่ได้รับนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติเพราะเดิมสนใจเป็นเพียงนักวิจัยช่วยอาจารย์ฉัตรทิพย์ ผมรู้จักจำกัดก่อนทุกคนในทีมว่าเขาทำอะไร ตกลงใจทำงานวิจัยเพราะภาพของคณะราษฎรเป็นภาพของกลุ่มที่เหยียบเรือสองแคม พอทีแรกเข้าข้างญี่ปุ่น พอญี่ปุ่นจะแพ้ก็เปลี่ยนข้าง ซึ่งตามจริงคิดว่าสิ่งนี้เป็นการ discredit ของคณะราษฎรด้วยตัวมันเอง ทำให้อำนาจอย่างหลังฟื้นขึ้นมาได้

ต่อจากนั้น ผมค้นพบว่ามันมีกลไกและรายละเอียดที่น่าจะบอกได้ว่าไม่ใช่การเหยียบเรือสองแคม และเรื่องราวของคุณจำกัดฯ ทำให้น่าสนใจศึกษาเลยเข้ามาทำในส่วนของวิจัย

เดิมเราเลือกคุณเจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ (ศิษย์เก่าสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เป็นคุณจำกัด พลางกูร ซึ่งเดิมรับปากไว้ ขณะที่คุณเสมอไหน เพ็งจันทร์ซึ่งรับบทเป็นคุณจำกัดในปัจจุบันในขณะนั้นแจ้งไว้ว่าถ้าไม่ได้รับบทบาทเป็นคุณจำกัดก็จะไม่รับบทบาทใดๆ เลย

จนกระทั่งคุณเจมส์ฯ ไม่สะดวกอย่างชัดเจน สุดท้ายบทคุณจำกัดจึงมาลงตัวที่คุณเสมอไหน ส่วนบทคุณเตียงว่าง ผมก็เลยได้รับบทบาทนี้เพราะช่วงนั้นไม่ค่อยมีคนสนใจงานละครเวทีนัก

สาเหตุที่สนใจเรื่องคุณจำกัด เริ่มมาจากอาจารย์ฉัตรทิพย์ที่ให้ความสนใจคุณจำกัดมากจนกระทั่งนำไปเขียนอยู่ในคำนำของหนังสือเรื่องเศรษฐกิจการเมืองซึ่งพิมพ์ครั้งที่ 6 ท่านเขียนทำนองว่า เศรษฐศาสตร์ที่เป็นสถาบันนั้น เราจะต้องดูสปิริตและไอเดียของมันด้วย ซึ่งท่านได้คำนี้มาจากการอ่านงานของคุณจำกัดผมจึงติดตามงานอ่านหนังสือเพื่อชาติ เพื่อ humanity ของอาจารย์ฉัตรทิพย์

ผมได้พบบทสนทนาระหว่างคุณจำกัดและหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยคือความขัดแย้งระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายประชาธิปไตย จากนั้นจึงสืบค้นเรื่องของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ก็พบว่าท่านทรงอิทธิพลมาก ซึ่งเป็นฝ่ายเจ้าสายใหม่ที่มีบทบาทเยอะ และคิดว่าเป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่ายที่มาสนทนาที่ทำให้รู้สึกว่าทำเพื่อชาติจริง

ฉากที่คุณจำกัดลาท่านปรีดีฯ ก็หันมาถามว่าจะได้รับความร่วมมือจริงหรือเปล่า ท่านปรีดีก็พูดว่าช่วงสงครามไม่มีใครเขาคิดเรื่องนี้หรอก เหล่านี้มีเรื่องราวให้รู้มากกว่าจะไปรับทราบเรื่องเสรีไทยจากละครที่โด่งดังก็คือ “คู่กรรม” บดบัง จนเสรีไทยกลายเป็นผู้ร้าย หากจะวัดกันตามจริงแล้ว ผลอะไรจะเกิดขึ้นจากละครเวทีเรื่องนี้ ผมคิดว่าละครเรื่องคู่กรรมจะทำไม่ได้อีก ถ้าผลิตออกมาอีกก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทุกคนรับรู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องบิดเบือน

ละครเวทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีน่าจัดทำขึ้น ซึ่งแม้ก่อนหน้านั้นอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากศักยภาพของผู้ที่เกี่ยวข้องพอสมควร และยังเป็นโอกาสที่ดีที่ครบรอบ 72 ปีอาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และอาจารย์ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ด้วย อีกทั้งคุณฉลบชลัยย์ที่เป็นบุคคลเดียวในละครที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้ดูละครไปด้วย

ฉากที่ประทับใจที่สุดน่าประทับใจทุกฉาก แต่ฉากที่เป็นจังหวัดสกลนครน่าสนใจมาก เพราะว่าแสดงให้เห็นถึงกองกำลังที่เป็นจริงของเสรีไทยจริงๆ ตามบริบททางประวัติศาสตร์มีผู้ชายไทยเกือบทุกคนถูกเกณฑ์ไปรบจนตั้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และยังสร้างความฮึกเหิมด้วยที่สามารถเอาดินแดนที่เสียไปใน ร.ศ. 112 คืน

ดังนั้น ฉากนี้ชาวบ้านเสียสละมากกว่าอีกและไม่ได้อยู่ในโครงสร้างของราชการที่มาร่วมใจกันเอง ขณะที่ทหารไปด้วยงบประมาณของรัฐบาล แต่ชาวบ้านไปเองและไม่รู้ว่าจะได้ผลตอบแทนอะไรด้วย ซึ่งเขาก็ทำเต็มที่ นำโดยเตียง ศิริขันธ์ ซึ่งสะท้อนอะไรหลายอย่าง หลัง 2475 จริงๆแล้วมีเป้าหมายแตกต่าง 2 อย่างที่ผมเห็นชัดคือ อยากให้ประเทศเจริญทัดเทียมนานาประเทศเพราะญี่ปุ่นพอเปลี่ยนสมัยเมจิ ประเทศก็รุ่งเรืองมาได้

ขณะที่เตียงฯ ซึ่งอยู่อีสานและเป็นดินแดนที่ถูกกดขี่โดยระบบปกครองเดิมมาก เขาเลยพูดว่า “ผมอยากให้ราษฎรทุกคนในประเทศมีสิทธิเท่าเทียมกัน” ซึ่งมีความขัดแย้งนิดหน่อยระหว่างการเมืองกับประชาธิปไตย และเห็นชัดขึ้นในปี 2490 ซึ่งเขาใช้วัฒนธรรมรังเกียจอีสานทั้งหมด ทำให้ สส. อีสานทุกคนถูกยิงที่หลักสี่ แต่ผมว่ามันมาจากแนวคิดที่อีสานไม่เท่าเรา

อย่างน้อยสังคมได้รับรู้เรื่องนี้ได้ตระหนักว่า การที่เราเป็นประเทศและมีศักดิ์ศรีมาได้ทุกวันนี้เกิดจากความตั้งใจ ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของใครบางคน
ฉลบชลัยย์ พลางกูร

รับบทบาทโดย เกศสุดา ทองนะ และหน้าที่เหรัญญิก ปริญญาตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังศึกษาปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับราชการเป็นนักการทูตปฏิบัติการ กระทรวงการต่างประเทศ

บทบาทของคุณฉลบชลัยย์ที่ได้รับทำให้รู้สึกเกร็ง เพราะน่าจะเป็นเพียงบุคคลเดียวในละครเวทีเรื่องนี้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การเล่นแทนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และอาจารย์บอกว่าท่านจะมาร่วมชมด้วยนั้น เราก็รู้สึกว่าเราจะเล่นได้ตรงกับที่ท่านเป็นหรือเปล่า พอทุกคนเพิ่มความมั่นใจให้ จึงค่อยรู้สึกว่าการได้เล่นบทของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเรื่อง เราสามารถที่จะศึกษาตัวละครที่ไม่เข้าใจอะไร ก็สามารถถามได้ พอศึกษาประวัติมากขึ้น ก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เล่นบทนี้ เพราะท่านเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเข้มแข็งและเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนที่ตัวเองรักและเพื่อส่วนรวมทั้งหมดได้มากขนาดนี้



การจากลาอย่างไม่มีวันหวนกลับของฉลบชลัยย์ พลางกูร (เกศสุดา ทองนะ) และจำกัด พลางกูร (เสมอไหน เพ็งจันทร์)

มันไม่ใช่การที่จากคนรักไปอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผลหลังจากที่คนรักจากไปด้วย ที่ได้สร้างคุณูปการให้สังคมอีกจำนวนมาก ท่านเป็นเหมือนบ้านให้แก่ลูกหลานขบวนการเสรีไทยที่หลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว ก็ได้รับผลกระทบจากการที่ครอบครัวถูกจับและถูกตั้งข้อหากบฏ ท่านให้ความคุ้มครองแก่เด็กๆ เหล่านั้น เมื่อหมดยุคสมัยนั้นแล้วท่านก็เปิดโรงเรียนและตั้งมั่นอยู่ในอุดมการณ์ที่คุณจำกัดและท่านได้คิดไว้ว่าจะสร้างโรงเรียนที่จะผลิตคนเพื่อเป็นกำลังของสังคมและเติบโตมาแบบเด็กดี เป็นคนที่เข้ามาช่วยสังคมในหลายๆ ส่วน

หลังจากอ่านบทประพันธ์ของอาจารย์ฉัตรทิพย์ฯ เหมือนเป็นงานวิจัยย่อยๆ ที่เป็นภารกิจเดินทางแกะรอยคุณจำกัด แรกเริ่ม รู้สึกสนุกกับการอ่านเรื่องราวของคุณจำกัดฯ และมีโอกาสได้อ่านบันทึกประจำวันของคุณจำกัดฯ จากหอจดหมายเหตุ แทบจะเรียกได้ว่าเรื่องนี้ที่เป็นละครประวัติศาสตร์ที่ 99% เป็นเรื่องจริง นี่เรายังไม่ได้พูดถึงในแง่ความจริงที่คุณจำกัดถ่ายทอดออกมา โดยที่เราไม่ได้มองว่ามีใครโต้เถียงอะไรมาก่อนนะ

น่าดีใจที่จะได้ทำละครเวทีเรื่องนี้ออกมา หลังจากที่อาจารย์เขียนออกมา 7 ปีแล้วยังไม่ได้สร้างขึ้น น่าดีใจแทนคนรุ่นหลังที่จะได้รู้จักอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่อาจไม่ได้ถูกเอ่ยถึงเลย หรือไม่ได้ถูกเอ่ยถึงบ่อยนัก รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งให้คนในสังคมได้รู้จักคนคนนี้มากขึ้น เพราะเคยถามคนหลายคน ซึ่งเรามีเพื่อนที่เป็นเด็กธรรมศาสตร์ เราจะรู้สึกว่าเด็กธรรมศาสตร์มักจะอินหรือรู้สึกร่วมไปกับยุคของประชาธิปไตย ยุคของเสรีไทย เพราะทุกคนก็รู้ว่าท่านปรีดีเป็นผู้ประสิทธิประสาทมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะฉะนั้น เราก็จะลองถามว่าคุณรู้จักกับคุณจำกัดฯ ไหม ซึ่งส่วนใหญ่แทบจะไม่รู้จักและมันก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย

ฉากอะไรที่ประทับใจที่สุด คือฉากจำกัดลาท่านอาจารย์ปรีดี เป็นฉากที่ท่านอาจารย์และคณะราษฎรรวมทั้งคุณเตียง ศิริขันธ์ ลงความเห็นพร้อมกันแล้วว่าขบวนการจะก่อตั้งขบวนการกู้ชาติขึ้นมา และส่วนสำคัญของกระบวนการขึ้นมาคือชาวบ้าน มันจะเป็นขบวนการกู้ชาติขึ้นไม่ได้เลยหากขาดกำลังสำคัญคือชาวบ้าน ซึ่งคุณจำกัดสนิทสนมกับคุณเตียงที่เป็น ส.ส. ภาคอีสานที่มีฐานเสียงเป็นชาวบ้านอยู่มาก

ฉากนั้นเป็นฉากที่เมื่อคุณจำกัดได้รับภารกิจกู้ชาติขึ้นมา คุณจำกัดก็จะเดินทางไปสกลนคร ในภารกิจนี้มันอันตราย ก่อนที่จะลาจากกัน ท่านอาจารย์ปรีดีก็กล่าวกับคุณจำกัดว่า เคราะห์ดีที่สุดอีก 45 ปีอาจได้เจอกัน เคราะห์ไม่ดีนักก็ 2 ปี เคราะห์ร้ายที่สุดก็ให้คิดว่าสละชีพเพื่อชาติไป เป็นประโยคที่ประทับใจมาก

สิ่งที่อยากฝากให้สังคมหลังละครเวทีเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปคือ ยุคสมัยนี้อาจจะแทบไม่ได้เห็นคน หรือกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ที่เสียสละ อุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริงๆ ณ จุดนั้น คุณจำกัด คิดอย่างเดียวว่าเพื่อชาติ สิ่งที่ทำคุณจำกัดอาจจะคิดว่าทำให้ไทยรอดพ้นจากสงครามและการเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร

แต่ผลในระยะยาว คุณูปการที่คุณจำกัดสร้างมันยิ่งใหญ่มหาศาลมาก เสียสละแบบคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน แม้ว่าคุณจะเป็นคนตัวเล็กๆ คนเดียวที่อาจไม่มีอะไรเลย คุณก็อาจจะทำคุณประโยชน์เพื่อชาติได้


ฉลบชลัยย์ พลางกูร (เกศสุดา ทองนะ)

เราไม่ปฏิเสธว่าสังคมเต็มไปด้วยชนชั้นที่หลากหลาย ยุคสมัยหนึ่งเราอาจเห็นชาวบ้านล้าหลังและไม่มีกำลังเพียงพอที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เรื่องนี้จะทำให้เห็นความสำคัญของชาวบ้านที่มีต่อสังคมไทย ในยุคสมัยนั้น ความมั่นคงของชาติไม่ได้อยู่ที่ทหาร หรือผู้ที่มีอำนาจสูงที่สุด หรือผู้ที่เป็นตัวแทนในการใช้อำนาจแทนประชาชนเท่านั้น อำนาจอยู่ในมือประชาชน

แรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ โดยส่วนตัวศึกษาสตรีนิยม ซึ่งละครเรื่องนี้ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชาย ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการขับเคลื่อนที่เราเห็นชัดไม่ปฏิเสธว่าเป็นผู้ชาย แต่เบื้องหลัง การสร้างคน การขับเคลื่อนก็มีส่วนผลักดันจากผู้หญิงด้วย ตามจริงแล้วไม่สำคัญว่าผู้หญิงหรือผู้ชายในการช่วยกันสร้างสังคมให้ดีขึ้นได้

*หมายเหตุ บทสัมภาษณ์กองละครเวทีเรื่อง เพื่อชาติ เพื่อ humanity นี้ จัดทำขึ้นเพื่อร่วมรำลึกและสดุดีวีรบุรุษเสรีไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 68 ปีวันสันติภาพไทยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติวีรกรรมการสละชีพเพื่อดำรงความมั่นคงของชาติไว้นั้นสำคัญยิ่ง และเพื่อไม่ให้เรื่องราวของพวกเขาต้องเลือนหายไปตามกาลเวลาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม

อีกทั้ง การเลือกเผยแพร่บทสัมภาษณ์ในช่วงเวลากระชั้นการแสดงจริงเพียง 2-3 วันนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ที่รับรู้ข้อมูลดังกล่าวได้ว่า บทสัมภาษณ์นี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาหรือเพื่อการตลาด ด้วยเหตุนี้ จึงนำบทสัมภาษณ์ขึ้นเผยแพร่ในวันที่ละครเวทีได้ทำการแสดงจริงเรียบร้อยแล้ว และนำเสนอเป็น 2 ตอนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสของเรื่องราวและที่มาครบใจความสำคัญอย่างแท้จริง

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สรุปแล้ว.. คดีค่าโฆษณา อสมท. 138 ล้าน สรยุทธ สุทัศนะจินดา

อัยการสูงสุด ยันชัด สรุปสำนวนคดีค่าโฆษณา อสมท. 138 ล้านบาท ส่งให้ อัยการสูงสุด พิจารณาแล้ว -สรยุทธ-ไร่ส้ม ลุ้นหนัก ฟ้อง-ไม่ฟ้อง

นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการสำนักคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ถึงความคืบหน้าคดีที่ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง และเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่ามีความผิด จากการที่พนักงานบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทุจริตช่วยเหลือให้บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยให้โฆษณาเกินกว่าเวลาที่กำหนดในสัญญา ในการจัดรายการคุยคุ้ยข่าว เป็นเหตุให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหายถึง 138,790,000 บาท ว่า ขณะนี้คณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบคดีนี้ ได้สรุปสำนวนการสอบสวนคดีนี้เสนอให้ทางอัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว ส่วนรายละเอียดผลการสรุปสำนวนการสอบสวนคดีนี้ คงไม่สามารถเปิดเผยได้ เรื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของอัยการสูงสุด ซึ่งยังไม่ได้แจ้งผลออกมา

ผมบอกได้แต่เพียงว่า คณะทำงานที่รับผิดชอบคดีนี้ ได้ส่งผลสรุปสำนวนการสอบสวนคดีนี้ เสนอให้ทางอัยการสูงสุดพิจารณาไปแล้ว และมีข้อสรุปสำคัญหลายประเด็น แต่ขณะตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของผู้บังคับบัญชา คงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลอะไรได้

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา นายวินัย เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันกับ สำนักข่าวอิศรา ว่า คณะทำงานกำลังเร่งพิจารณาคดีนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากสื่อมวลชนให้ความสนใจคดีนี้มาก แต่เพราะเป็นคดีที่มีรายละเอียดมาก ค่อนข้างยุ่งยาก คาดว่าคงต้องใช้เวลาสัก 2-3 เดือน จึงจะได้ข้อยุติที่ชัดเจน และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็จะนำเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไปว่าจะเห็นด้วย หรือจะมีความเห็นเป็นอย่างอื่น

ขณะที่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะทำงานอัยการนั้น นายสรยุทธ และบริษัทไร่ส้ม จำกัด ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องนี้ต่อ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ในการพิจารณาคดีดังกล่าวก่อนหน้านี้ด้วย

ที่มา.ทีนิวส์
//////////////////////////////////////

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภูมิภาค ทำไมจึงร้อนแรง !!??

คอลัมน์ มองบ้านมองเมือง  มติชนสุดสัปดาห์

ผลที่เห็นได้ชัดจากการดำเนินนโยบายแปรเปลี่ยนสนามรบให้เป็นตลาดการค้าของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ธุรกิจการค้าชายแดนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จังหวัดชายแดนรอบประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เชียงราย ตาก กาญจนบุรี อุดรธานี หนองคาย มุกดาหาร บุรีรัมย์ ฯลฯ จึงคึกคักเหลือกำลัง อันเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ประคองตัวฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจได้ แม้ว่าในหลายปีที่ผ่านมา คนในเมืองกรุงเล่นกีฬาสีอย่างเมามัน ส่วนคนในภาคกลางก่อกำแพงกั้นน้ำอย่างวุ่นวาย

กิจการค้าชายแดนยังส่งผลต่อเนื่องถึงหัวเมืองใหญ่ ที่อยู่ใกล้เคียง อย่างเช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี

ดังจะเห็นได้จากยอดรายได้ของห้างสรรพสินค้า วัสดุก่อสร้าง และการแต่งบ้าน ที่อุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น นำสาขาอื่นๆ ทั่วประเทศ

หรือแผนการลงทุนศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า พร้อมกัน 7 แห่ง ในภูมิภาค ได้แก่ ที่เชียงใหม่ อุดรธานี อุบลราชธานี หาดใหญ่ ลำปาง และสุราษฎร์ธานี

ผลพวงจากแผนพัฒนาพื้นที่ทางด้านตะวันออก เป็นท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม ยังทำให้ชลบุรีและระยองกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค

เช่นเดียวกับผลจากแผนพัฒนาการท่องเที่ยว ทำให้เชียงใหม่ พัทยา หาดใหญ่ ภูเก็ต และสมุย เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

หรือแม้แต่ ผลจากน้ำท่วมใหญ่บริเวณอยุธยาทำให้โรงงานต่างๆ เริ่มย้ายกิจการไปยังโคราช ปราจีนบุรี หรือระยอง

ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมด ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็วในภูมิภาคอย่างที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

แต่ก็ขอเสนอตัวเลขการก่อสร้างที่พักอาศัย ทั้งบ้านแนวราบและอาคารพักอาศัยรวม ประเภทคอนโดมิเนียมหรือแฟลต มาช่วยยืนยันการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่า ช่องว่างระหว่างกรุงเทพฯเมืองหลวงกับหัวเมืองในต่างจังหวัดในภูมิภาคนั้น เริ่มแคบเข้ามา

ยิ่งถ้ารวมตัวเลขของแต่ละจังหวัดเข้าด้วยกัน ตัวเลขในภูมิภาคเริ่มใกล้เคียงหรือเริ่มมากกว่าตัวเลขในกรุงเทพฯ

จากคลังข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ พบว่าจำนวนบ้านแนวราบที่ขออนุญาตปลูกสร้าง ในปี พ.ศ.2552 นั้น เฉพาะในกรุงเทพฯ ตัวเลขอยู่ที่สองหมื่นหน่วย (21,358) ในขณะที่ ตัวเลขของนครราชสีมาและชลบุรี สูงถึงหมื่นห้าพันหน่วย (14,560 และ 13,936) เชียงใหม่และขอนแก่น ต่ำกว่าหมื่นเพียงเล็กน้อย (9,037, 8,804)

ดังนั้น เพียงแค่สี่จังหวัดในภูมิภาค จำนวนบ้านแนวราบที่ขออนุญาตปลูกสร้าง ในปี พ.ศ.2552 ก็มากกว่าในกรุงเทพฯ แล้ว

สำหรับการขออนุญาตปลูกสร้างอาคารพักอาศัยรวมภาษาราชการ คอนโดมิเนียมหรือแฟลต ภาษาชาวบ้าน ในปี พ.ศ.2552 นั้น ตัวเลขจำนวนอาคารของกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ร้อยละยี่สิบของจำนวนรวมทั่วประเทศ แต่ตัวเลขพื้นที่อาจมากขึ้นเป็น ร้อยละห้าสิบ เพราะส่วนใหญ่เป็นอาคารสูง

ในขณะที่ตัวเลขอาคารในชลบุรีนั้น อยู่ที่ร้อยละสิบ และตัวเลขพื้นที่ก็อยู่ที่ร้อยละสิบเช่นกัน

ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ สิบลำดับจังหวัดที่ขออนุญาตปลูกสร้างบ้านแนวราบมากที่สุด เริ่มจาก กรุงเทพฯ เป็นลำดับหนึ่ง ตามด้วย นครราชสีมา ชลบุรี นนทบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น ปทุมธานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และสมุทรปราการ

ส่วนการขออนุญาตอาคารพักอาศัยรวม เริ่มจาก กรุงเทพฯ เป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน ตามติดด้วยชลบุรี ขอนแก่น ประจวบคีรีขันธ์ ปทุมธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุทรปราการ นครปฐม และนนทบุรี

เพียงแค่ตัวเลขการขออนุญาตปลูกสร้างบ้านแนวราบและอาคารพักอาศัยรวม ที่นำเสนอ ก็สะท้อนถึงความคึกคักของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคได้อย่างชัดเจน

จึงไม่แปลกที่บรรดาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ จะแยกย้ายออกไปหากินในต่างจังหวัดกันเป็นที่เรียบร้อย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เงินร้อนไหลออก !!??

คลัง.ชี้เงินไหลออกช่วงสั้น เป็นสถานการณ์"ม้วนกลับ"ของเงินทุน ด้าน"กิตติรัตน์"มั่นใจความผันผวนลดลง "เงินร้อน"ไหลออกเกือบหมด

ภาครัฐมั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุน เนื่องมาจากเงินทุนไหลออก ยังมั่นใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงระยะสั้น แต่ต้องชี้แจงให้นักลงทุนเข้าใจถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทย

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าหากต้องการให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นจากสถานการณ์เงินทุนไหลออก หรือมีความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิตเรทติ้ง) เหมือนกับที่ อินโดนีเซียและอินเดีย เผชิญนั้น สิ่งสำคัญสุด คือ เราต้องชี้แจงให้นักลงทุนต่างชาติทราบว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเวลานี้มีความแตกต่างกัน

ค่าเงินบาท,เงินทุนไหลกลับ,หุ้น,ตลาดหลักทรัพย์ฯ

กระแสเงินไหลออกจากตลาดหุ้นและตราสารหนี้ของไทย เช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาค และส่งผลให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลง

นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิตั้งแต่ต้นปีรวม 116,464.46 ล้านบาท และ ณ วันที่ 23 ส.ค. 2556 ถือครองตราสารหนี้สุทธิลดลงเหลือ 727,000 ล้านบาท จากที่มียอดคงค้างสูงถึง 870,000 ล้านบาท ขณะที่ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ ร่วงลงอ่อนสุดในรอบกว่า 3 ปี ที่ระดับ 32.28 และดัชนีตลาดหุ้นร่วงจากระดับ 1,600 สู่ระดับ 1,275.76 จุด

"พื้นฐานถือว่ายังอยู่ในระดับดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีจำนวนมาก ระบบสถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง และดุลบัญชีเดินสะพัดก็ไม่ได้มีปัญหา ภาพรวมจึงถือว่ามีความแข็งแกร่ง" นายประสาร ย้ำ

สำหรับการส่งออกนั้น นายประสาร กล่าวว่า ธปท.คาดไว้อยู่แล้วว่าปีนี้การเติบโตคงไม่มาก แต่ยอมรับว่าตัวเลขที่ออกมาล่าสุดอยู่ระดับค่อนข้างต่ำ เพียงแต่การนำเข้าเองก็ลดลงตามไปด้วย และยิ่งถ้าหักการนำเข้าทองคำออก ระดับการนำเข้าก็ลดลง ดังนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีจึงค่อนไปทางสมดุล หรือ หากจะขาดดุลก็คงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีผลต่อพื้นฐานของอัตราแลกเปลี่ยน

"ที่เราอยากเห็น คือ อยากให้เขาได้วิเคราะห์และแยกแยะว่า เศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ไม่อยากให้มีการเหมารวม และเชื่อว่าแต่ละประเทศในตลาดเกิดใหม่ก็คงกำลังเฝ้าติดตาม ดูว่าจะมีมาตรการอะไรในการจัดการบ้าง"นายประสาร กล่าว

ชี้ผันผวนช่วงสั้นจากเงินทุน 'ม้วนกลับ'

นายประสาร กล่าวว่า ช่วงนี้ยังมีเงินไหลออกอยู่บ้าง แต่การไหลออกไม่ได้มากนักและไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ โดยอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนี้ถือว่ามีความยืดหยุ่นพอควร ซึ่ง ธปท.พยายามติดตามว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปจนกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจหรือไม่ หากเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไป ทาง ธปท.เองก็มีเครื่องมือเพียงพอที่จะดูแลให้มีเสถียรภาพ

"เงินที่ไหลออกคงเป็นเงินระยะสั้น และเชื่อว่าเมื่อนักลงทุนหายแตกตื่นก็คงจะดีขึ้น สถานการณ์ในช่วงนี้เป็นเพียงการม้วนกลับของเงินทุนต่างประเทศ เพราะช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเงินเข้ามาในตลาดเกิดใหม่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นมีปัญหา แต่พอเศรษฐกิจเขาเริ่มฟื้น เงินที่เคยเข้ามาก็กลับออกไปบ้างเป็นเรื่องธรรมดา"นายประสาร กล่าว

'กิตติรัตน์'ระบุเงินร้อนไหลกลับเกือบหมด

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า เท่าที่ติดตามดูสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในขณะนี้ พบว่า หลังจากที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศว่าจะลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี 3) ลง ทำให้มีเงินร้อนที่เคยเข้ามาลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้เริ่มไหลกลับออกไป

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้เงินได้ไหลกลับออกไปจนเกือบหมดแล้ว ดังนั้นเงินทุนที่เหลืออยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นเงินของนักลงทุนระยะยาว ซึ่งทำให้ตลาดมีแนวโน้มว่าจะผันผวนน้อยลง

"การที่ราคาหุ้นปรับลดลงในช่วงนี้ น่าจะเป็นจังหวะของผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม นักลงทุนระยะยาวก็คงสนใจลงทุน และเท่าที่ติดตามการขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ ก็พบว่า ยอดขายสุทธิของนักลงทุนกลุ่มนี้เริ่มลดลง และคงจะกลับมาเป็นบวกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า"นายกิตติรัตน์ กล่าว

มั่นใจอาเซียนรับมือเงินไหลออกได้

นายประสาร กล่าวถึงการเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับเงินไหลออกนั้น ว่าไม่มีความเป็นห่วง เนื่องจากที่ผ่านมาแต่ละประเทศในภูมิภาคได้สร้างความร่วมมือระหว่างกันขึ้น เช่น การจัดตั้งกองทุนสำรองพหุภาคีภายใต้มาตรการริเริ่มที่เชียงใหม่ หรือ CMIM ซึ่งมีวงเงินในการช่วยเหลือประเทศสมาชิกทั้ง 13 ประเทศ รวมกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ รวมทั้ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ยืนยันว่า พร้อมให้ความช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่อง หากเกิดปัญหาขึ้น

ทั้งนี้ กองทุน CMIM ถือเป็นข้อตกลงระหว่างสมาชิก 13 ประเทศ ที่เรียกสั้นๆ ว่า ASEAN+3 ประกอบไปด้วย ASEAN+10 คือ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา ลาว พม่า และ เวียดนาม รวมกับอีก 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ เพื่อสร้างระบบความร่วมมือทางการเงินให้ประเทศสมาชิกสามารถช่วยกันบรรเทาปัญหาวิกฤติทางการเงินได้ ในเบื้องต้นหากสมาชิกประสบปัญหาสภาพคล่องในระยะสั้น โดยเป็นการช่วยกันเองในระดับภูมิภาค นอกเหนือไปจากความช่วยเหลือจากภายนอก หรือ องค์กรการเงินระหว่างประเทศอย่าง IMF

ก.ล.ต.ไม่ห่วงทุนไหลออก

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.ไม่ได้กังวลใจกับภาวการณ์เงินทุนไหลออกมากนัก เพราะที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดว่า มีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งก็ไม่พบว่ามีประเด็นใดที่น่าเป็นห่วง

สำหรับการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเงินร้อนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ตั้งแต่ช่วงที่เฟดเริ่มดำเนินมาตรการคิวอี โดยเป็นการเข้ามาตั้งแต่ช่วงปี 2554 พอมาปีนี้จึงมีการไหลออกไปบ้าง ส่วนการปรับลดลงของราคาหุ้นนั้น ก็ควรต้องดูพื้นฐานของตัวบริษัทด้วย ซึ่งเวลานี้มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กว่า 143 ราย ที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี (บุ๊คแวลู)

"บุ๊คแวลู คือ มูลค่าตามบัญชี ซึ่งเป็นราคาตั้งแต่สมัยที่เขาสร้างโรงงานขึ้นมา ดังนั้นการที่ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลู ก็หมายความว่า ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาตอนที่สร้างโรงงาน ซึ่งมักจะไม่ค่อยปรากฏ เมื่อไรที่ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลู จึงถือเป็นโอกาสของการลงทุน"นายวรพล กล่าว

นอกจากนี้ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยถือว่ามีความแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านระดับหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ต่ำ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง ดุลบัญชีเดินสะพัดก็ไม่ได้ขาดดุลมาก รวมทั้งยังมีภาคธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรม

"หาก เฟด ยกเลิกมาตรการคิวอีจริง ก็สะท้อนว่า เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยเพราะทำให้การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น และการส่งออกไทย ก็มีสัดส่วนสูงถึง 70% ของจีดีพี"

ต่างชาติแห่ร่วม 'ไทยแลนด์โฟกัส'

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมการจัดงาน ไทยแลนด์ โฟกัส 2013 วานนี้ (28 ส.ค.) ว่า มีนักลงทุนเข้าร่วมงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีนักลงทุนต่างชาติจากทั่วโลกเข้าร่วม 186 ราย และมีบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) เข้าร่วมนำเสนอข้อมูลถึง 112 แห่ง มีการประชุมในงานมากกว่าสองพันครั้ง แสดงให้เห็นว่าตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจไทยอยู่ในความสนใจของทั่วโลก

นายกฤติยา วีรบุรุษ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.ภัทร กล่าวว่า เชื่อนักลงทุนส่วนใหญ่ได้รับคำตอบที่เพียงพอในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลยืนยันทำแน่ หลังจากนี้นักลงทุนต้องไปคำนวณดูว่าการลงทุนที่จะเกิดขึ้น จะส่งผลต่อบริษัทที่จะลงทุนมากน้อยเพียงใด และช่วงไหน เพราะแต่ละบริษัท และแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลไม่เท่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของนักลงทุน

"เชื่อว่าเงินลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในไทย แม้ในระยะสั้นอาจมีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่บ้าง แต่เงินที่ไหลออกไปในระดับแสนล้านบาท น้อยมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินต่างชาติที่ยังถือครองหุ้นไทยอยู่ปัจจุบันประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมการถือหุ้นแบบพันธมิตรลงทุน หรือการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการ ซึ่งถือมานานแล้ว ดัชนีที่ปรับลดลงหลายคนก็มองเป็นโอกาสในการลงทุน"

ด้าน นางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม หัวหน้าประเทศ และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแห่งอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า ผู้ลงทุนต่างชาติที่มาร่วมงาน ให้ความสนใจอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และบทบาทของไทยในการเชื่อมโยงการเติบโตของภูมิภาค

ทั้งนี้ ไทยมีภาคธุรกิจที่หลากหลาย พื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการดำเนินนโยบายด้านการเงินการคลังที่ระมัดระวังและมีความต่อเนื่อง ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีความโดดเด่นและเป็นเศรษฐกิจชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการเติบโตสูงในปัจจุบัน

ซีเรียและคิวอี กดบาททะลุ 32.20 ต่อดอลล์

นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทวานนี้เปิดตลาดที่ระดับ 32.18-32.20 บาทต่อดอลลาร์ และได้อ่อนค่าไปถึงระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ แต่มีแรงซื้อเงินบาทกลับเข้ามา ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 32.16 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าสุดของวัน อย่างไรก็ตาม มีแรงขายเงินบาทเพื่อซื้อดอลลาร์สหรัฐกลับเข้ามาอีกครั้ง ทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าไปแตะระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำสถิติใหม่ในรอบ 3 ปีอีกครั้ง ท่ามกลางปริมาณซื้อขายที่เบาบาง และปิดตลาดที่ระดับ 32.25-32.27 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินบาทวานนี้ มาจากทิศทางของค่าเงินภูมิภาคที่อ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์ นำโดยค่าเงินอินเดียที่มีความผันผวนค่อนข้างมากและทำสถิติใหม่อีกครั้ง ซึ่งความกังวลของตลาดวานนี้ ยังมาจากการชะลอมาตรการคิวอีของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับความไม่สงบในซีเรีย ที่ตลาดห่วงว่า หากมีสงครามเกิดขึ้นจะทำให้ความต้องการดอลลาร์สหรัฐปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย โดยกรอบความเคลื่อนไหวเงินบาทในระยะสั้น ยังคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.30 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนระยะถัดไปต้องติดตามการชะลอมาตรการคิวอี ทั้งระยะเวลาและวงเงินที่ลดลงด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โหลด แชร์ ช็อป เสี่ยงละเมิดลิขสิทธิ์ แฮกข้อมูล !!??

ต้น สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นร้อนที่แพร่หลายและถกเถียงกันอย่างหนักในโซเซียลเน็ตเวิร์กว่าเป็น เรื่องจริงหรือไม่ กรณีคนไทยโดนจับที่สนามบินในสหรัฐอเมริกา เพราะเปิดไอแพดดูหนังที่โหลดมาจากเว็บไซต์ยูทูบระหว่างรอขึ้นเครื่องบิน ทำให้ต้องโทษจำคุกนานถึง 6 เดือน แต่ภายหลังครอบครัวส่งทนายไปประกันตัวมาด้วยเงินประมาณ 1 ล้านบาท

อ.ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ" ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์และลิขสิทธิ์ ระบุว่าเป็นเรื่องจริง แต่อาจมีข้อมูลบางอย่างคลาดเคลื่อนเกินจริงไปบ้าง

กฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ของสหรัฐอเมริกา มีการกำหนดโทษเกี่ยวกับการดาวน์โหลดเพลง หนัง ซอฟต์แวร์จากแหล่งที่ผิดกฎหมาย เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมบันเทิงและซอฟต์แวร์ของอเมริกา แต่กฎหมายนี้ไม่มีโทษจำคุก มีแต่โทษปรับตั้งแต่ 750-30,000 เหรียญสหรัฐ กฎหมายฉบับนี้เริ่มใช้เมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว มีคนโดนจับด้วยกฎหมายนี้แล้วไม่น้อย กรณีล่าสุดคาดว่าจะมีไฟล์ข้อมูลในเครื่องมากพอสมควรด้วย"

ประเทศอื่นก็มีกฎหมายที่เข้มงวดเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่มากเท่าในสหรัฐอเมริกา ฉะนั้น ผู้ที่เดินทางไปอเมริกาต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการนำสื่อลามกอนาจารเกี่ยวเด็กเข้าไปยังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นเรื่องซีเรียสมาก มีคนไทยหลายรายโดนดำเนินคดีมาแล้ว ขณะที่ฝั่งยุโรปให้ความสำคัญกับการละเมิดตราสินค้า หรือสินค้าปลอมมากกว่า

พฤติกรรมนักท่องเน็ตจำนวนมากสุ่มเสี่ยงกับการทำผิดกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ และประมวลกฎหมายอาญา โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ในส่วนการเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เช่น ใครส่งอะไรมาให้แล้วเรานำไปแชร์ต่อ ๆ หลายคนเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท"

และอาจโดนโยงกับมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพ์ ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้ด้วย

"อ.ไพบูลย์" ย้ำว่า สิ่งที่หลายคนคุ้นชินและมักทำกันแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการนำคลิปเพลงหรือหนังจากเว็บไซต์ยูทูบมาแปะเพื่อให้ดูได้บนเว็บตัวเองแบบ Embed VDO หรือการตัดต่อข้อความจากทวิตเตอร์คนอื่นนำมาแปะในโซเซียลเน็ตเวิร์กของตัวเอง หรือดึงรูปจากอินสตาแกรมคนอื่นโดยไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา ล้วนแต่เสี่ยงคุกทั้งนั้น เพราะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น ยิ่งถ้าเป็นรูปหรือคลิปวิดีโอล้อเลียนเสียดสีผู้อื่น อาจโดนความผิดฐานหมิ่นประมาทร่วมไปกับคนที่เป็นต้นตอปล่อยคลิป

ถ้าเจ้าของข้อความหรือรูปนั้น ๆ ไม่ได้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในอินสตาแกรม เฟซบุ๊กเป็นแบบสาธารณะ (Public) คนนำรูปไปใช้ อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ เกี่ยวกับการเข้าสู่ระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตพ่วงอีกข้อหา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

"ที่พบว่าทำกันมาก และมีกรณีที่โดนฟ้องร้องแล้ว คือการนำรูปหรือข้อความของคนอื่นมาใช้ในเว็บหรือโซเซียลเน็ตเวิร์กของตนโดยไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา ตอนนี้มีบริษัทต่างชาติหรือแม้แต่บริษัทในไทยเองยื่นฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ล่าสุด กรณีนำรูปนักเทนนิสมาเรีย ชาราโปว่า ไปแปะในเว็บ โดนเรียกค่าเสียหายรูปละ 50,000 บาท"

ฉะนั้น สิ่งที่ชาวออนไลน์พึงจำและทำเสมอ คือเมื่อใดที่นำข้อมูลหรือรูปภาพมาจากที่อื่น "จงอ้างอิงแหล่งที่มา" ทุกครั้ง ยิ่งถ้าในพื้นที่ออนไลน์ที่นำไปแปะ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ บล็อก หรือเฟซบุ๊ก ทำขึ้นเพื่อการค้า บทลงโทษจะยิ่งหนัก

"การนำไปใช้เพื่อการค้า แค่ในเว็บมีแบนเนอร์โฆษณา ก็เข้าข่ายแล้ว หรือถ้าในชื่อเว็บเป็นชื่อบริษัท ชื่อเพื่อให้ค้าขาย ถือเป็นการนำไปใช้เพื่อกิจการของตัวเอง พวกนี้โทษหนักขึ้น แต่ที่อยากให้ระวังมาก ๆ คือการ embed คลิป และการดาวน์โหลดจากยูทูบ เพื่อความปลอดภัย ให้ใช้เป็นการแปะลิงก์ ให้คลิกเข้าไปดูได้ที่ยูทูบดีกว่า อีกทั้งให้เปิดดูออนไลน์ อย่าโหลดเก็บไว้"

"อ.ไพบูลย์" ยังฝากเตือนนักช็อปปิ้งออนไลน์ด้วยว่า ต้องระวังเรื่องการโดนดักข้อมูลส่วนตัว โดยเฉพาะข้อมูลบัตรเครดิต บัญชีธนาคาร ดังนั้น ก่อนซื้อสินค้า และกรอกข้อมูลต่าง ๆ ต้องมั่นใจว่าเป็นเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ มีระบบรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ดี และอย่าเข้าไปกรอกข้อมูลในเว็บที่มีการซื้อขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสินค้าประเภท sex toys สื่อลามกอนาจาร รวมถึงเว็บไซต์ที่มีต้นทางจากมาเลเซีย เนื่องจากเป็นเป้าหมายสำคัญของบรรดาแฮกเกอร์ ซึ่งในมาเลเซียเองมีการทำธุรกิจซื้อขายข้อมูลเหล่านี้เป็นล่ำเป็นสัน แม้จะผิดกฎหมายก็ตาม

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

ปัญหาสังคม ร้อนแรง รอการเยียวยา !!??

ร้อนแรงไม่เลิกราจริงๆ สำหรับปัญหาเศรษฐกิจไทย ที่ล่าสุด “บีบีซี” ได้นำเสนอบทความ “Thailand’s economy enters recession” โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากตัวเลขจีดีพีของไทยไม่การชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 และต้องถือเป็นเรื่องสะท้านสะเทือนถึงหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะคำว่า “เศรษฐกิจถดถอย” ไม่ใช่ปัญหาปลาซิวปลาสร้อยที่ “ใคร” จะมองข้ามไปง่ายๆ
   
โดยเฉพาะ “สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)” ที่ออกมายอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรมว่า “หากมองในทางเทคนิคแล้ว  ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) เนื่องจากจีดีพีติดลบต่อเนื่องถึง 2 ไตรมาส และการเติบโตอย่างผิดคาดของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี ก็มาจากความผิดปกติของฐานการเติบโตในช่วงปลายปี 2555 ที่สูงมาก รวมถึงยังมีปัญหาการที่พม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติชั่วคราว ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบและหยุดการผลิตไปบางส่วน”
   
แต่ดูเหมือนยังมีบางเรื่องที่น่าจะเป็นประเด็น แต่อาจจะไม่ได้รับความสนใจเหมือนเรื่องราวทางเศรษฐกิจในขณะนี้มากนัก นั่นคือ “ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทย” ที่ล่าสุด “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สศช.) หรือสภาพัฒน์” ออกมาระบุโดยอ้างอิงผลการสำรวจของ “เอแบคโพลล์” ว่า ในช่วง 29 ก.ค. - 1 ส.ค.2556 “ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทยลดลง” มาอยู่ที่ 5.62% จากช่วง  มี.ค.อยู่ที่ 6.58% และช่วงปลายปี 2555 อยู่ในระดับสูงที่สุดที่ 7.61%
   
และปัญหาสำคัญที่กระทบกระเทือนต่อความสุขของคนไทยทั้งประเทศ คงหนีไม่พ้น “ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่กำลังเริ่มมีปัญหา และส่งผลตามมาทำให้เกิดปัญหา “หนี้ครัวเรือน” นอกจากนี้ยังมีปัญหา “ความไม่สงบทางการเมือง” ที่จนปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปของเรื่องนี้ไม่ได้
   
ความเครียด ไม่ได้เกิดแค่ในผู้ใหญ่วัยทำงานเท่านั้น  เพราะปัจจุบันเด็กและเยาวชนก็เกิดปัญหาความเครียดรุมเร้าไม่แพ้กัน จากการดำเนินชีวิตภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างในทุกวันนี้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิต และที่พบมากที่สุดนอกจากปัญหา “ความเครียด” “ภาวะโรคซึมเศร้า” จนนำไปสู่ปัญหา “การฆ่าตัวตาย” ในที่สุด และปัจจุบันมีข้อมูลยืนยันชัดเจนแล้วว่า “การฆ่าตัวตายของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”  และที่น่าแปลกใจนั่นคือ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี มีการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้น เฉลี่ยปีละ 200 คน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเครียดในปัญหาการเรียนและความรัก
   
โดยข้อมูลบ่งชี้ชัดเจนว่าปัจจุบันคนไทยมี “ความเครียด”  เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จากข้อมูลปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ของกรมสุขภาพจิต ในปี 2555 พบว่า คนไทยให้ความสนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น อยู่ที่ 3.6 หมื่นราย หรือเพิ่มขึ้น 65% จากปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มอายุที่ใช้บริการมากที่สุด คือ กลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี รองลงมาคือกลุ่มอายุ 26-30 ปี ซึ่งกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่เข้ามาขอรับบริการส่วนใหญ่จะปรึกษาปัญหา “ความคาดหวังของผู้ปกครองต่อการเรียน และการไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการคบเพื่อน ไปจนถึงปัญหาของความรัก”
   
ปัญหาความน่ากังวลในสังคมยังไม่หมด เพราะปัจจุบันวัยรุ่นไทยยังมีแนวโน้มเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้นอีกด้วย โดยจากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา พบว่า กลุ่มเยาวชน อายุ 15-24 ปี มีอัตราการป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
   
และอีกปัญหาที่บั่นทอนความรู้สึกของคนในสังคม นั่นคือ “ปัญหาการท้องไม่พร้อม” ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ “การทำแท้ง” โดยจากข้อมูลสถิติสาธารณสุข ชี้ให้เห็นชัดเจนถึงอัตราการเจริญพันธุ์ของคนทั่วไปว่ามีแนวโน้มลดลงเหลือ 24.4% ต่อประชากรหญิง 1 พันคน แต่สิ่งที่น่าตกใจนั่นคือ อัตราการเจริญพันธุ์ตามหมวดอายุมารดาที่ 15-19 ปี กลับมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราแม่วัยรุ่นควรจะลดลงมากกว่าจากการขยายโอกาสทางการศึกษาที่ทำให้เด็กอยู่ในระบบนานขึ้น แต่ตัวเลขดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น คงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นแล้วว่ายังมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในระบบการศึกษาพื้นฐานไม่ครบ แม้จะมีโครงการเรียนฟรีและการขยายโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องก็ตาม
   
นอกจากปัญหา “การท้องไม่พร้อม” แล้ว ยังมีเรื่องที่น่าขบคิดต่ออีกเรื่อง มีการศึกษาของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่ร่วมกับกรมอนามัย และมีการคาดการณ์ว่าจะมีการทำแท้ง 1-2 แสนรายต่อปี โดย 1 ใน 3 หรือประมาณ 3-5 หมื่นราย เป็นวัยรุ่น ส่วนกลุ่มแม่วัยรุ่นอีก 27.1% ท้อง เพราะไม่มีทางเลือกหรือไม่มีโอกาสยุติการท้อง และปัญหา “การทำแท้งเถื่อน” ก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย และถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา โดยในปี 2554 พบว่ามีหญิงไทยที่มีอัตราการท้องเฉลี่ย 1.1 ล้านคน คลอดสำเร็จ 8 แสนคน ส่วนที่เหลือคาดว่ามีการยุติการตั้งครรภ์ หรือทำแท้ง โดยในส่วนนี้ประมาณ 30% ของวัยรุ่นที่ตั้งท้องเลือกที่จะทำแท้ง!!
   
ยอมรับว่าสังคมไทยในปัจจุบันยังเต็มไปด้วยปัญหาอาญชากรรมต่างๆ การทำแท้ง การฆ่าตัวตาย แต่ทั้งหมดไม่ใช่เครื่องสะท้อนว่า “สังคมไทยไม่น่าอยู่” เพราะหากทุกฝ่าย ทุกคนยังให้ความร่วมมือ สนใจ ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของปัญหา เชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน และสังคมไทยก็จะกลับมาเป็น “สังคมที่เป็นสุข” ได้อย่างแท้จริง.

ที่มา.ไทยโพสต์
///////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

AEC ทางรอดอุตสาหกรรมปลายน้ำ !!??

อุตสาหกรรมของไทยหลายรายการมีศักยภาพในการส่งออก แต่ต้องมาติดกับดักวัตถุดิบขาดแคลน ทำ ให้ผลิตไม่ได้ตามออเดอร์ที่ได้รับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ

ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน ที่ผ่านมาเราใช้วัตถุดิบในประเทศ ผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ทั้งการรับจ้างผลิตตามแบบที่ลูกค้ากำหนด การผลิตโดยโรงงานเป็นผู้ออกแบบเอง แต่ อาจมีการปรับปรุงตามแบบที่ลูกค้าเสนอ และการผลิตภายใต้แบรนด์หรือตราสินค้าของตนเอง

แต่เมื่อมีการผลิตมากขึ้น วัตถุดิบก็ร่อยหรอลง โดยเฉพาะไม้เนื้อแข็ง ทำให้ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งต้องปรับเปลี่ยนไปใช้ไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ยางพาราทดแทน แต่ในปัจจุบันการเก็บภาษีไม้ยางพารามีราคาค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบการ นำเข้าไม้คุณภาพดีกว่าจากต่างประเทศ ส่ง ผลให้ผู้ประกอบการหันไปใช้ไม้จากต่างประเทศที่มีราคาใกล้เคียงกัน แต่มีคุณภาพ และราคาที่ดีกว่าไม้ยางพาราในประเทศไทย ทั้งจีน มาเลเซีย และเวียดนาม

หรืออุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในระดับสูง อยู่ในลำดับ 4 รองจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อความต้องการของตลาดโลกมีสูง วัตถุดิบที่นำมาใช้ก็สูงตาม อุตสาหกรรมเหล่านี้ ล้วนเป็นอุตสาหกรรม ปลายน้ำ ซึ่งต้องอาศัยวัตถุดิบต้นน้ำ เช่น เส้นใยในการผลิต บางส่วนต้องนำเข้าจาก ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเมื่อ เป็นเออีซี อุตสาหกรรมในกลุ่มเดียวกัน ก็สามารถเป็นพันธมิตรกัน หรือทำคลัสเตอร์ร่วมกันได้ง่าย

ดร.สมชาย หาญหิรัญ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า เมื่อมีการเปิดประตูการค้าในเวที AEC แล้ว การขนถ่ายปัจจัยในการผลิต ทั้งแรงงาน วัตถุดิบ ก็ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการลดต้นทุนของการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับการพัฒนาเส้นทางการค้าต่างๆ ในภูมิภาค อันจะนำมาซึ่งผลประกอบการที่สูงขึ้น

"เรากำลังนำแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมนำร่องในกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และสิ่งทอมาเป็นต้นแบบในการศึกษาการรวมกลุ่มและการจัดการทรัพยากร เพื่อเป็นแบบอย่างการ พัฒนาให้กับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอื่นๆ ของไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน" ผอ.สศอ. กล่าว

ขณะเดียวกัน พงษ์ศักดิ์ อัสสกุล อดีตประธานกรรมการสภาหอการ ค้าแห่งประเทศไทยและกรรมการผู้จัดการ โรงงานทอผ้ากรุงเทพ ที่กล่าวว่า ปัจจุบันนอกจากประเทศไทยแล้ว กลุ่ม ประเทศอาเซียนก็มีข้อตกลงทางการค้ากับประเทศพัฒนาแล้ว ผู้ประกอบการไทย จึงควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ คือออกแบบสินค้าในประเทศไทย แล้วส่งเข้าไปผลิตในประเทศที่มีแรงงานราคาถูกในเวียดนาม สปป.ลาว หรือกัมพูชา แล้วส่งไปขายยังประเทศพัฒนาแล้วโดยไม่ต้องเสียภาษี แบบนี้จะทำให้อุตสาหกรรม สิ่งทอไทยมีความได้เปรียบกว่าอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ในทำเลด้อยกว่าเรา หากสร้างคลัสเตอร์ร่วมกันได้ไทยจะเป็นผู้นำในกลุ่มสิ่งทออาเซียน

"เมื่อเป็นเออีซี เราไม่ต้องกังวลว่าโรงงานจะขาดแคลนวัตถุดิบ ถ้าในสปป.ลาวมีวัตถุดิบประเภทเส้นใยมาก ก็ใช้โรงงานในลาวขึ้นรูปสินค้าได้เลย แล้วส่งเข้ามาประกอบเป็นตัวเสื้อในเมืองไทย โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า นี่คือความง่ายของเออีซีที่จะทำให้ธุรกิจใน กลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันดำเนินร่วมกันได้โดยง่าย" พงษ์ศักดิ์ กล่าว

เช่นเดียวกับ จิรบูรณ์ วิทยสิงห์ ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้านและเลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยที่ปรับตัวรับเออีซีมาก่อนหน้านี้ ด้วยการร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการของ ขวัญมาเลเซีย และสมาคมของขวัญสิงคโปร์ จัดตั้งสมาพันธ์อุตสาหกรรมของ ขวัญอาเซียน (ASEAN Gifts Federation) หรือ สมาพันธ์กิฟต์อาเซียน

โดยขณะนี้มีอีก 6 ประเทศที่พร้อมร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธ์คือ อินโดนีเซีย ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยแต่ละประเทศจะมีการแลก เปลี่ยนความรู้กัน มีการร่วมกันทำงานในลักษณะของพันธมิตร เช่น คนไทยมีความสามารถด้านการออกแบบ ขณะที่ค่าแรงอาจจะสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ก็ส่งงานต่อให้กับผู้ผลิตที่อยู่ในเวียดนามดำเนินการแทน ส่วนมาเลเซีย สิงคโปร์ ก็จะกลายเป็นผู้ค้าให้กับประเทศอื่นๆ เป็นต้น

"ปัจจุบันไทยมีส่วนแบ่งตลาดของขวัญสูงสุดในอาเซียนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท หลังก่อตั้งสมาพันธ์และมีการรวมตัวกันครบทุกประเทศเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมยอดขายเติบโตขึ้นปีละ 15% และมีมูลค่าตลาดรวม 1 แสนล้านบาท หรืออาจสูงถึง 150,000 ล้านบาท ก็ได้ ภายใน 5-8 ปี" จิรบูลย์ กล่าว

และนี่คือเรื่องดีๆ ที่จะเกิดจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////

เราปลูกป่าเพื่อใคร !!??

มีคนจำนวนมาก พยายามที่จะบอกกับคนจำนวนที่มากกว่าว่า การตัดไม้ทำลายป่าเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ซึ่งทุกคนก็เข้าใจในคำบอกกล่าวนั้น แต่มีน้อยนักที่จะสนใจและใส่ใจ ยังดีที่ว่ายังมีคนที่แม้จะจำนวน ที่น้อยกว่า 2 กลุ่มแรกมากนัก เอาใจใส่และเห็นว่าการคืนผืนป่าให้กับโลกเป็นสิ่งที่สมควร กระทำและต้องเร่งทำ

หนึ่งในจำนวนที่ว่าน้อยนี้มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.รวมอยู่ด้วย ผมจำไม่ได้แล้วว่า กฟผ.เริ่มปลูกป่ามาตั้งแต่ปีไหนและปลูกไปกี่ล้านต้นแล้ว แต่รู้ว่า ถ้าหาก กฟผ.ยังเดินหน้าปลูกกันต่อไปในขณะที่อีกหลาย องค์กรก็รณรงค์ช่วยกันปลูกอีกหน่อยประเทศไทยก็คงได้ผืนป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา

ในอดีตประเทศไทยจากการสำรวจเมื่อปี 2504 เรามีพื้นที่ป่าไม้มากถึง 53.3% หรือประมาณ 171 ล้านไร่ ของพื้นที่ทั้งหมดที่เรามีอยู่ 321 ล้านไร่ แต่จากสถิติระหว่างปี 2504 จนถึงปี 2552 พื้นที่ป่าของเราลดลงไปถึง 72 ล้านไร่ เหลืออยู่แค่ 30.86% หรือประมาณ 99.15 ล้านไร่ เฉลี่ย แล้วเราเสียป่าไปปีละประมาณ 1.6 ล้านไร่

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเผยว่า "ในปัจจุบันเนื้อที่ป่าไม้ในประเทศไทยน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นประมาณ 3% ของเนื้อที่ประเทศไทยจากสถิติในช่วง 2549-255"

คนอื่นจะคิดอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ผมเชื่อว่า สาเหตุที่ป่าไม้ของไทยเพิ่มขึ้นมาอย่างน้อยก็ 3% นี้ มาจากการที่มีคนเชื่อว่าป่ามีความ สำคัญต่อคน ต่อโลก และลงมือทำตามความเชื่อนี้อย่างต่อเนื่อง

อย่างที่เรียนแล้วว่า ผมไม่รู้ว่า กฟผ.เริ่มปลูกป่ามาตั้งแต่เมื่อใดและปลูกไปมากน้อยแค่ ไหน แต่ผมก็ชื่นใจที่ได้เห็นคนของ กฟผ.ที่มีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ระดมแรงและทุนทรัพย์มาร่วมกันปลูกป่า โดยเฉพาะการปลูกป่าในพื้นที่ป่าชุมชนเขายายเที่ยงที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา ซึ่งเป็น โรงไฟฟ้าแบบสูบกลับ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 จากจำนวน 4 ครั้ง ของปีนี้ เพื่อสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในการรักษาและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พร้อมกับเปิดตัว เจษฎาภรณ์ ผลดี พระเอกหน้าใสที่มารับหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของโครงการ

การปลูกป่าครั้งนี้ กฟผ.ได้ร่วมกับสภา กาชาดไทยและกรีนเวฟ FM 106.5 พาผู้ฟังรายการและผู้พิการทางสายตาที่มีจิตอาสาไปร่วมกันปลูกป่า

ผมเองเคยร่วมกิจกรรมปลูกป่ามาแล้วทั้งบนเขา พื้นราบและป่าชายเลน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะได้ภาพฝังใจเหมือนไปปลูกป่ากับผู้พิการทางสายตา

ได้เห็นพี่เลี้ยงชาว กฟผ.และประชาชนผู้มีจิตอาสาประคองผู้พิการทางสายตาก้าวย่างตามทางเดินในป่า หลีกหลบก้อนหิน ได้เห็นหนูน้อยที่ใช้มือลูบคลำต้นกล้าไม้พยุงที่จะปลูก ได้เห็นเขาเอามือจับต้นกล้าที่ปลูกและรดน้ำให้กล้าไม้ได้ชุ่มชื่นแล้ว มันตื้นในใจครับ

มาช่วยกันปลูกป่าเพื่อตัวเรา

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

นายกฯ ชูยุทธศาสตร์ ชาติเหนือพรรค ต้านเกมป่วนในสภา !!??

โดย. นพคุณ ศิลาเณร

เอาเป็นว่า "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผู้ถูกปรามาสว่า มีอายุสมองและขนาดจิตใจ ทางการเมืองเพียง 49 วัน ได้เป็น "นายกรัฐมนตรี" ย่างเข้าปีที่ 3 แล้ว โดยพรรค ประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยนักการเมืองเขี้ยวลากดินยังโค่นเธอไม่ได้

ภาพลักษณ์รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยามนี้ ถูกมองผ่านความมุ่งมั่นทำงานของ "นายกรัฐมนตรี" ว่า สดใส น่ารัก ขยันทำงาน และต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบด้วยแนวทางการเจรจาแก้ไขปัญหาแบบ "ชาติเหนือพรรค" ส่วนพรรคประชาธิปัตย์กับฝ่ายแค้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้ความร่วมมือ เอาแต่เดินเกมป่วน ตีรวนรัฐบาลทุกรูปแบบทั้งในสภาและเตรียมก่อหวอดข้างถนน

จุดเด่นของยิ่งลักษณ์อยู่ที่ "กลยุทธ์" ทำงาน เธอเน้นภารกิจแบบ "ชาติเหนือพรรค" มากกว่าเอาใจฐานเสียงจากแนวร่วมประชาธิปไตยไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่เปิดจุดอ่อนให้พรรคประชาธิปัตย์นำมาล่อเป้าเล่นงานได้ถนัดนัก การโจมตีส่วนมากก่ออาการ "ตีรวนแบบนักเลงคุมซอย" โดยวนเวียนอยู่กับการป่วนแนวทางปฏิรูปการเมือง, การพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 จำนวน 2.5 ล้านล้านบาท ในวาระสอง ต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ในขั้น "คณะกรรมาธิการ" ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา และกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท

ประเด็นทั้งหมดนั้น ยังไม่ร้อนแรงพอโค่นรัฐบาลได้ เพราะการโจมตีจากพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในระดับอ่อน ไร้สาระ ทำได้อย่างมากแค่แสดงอารมณ์ชิงชัง ส่วนกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่ปักหลักชุมนุมอยู่สวนลุมพีนี แม้มีกองทัพธรรมจากสำนักสันติอโศกเข้าร่วมด้วย แต่แทบไร้ความสนใจ ไม่มีข่าว มีผู้ชุมนุมค่อนข้างเบาบาง แค่หลักร้อยคนต่อวัน

รวมความแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยัง ได้เปรียบทางการเมืองเหนือพรรคประชาธิปัตย์อยู่หลายขุม เพราะพลังต่อต้านรัฐบาลเปิดฉากเล่นกันในสภามากกว่าข้างถนน พรรคประชาธิปัตย์ใช้ยุทธวิธีเดิมๆ คือ ตีรวนทุกรูปแบบจึงขาดความสนใจจาก "กลุ่มกลางๆ" มาเป็นพลังหนุนช่วยการเชื่อมประสานพลังชุมนุมนอกสภาเป็นเพียงสะท้อนอาการ "เกาะเกี่ยวแนวร่วม" มากกว่าผนึกกำลังเพื่อรุกไล่ครั้งใหญ่

+ ความขัดแย้งเริ่มผ่อนคลาย

พลังกดดันนอกสภาทั้งกองทัพประชาชนฯ กลุ่มหน้ากากขาว และพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาล ได้ ทำได้เพียงเสียงขู่ เพราะกลุ่มคนชั้นกลางใน กทม.ยังนิ่งเฉย ประกอบกับเหตุการณ์จลาจลในอียิปต์มีส่วนสำคัญทำให้ "คนชั้นกลาง" หวาดหวั่นกับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในไทย

เป้าหมายการต่อต้านข้างถนน ยังผูกปมอยู่ที่ "ทักษิณ-กฎหมายนิรโทษกรรม" แต่คนชั้นกลาง และนักธุรกิจสนับสนุนกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของประเทศ ส่วนปัญหาคอร์รัปชั่นยังพยายามงมเอาจากโครงการรับจำนำข้าว โดยฝ่ายต่อต้านพยายามลากความสัมพันธ์ว่า "ขาดทุน=การโกง" ซึ่งอยู่ในขั้นตรวจสอบของคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

เหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศอียิปต์ ประชาชนถูกปราบและเสียชีวิตกว่า 800 ศพ มีส่วน "ลดทอน" อารมณ์ความรุนแรงทางการเมืองของไทยได้อยู่ไม่น้อย เงื่อนไขการปะทะกันทางการเมืองในไทยมีความแตกต่างจากอียิปต์อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ปัจจัยความขัดแย้งคล้ายกัน

ไทยในปัจจุบันเป็นความขัดแย้งที่ก่อหวอดขึ้นระหว่างพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา พรรคประชาธิปัตย์พยายามใช้มวลชนนอกสภามากดดันให้เกิดความได้เปรียบทางการเมือง แต่พลังเหล่านั้นกลับมีพื้นฐานอำนาจจากกลุ่ม "อำนาจเก่า" ที่ไม่พอใจ "ทักษิณ"

พรรคประชาธิปัตย์พยายามลากปัญหาการเมืองให้เป็นปัญหาทักษิณ แต่ดุลอำนาจทางทหารยังไม่ขานรับถึงที่สุดดุลอำนาจทาง "ทหาร" อยู่ในอาการ "นิ่ง" ไร้การเลือกข้าง นั่นเป็นเพราะเงื่อนไข "อำนาจนำในสังคม" อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน

ส่วนอียิปต์ ปัญหาทางการเมืองเป็นความขัดแย้งกันระหว่างพรรคการเมืองร่วมมือประชาชนเผชิญหน้ากับกลุ่มอำนาจทหารที่สนับสนุนรัฐบาลชั่วคราว ด้วยเงื่อนไขของทหารจึงทำให้เกิดการชี้ขาดทางอำนาจ แล้วนำไปสู่การปะทะกับประชาชนอย่างนองเลือด

สรุปแล้ว ปัจจัยอำนาจทหารทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองเกิดความแตกต่างกันระหว่างไทยกับอียิปต์ และเหตุการณ์ความรุนแรงในอียิปต์ย่อมเป็นบทเรียนการเผชิญหน้าทางการเมืองของไทย พร้อมๆ กัน "เหนี่ยวรั้ง" ชนชั้นกลางให้เกิด "สติ" ในปัญหาความขัดแย้งมากขึ้น

สิ่งน่าสนใจคือ ดุลอำนาจในสังคมได้ส่อสัญญาณแปลกๆ ขึ้น และมีความหมายถึง "มิติหยุดสู้รบ" แม้เป็นเพียงมิติ "สลัวๆ" ก็ตาม แต่สะท้อนถึงปัญหาความขัดแย้งของสังคมในระยะเปลี่ยนผ่านอำนาจเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

ภาพสะท้อนนี้เริ่มปรากฏขึ้นในกระบวนการยุติธรรมที่สัมพันธ์กับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต โดยการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หลายคดีมีคำวินิจฉัยออกมาแบบให้แล้วๆ กันไป เสื้อแดงและเสื้อเหลืองได้ประโยชน์ทุกฝ่าย

แปลความอีกนัยยะว่า ดุลอำนาจสังคมเกิดการเปลี่ยนขึ้น ย่อมทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียเปรียบราวกับถูก "ปล่อยเกาะ" การประสานแนวร่วมนอกสภาก่อหวอดข้างถนน มีแนวโน้มไร้การสนับสนุนจากดุลอำนาจในสังคม

สรุปคือ สถานการณ์รัฐบาลได้เปรียบในเวทีรัฐสภา แม้พรรคประชาธิปัตย์เดินเกมตีรวน ป่วนรัฐบาลอย่างขาดสติ เท่ากับเพิ่มให้ภาพลักษณ์รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีดูดี มีภาพด้านบวกทางการเมืองมากขึ้น

+ องค์กรอิสระที่พึ่งอำนาจสุดท้าย

เบื้องหน้าความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ เมื่อพิจารณาภาพปรากฏ เท่ากับรัฐบาล-พรรคเพื่อไทย -นปช.ขัดแย้ง เผชิญ หน้ากับพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลข้างถนน แต่เนื้อแท้ความขัดแย้งยังเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง "ทักษิณกับเครือข่ายอำนาจล้าหลังในสังคม" ดังนั้น รัฐบาล-พรรคเพื่อไทยจึงเป็น ภาพสะท้อนการต่อสู้ของฝ่ายทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์คือตัวแทนของเครือข่ายอำนาจนำล้าหลังที่ถูกเบียดไล่ออกจากการเมืองไปทุกขณะ

ในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ "อำนาจทหาร" ในปัจจุบันอยู่ในภาวะ "นิ่ง" ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือการทำงานภาย ใต้นโยบาย โดยรัฐบาลพยายามประนีประนอมกับทหาร เหตุการณ์พฤษภา 2553 ที่เกิดกระแส "เอาผิด" กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มากกว่าการเร่งรัดกระทำต่อ "ทหาร" ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติของ ศอฉ. ย่อมบอกท่าทีทหารได้ชัดเจน

แม้ดุลอำนาจทหารอยู่ในภาวะนิ่ง แต่การประนีประนอมที่เกิดขึ้นนั้น ทหาร "สบายใจ" กับยิ่งลักษณ์ เป็นการเฉพาะ โดยไม่ได้เอียงเข้าสู่พรรคเพื่อไทยหรือทักษิณ ดังนั้น ดุลอำนาจทางทหารภายใต้ การนำของยิ่งลักษณ์แล้ว รัฐบาลมีความได้เปรียบเหนือเครือข่ายอำนาจนำและพรรคประชาธิปัตย์

พรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายอำนาจนำมีดุลอำนาจสนับสนุนลดน้อยลง การปลุกพลังมวลชนนอกสภามีความหมายเพียงให้เกิด "การเผชิญหน้ารุนแรงแล้วไปวัดผลกันในวันข้างหน้า" ปัจจัยกดดันข้างถนนเพื่อเร่งใช้ "สถานการณ์รุนแรง" ให้เกิดพลังบีบอำนาจทหารให้เลือกข้าง รวมทั้งรองรับอำนาจกระบวน การยุติธรรมได้มีทางออกกับแนวทางสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่เกิดมรรคผลดังหวังไว้

ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์กับแนวร่วมด้านมวลชน รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรฯและ กองทัพประชาชนยังอ่อนแรง พลังที่มีน้ำหนักมากสุดคือ กระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่น ดิน ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง พลังเหล่านี้ล้วนเป็นที่พึ่งทางอำนาจ "สุดท้าย" ที่เหลืออยู่ของพรรคประชาธิปัตย์

ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ทางการเมืองในอนาคตจึงเป็นการพยายามสร้างแนวร่วมใน "องค์กรอิสระ" ของแต่ละฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์มุ่งหวังแรงกดดันจากเครือข่ายอำนาจเก่าช่วยบีบองค์กรอิสระให้มาเป็นพวก แต่ฝ่ายรัฐบาลกลับพยายามใช้เงื่อนไขสถานการณ์เปลี่ยนผ่านอำนาจและการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของ "สมาชิกวุฒิสภา" ให้เกิดประโยชน์ เพื่อปลดปล่อยองค์กรอิสระออกจากฐานทางการเมือง แล้วอยู่ในภาวะนิ่งเหมือนทหาร

อุปสรรคของรัฐบาลอยู่ที่องค์กรอิสระ โดยเฉพาะ ป.ป.ช.มีภารกิจชี้เป็นชี้ตายทางการเมืองของยิ่งลักษณ์ หากนายกรัฐมนตรีพลาดถูก ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญเล่นงาน นั่นหมายถึง ดุลอำนาจทหารมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ แม้มีนายกรัฐมนตรีใหม่เข้าแทนที่ยิ่งลักษณ์ แต่การสร้างมิตรภาพและประนีประนอมกับทหารย่อมเริ่มต้นใหม่ด้วยเช่นกัน

ปัญหาอยู่ที่ว่า รัฐบาล และพรรคเพื่อไทยจะประคับประคองภาพลักษณ์ที่ได้เปรียบในการทำงานแบบ "ชาติเหนือพรรค" เพื่อเผชิญหน้ากับการตีรวน ป่วนของพรรคประชาธิปัตย์อย่างมีความ "อดทน" ในระดับที่มากด้วยวุฒิภาวะทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยได้มากน้อยเพียงใด

+ ทำได้แค่ป่วนและตีรวน

พรรคประชาธิปัตย์ยังโหมแรงแบบ "บ้า-เพี้ยน" ตีรวน ป่วน ในสภามากขึ้น โดยใช้เงื่อนไขของการแปรญัตติกฎหมายนิรโทษกรรมขั้นคณะกรรมาธิการ แล้วตอกย้ำเชื่อมโยงไปสู่การช่วยทักษิณเพื่อทำลายความชอบธรรมของการช่วยเหลือประชาชน

ประเด็นของสภาปฏิรูปการเมืองจะเริ่มเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นครั้งแรกในช่วงต้นกันยายนเป็นอย่างช้า เวทีนี้ขาด ความร่วมมือจากพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ ดังนั้น การโจมตีสภาปฏิรูปการเมืองด้วยวิธีการลากไปผูกกับ "เวทีช่วยทักษิณกลับบ้าน" จะถูกนำมาป่วน และทำลายความน่าเชื่อถือ

การสร้างเวทีปฏิรูปการเมือง รหัสการทำลายของพรรคประชาธิปัตย์ยังเน้น การโฆษณาว่า เป็น "เวทีละครการเมือง" หรือสภาปาหี่ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือในภารกิจ "ชาติเหนือพรรค" ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

แนวโน้มพรรคประชาธิปัตย์จะใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อด้วยการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯเพื่อขยายผลการเดินเกมพลังมวลชนข้างถนน สถานการณ์กลุ่มมวลชน ต่อต้านที่สวนลุมพีนียังไร้เป้าหมาย ขาดพลังสนับสนุน กลุ่มนี้ชุมนุมกันไปเป็นวันๆ เพราะคาดหวังจะมีความเติบใหญ่จากปัจจัยกลุ่มพันธมิตรฯมาสมทบ แต่เงื่อนไขให้ "ส.ส.ลาออกยกพรรค" ยังเป็นขวากหนามการจับมือกับประชาธิปัตย์เพื่อออกมาร่วมต่อสู้ข้างถนน

สิ่งสำคัญอยู่ที่การตัดสินใจของกลุ่มพันธมิตรฯว่า จะลดทอนเงื่อนไขในการเคลื่อนมวลชนหรือไม่ เพราะเมื่อไร้กลุ่มพันธมิตรฯแล้ว แนวโน้มบ่งบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ทำได้แค่โวยวาย ตีรวน ป่วนในสภา พยายามใช้ปากลากโยง ผูกปมการเมืองทำลาย "ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ" จนพันรอบตัวเองราวกับลิงแก้แหยากจะดิ้นหลุด

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โต้ง-อาคม ยืนยัน ศก.ไทยไม่ถดถอย !!??



กิตติรัตน์-อาคม ยืนยันหนักแน่น!!! เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย มั่นใจเงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออก ลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาต่อยอดสินค้า

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  กล่าวในรายการ  รัฐบาลยิ่งลักษณ์  พบประชาชน   ยืนยัน  ถึงภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย  มั่นใจ  เงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออก  เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน  ด้านนายอาคม  เติมพิทยาไพสิฐ  เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจอยู่ระหว่างการปรับสมดุล โดยปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้นมาจากการบริโภคในประเทศ  หลังจากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว  ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มคุณภาพบุคลากร  การพัฒนาต่อยอดสินค้า

พิธีกร  :  ท่านผู้ชมหลายๆ คนเป็นห่วงว่า  ภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย  เป็นห่วงว่าตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาลดลงอย่างต่อเนื่อง 2 ไตรมาส  ขณะที่สำนักข่าว BBC ก็รายงานว่า  ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว ถ้ามองกันจริงๆ ทั้งเรื่องของการส่งออก  การท่องเที่ยว  การบริโภค  การลงทุน  เครื่องยนต์แต่ละตัวเป็นอย่างไร  ต้องเรียนถามท่านรองนายกฯว่า  แท้จริงแล้วเนื้อเศรษฐกิจเป็นอย่างไรบ้างคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ก็ขอขยายความคำว่า  เศรษฐกิจถดถอย  คำว่า  ถดถอย  แปลว่า  ไม่สามารถรักษาระดับเดิมและก็ลดลง  เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงอัตราการเติบโตก็ต้องบอกว่า  เป็นอัตราที่ติดลบถึงจะบอกว่าถดถอย  ผมเข้าใจว่า  การตีความตรงนี้ไปดูตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ  หรือว่าตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 คือหมายถึง  ช่วงเวลาเดือนเม.ย.- มิ.ย.ของปี 2556 เทียบกับไตรมาสที่ 1 ช่วงเดือนม.ค.- มี.ค. ปี 2556 หรือว่า  อาจจะอ้างถึงตัวเลขไตรมาสที่ 1 ของปีนี้นะครับ  เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว

พิธีกร : คือเทียบไตรมาสต่อไตรมาสที่แล้ว

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ใช่ครับ  ซึ่งก็เห็นตัวเลขเป็นลบจริงนะครับ  แต่สำหรับผม  ผมคิดว่า  ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขประกอบตัวเลขที่มีความสำคัญมากกว่า  คือการเทียบกันกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าหากว่าดูไตรมาสที่ 2 ก็คือช่วงเม.ย. -มิ.ย. ปี 2556 เทียบกับเม.ย.- มิ.ย. ปี 2555 แล้วดูว่ายังโตอยู่หรือเปล่า  ถ้าหากว่ายังโตอยู่  แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย  ความจริงการที่เราติดลบลงจากไตรมาสก่อนนั้นมันมีคำอธิบายอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องปกติทั่วๆไปนะครับ  ยกตัวอย่างเช่นในไตรมาสที่ 2 มีเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นเดือนสำคัญของการหยุดพัก  เป็นเทศกาลประจำปีของประเทศถ้าเทียบกับไตรมาสที่ 1 ซึ่งก็เป็นการทำงานค่อนข้างจะเต็มที่  เพราะฉะนั้นไตรมาสที่ 2 เทียบกับไตรมาสที่1 ก็จะมีลักษณะตรงนี้อยู่  แต่ว่าในปีนี้มีลักษณะพิเศษคือว่า  ในเดือนเม.ย. มี 2 เรื่องสำคัญ  เรื่องที่ 1. คือการที่เราหยุดรับแก๊สจากประเทศเมียนมาร์  เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์  ซึ่งก็ต้องประสานให้ภาคอุตสาหกรรมชะลอการผลิตในช่วงเวลาดังกล่าวนะครับ  เพื่อที่จะไม่ต้องใช้พลังงานมากจนเกินไป

เรื่องที่ 2. ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้  เป็นช่วงที่อัตราแลกเปลี่ยนหรือว่าค่าเงินบาทของเราแข็งค่าขึ้นที่สุด  เท่าที่เคยปรากฎมาในช่วงระยะเวลาเป็นทศวรรษ  ซึ่งก็เป็นอัตราที่เคยแข็งที่สุด คือ 28 บาทเศษๆ ในช่วงเดือนเม.ย. ฉะนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกใจที่ภาคส่งออก  จะไม่สามารถทำงานได้ดีนัก ในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นการที่เราจะเทียบไตรมาสที่ 2 กับไตรมาสที่ 1 ก็คงจะเป็นข้อมูลแค่ประกอบ  และไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเราถดถอย

พิธีกร  :  พอเห็นตัวเลข 2 ไตรมาสที่ลดน้อยลง  ทำให้คนตกใจว่า  เกิดสัญญาณถดถอยขึ้นหรือเปล่า  ท่านรองนายกฯ เปรียบเทียบว่า  ควรจะไปเทียบปีต่อปีมากกว่าไปเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา  ถ้ามองตัวเลขตรงนี้แล้ว  ดูฟันเฟืองด้านเศรษฐกิจทั้งส่งออก  การท่องเที่ยว  การลงทุน  การบริโภค ทั้ง 4 เครื่องยนต์หลักเป็นอย่างไรบ้างคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ก็ยังเป็นบวกอยู่  ยกเว้นเรื่องส่งออก  อย่างที่เรียน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคำนวณเรื่องส่งออกที่แปลงเป็นเงินบาท  เราก็ติดลบลง  แต่เนื่องจากเหตุผลที่ได้เรียนไปว่า  เวลาค่าเงินบาทแข็ง  การจะแข่งขันและการส่งออกก็จะทำยากขึ้น  ความจริงผมเคยส่งสัญญาณมานานแล้วว่า  ไม่อยากเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจนเกินไป  ตั้งแต่ครั้งที่เรายังอยู่ในระดับประมาณ 32 บาท ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ  เมื่อปีก่อน  เสียดายที่มันได้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น  แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ค่าเงินบาทก็อ่อนตัว  และกลับไปอยู่ในระดับที่ผมคิดว่า  เหมาะสมและก็สามารถแข่งขันได้  เพราะฉะนั้นก็หวังว่าจะไม่มีใครมาชี้อีกว่า  เราอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว  เพราะจริงๆ แล้ว  ช่วงที่แข็งค่าไปตรงนั้น  ถ้าจินตนาการว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นได้  ก็จะเป็นเรื่องดีกับเศรษฐกิจ  และจริงๆ มันก็เป็นความราบเรียบของค่าเงินบาทเอง  ที่จะอยู่ในประมาณ 31เศษๆ 32 เศษๆ  ก็เป็นช่วงที่ดีที่มีความสามารถในการแข่งขันได้  หากเรารักษาระดับความเสถียรภาพความต่างระดับไว้ได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี  ทั้งในเรื่องการส่งออก  ทั้งเรื่องการควบคุมเงินเฟ้อที่จะเกิดจากสินค้านำเข้า

พิธีกร  :  ท่านรองนายกฯ กำลังจะบอกว่า  เงินบาทที่อ่อนค่าลงมาในขณะนี้  น่าจะส่งผลดีกับเศรษฐกิจ  ส่งผลดีต่อการส่งออกในเร็วๆ นี้  ใช่ไหมคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ใช่ครับ

พิธีกร  :  ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์คะ  ถ้ามองตัวเลขเศรษฐกิจเจาะลงไปในรายกลุ่ม  ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา  เป็นอย่างไรบ้างกับการลงทุน  การบริโภค  กับการท่องเที่ยวคะ

อาคม  :  คือในแง่ของไตรมาสที่ 2 ผมย้อนไปนิดหนึ่ง  เมื่อปีที่แล้วหลังน้ำท่วม  การใช้จ่ายภายในประเทศค่อนข้างสูง  เพราะว่าชาวบ้านที่น้ำท่วมต้องใช้เงินไปซ่อมแซมบ้าน  โรงงาน  ก็ต้องสั่งซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ซ่อมแซมโรงงานใหม่  เพราะฉะนั้นปีที่แล้วค่อนข้างสูง  เพราะฉะนั้นปีนี้มันปรับตัวเข้าสู่ในระดับปกติของเรา  หลังจากค่าใช้จ่ายที่เราต้องเพิ่มมาเป็นพิเศษตรงนั้น  เพราะฉะนั้น  อย่างไรก็ตามแล้ว  ในเรื่องการใช้จ่ายของครัวเรือนหรือของประชาชนก็ยังเพิ่มอยู่  อย่างที่ท่านรองนายกฯ ได้พูดเมื่อสักครู่นี้  ถ้ามองเทียบกับปีที่แล้วยังบวกอยู่แน่นอน  เพียงแต่อยู่ในระดับที่ปกติ  เรื่องการลงทุนก็เช่นเดียวกัน  เพราะว่ามาตรการของรัฐ  โดยเฉพาะเรื่องของการเร่งรัดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ  เราก็จะเห็นว่าในช่วงไตรมาสที่1 ที่ 2 นั้น  การใช้จ่ายก็ยังสูงอยู่  ส่วนเรื่องของภาคเอกชนนั้นก็อาจจะมีติดขัดอยู่นิดเดียวตรงช่วงไตรมาสที่ 2 นั้น  การสั่งซื้อเครื่องจักรน้อย  ซึ่งก็น่าเสียดายตรงที่ว่า  ช่วงนั้นเงินบาทพอดีแข็ง  แทนที่จะได้ของถูก  แต่ว่าแน่นอนที่สุดถ้าก่อสร้างโรงงานไม่เสร็จก็ติดตั้งเครื่องจักรไม่ได้อย่างชัดเจน

พิธีกร  :  ตอนบาทแข็งตรงนั้นจะเร่งนำเข้าสินค้าทุนก็ยังไม่มีมากนักในช่วงเวลานั้น

อาคม  :  ยังไม่มากนักครับตรงนั้น  ส่วนเรื่องส่งออกนั้นผมเรียนว่า  จริงๆ แล้วเราอาจจะเห็นผลของเศรษฐกิจโลก  ถ้าพูดถึงเรื่องถดถอย  ผมเห็นว่า  ยุโรปถดถอยแน่นอน  เพราะว่าปีนี้เขาติดลบ  อันนั้นชัดเจน  แล้วก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย  ซึ่งบวกกับในเรื่องของเรื่องบาทแข็งในช่วงเดือนเม.ย. แล้วก็มีวันหยุดด้วย  ฉะนั้นออเดอร์ส่งออกมาลงในช่วงไตรมาสที่ 2 พอดีเลย  ฉะนั้นไตรมาสที่ 2 ตัวเลขส่งออกก็ติดลบ อย่างไรก็ตาม เมื่อรวม 6 เดือนแรกส่งออกของเรายังบวกอยู่นะครับ  เราก็คาดว่าจริงๆ แล้วปีที่แล้ว เนื่องจากตลาดในประเทศดี  เพราะฉะนั้นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมทั้งหลายก็ชิปสินค้าตัวเองมาขายในประเทศมาก  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรถยนต์  ไม่ว่าจัดเป็นวัสดุก่อสร้าง  เพราะขายในประเทศได้ราคาก็ลดในเรื่องของตลาดต่างประเทศในปีนี้กลับมาอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนะครับ

พิธีกร  :  ถ้ามองที่ไตรมาส 3 วันนี้เราอยู่ในไตรมาส 3 คือเดือนก.ค. - ก.ย. ท่านรองนายกฯ มองไตรมาส 3 อย่างไรบ้างคะกับตัวเลขต่างๆ

รองนายกฯกิตติรัตน์   :  ผมก็มองว่า  เราก็ยังมีโอกาสที่จะขยายตัว  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ต้องยอมรับว่า  โลกมีการผันผวนมากจริงๆ หลายสิ่งหลายอย่างสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว  แม้กระทั้งหน่วยงานสำคัญๆเศรษฐกิจของประเทศ  ผมจำได้ว่าในช่วงต้นๆ ไตรมาสที่ 2 กับกลางไตรมาสที่ 2 ยังห่วงว่า  เศรษฐกิจจะร้อนแรงไปหรือเปล่า  พอผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ไม่กี่เดือน  กลับกลายมากังวลร่วมกันว่า  เศรษฐกิจจะเติบโตดีพอหรือเปล่า  อย่างไรก็ตามผมคิดว่า  เราเองต้องมองเศรษฐกิจในเรื่องยาวๆ นะครับ  แล้วก็แนวทางในเรื่องการปรับสมดุล  ไม่อยากจะมองในเรื่องรายเดือนรายไตรมาสจนเกินไป  เพียงแต่ว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลประกอบ  ทิศทางเดียวกันในทางที่ดี  สิ่งที่ประเทศกำลังต้องการคือ  การอยู่ในเวลานี้  คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ  ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้  ลงทุนแล้วก็จะกลายเป็นศักยภาพที่ดีเยี่ยม  เมื่อระบบต่างๆ เสร็จแล้ว  ประสิทธิภาพจะดีขึ้นนะครับ  ในช่วงไตรมาสที่ 3 ส่วนสำคัญก็คือเรื่องการใช้จ่ายผ่านภาครัฐ  เพราะว่าไตรมาสที่ 3 ของปี คือ ไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ  การที่จะดูแลให้มีการใช้จ่ายภาครัฐให้เป็นไปตามแผนยังเป็นส่วนที่รัฐบาลต้องทำงานอย่างจริงจัง  และควบคุมให้ได้นะครับ  อีกส่วนหนึ่งก็คือความสำคัญด้านมั่นใจ  เวลาเราพูดกันไปมากๆ ว่า  เศรษฐกิจจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็เข้าใจ

พิธีกร :  มันเกิดผลทางจิตวิทยา

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  บางท่านอาจจะเตรียมที่จะซื้อสินค้าต่างๆ  เป็นปกตินะครับ  อาจจะกังวลบ้าง  แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ดีพอสมควรในไตรมาสนึงครับ

พิธีกร  :  ค่ะ ถ้ามองไตรมาส 3 แล้ว จำเป็นต้องมีมาตรการอะไรที่จะอัดฉีดเศรษฐกิจออกมาไหมคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ผมก็เลิกพูดคำว่า  อัดฉีด  เลิกพูดคำว่า  กระตุ้นมาเป็นเวลานานแล้วนะครับ  ความจริงส่วนที่เราต้องทำงานก็คือว่ากลจักรต่างๆ  ทั้งตัวหลักที่เรียกว่า  การส่งออกการลงทุนภาคเอกชน  การอุปโภค  บริโภคในประเทศการใช้จ่ายภาครัฐ  ก็ต้องทำกันจริงจัง  นอกจากนั้นสามารถแตกแขนงเป็นเรื่องต่างๆ ได้  ขบวนการส่งออกก็หมายถึง  เรื่องการส่งออกสินค้า  การส่งออกบริการก็หมายถึง  การท่องเที่ยว  การใช้จ่ายภาครัฐก็หมายถึง  การใช้จ่ายเพื่อการบริหารจัดการทั่วไป  การอบรมสัมมนาก็หมายถึง  การลงทุนโครงการต่างๆ ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่  สิ่งเหล่านี้  เราทำงานกันอย่างจริงจังเต็มที่นะครับ  สร้างบรรยากาศให้ดี  นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความสบายใจในการที่จะขยายกำลังการผลิต  ในการที่จะสร้างโรงงานต่างๆ  เศรษฐกิจก็ไปได้  เพราะฉะนั้นผมคิดว่าส่วนที่สำคัญถามว่า  ตอนนี้อยากทำอะไร  อยากให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของเศรษฐกิจไทย  แล้วก็ความมั่นใจร่วมกันมีไม่กี่ประเทศในโลกครับที่มีการกระจายตัวดีแบบไทย  แล้วก็มีอัตราการว่างงานต่ำ  คนไทยแทบจะทุกคนถ้าไม่เกี่ยงงาน  ถ้าไม่เลือกจนเกินไปเขาสามารถมีงานทำได้  สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นกลจักรสำคัญ  ที่ทำให้เศรษฐกิจของเราเติบโตได้เป็นอย่างดีในช่วงปานกลาง ระยะยาว

พิธีกร  :  ค่ะ  แต่ถ้ามองปัจจัยเสี่ยงในช่วงเวลานี้  ท่านผู้ชมก็จะทราบเองว่า  ถ้าติดตามข่าวสารว่า  ปัจจัยเสี่ยงเรื่องของต่างประเทศ  เศรษฐกิจการขยายตัวของเอเชียเองรวมถึงจีนเป็นหลัก  มันก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของประเทศไทยด้วย  วันนี้มองจีน มองเอเชียแล้วกลับมามองเรา  ความเสี่ยงมันเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน  การที่จีนแค่โตขึ้นน้อยลงนิดเดียวมันก็กระทบกับเราแล้วค่ะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ครับ  จริงๆ แล้วก็ยอมรับ  เราเป็นประเทศที่ยังพึ่งพาการส่งออกมาก  แม้ว่าจะทำงานกันมาระดับหนึ่ง  จนเริ่มจะพึ่งพาเรื่องอื่นๆ มากขึ้น  ก็ยังพึ่งพาการส่งออกมาก  ก็จะต้องได้รับผลกระทบ  ถ้าหากว่าโลกมีความขลุกขลัก  แต่ว่าจีนถ้าจะเติบโตชะลอลง  เขาก็ยังจะเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าคนอื่นๆ  แล้วก็เติบโตเร็วกว่าเรา  เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้ค้าผู้ขายที่ดีกับเขาก็จะเป็นเรื่องที่หวังได้  ประเทศในอาเซียนเองก็ยังเป็นประเทศที่มีการขยายตัวที่ดีนะครับ อย่างไรก็ตาม  ขออนุญาตเรียนว่า  ความพร้อมของเราในขณะนี้เราสามารถที่จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี  เงินสำรองระหว่างประเทศสูงกว่า 170 พันล้านเหรียญสหรัฐ  สภาพคล่องที่เป็นเงินบาทที่ดูแลอยู่ในระบบธนาคารกลางมีในระดับที่สูง  แล้วก็ส่วนอื่นๆ ที่เป็นข้อกังวลถ้าหากว่า  อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนไปจะเป็นอย่างไรต่อ  ราคาน้ำมัน  กองทุนน้ำมันของเรา  ในช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทแข็ง  เราก็รักษาความเข้มแข็งไว้ดี  กองทุนน้ำมันสามารถที่จะติดลบขึ้นไปถึง 2-3 หมื่นล้านได้  เราเคยอยู่ในระดับนั้น  ดูแลความไม่ผันผวนของน้ำมันขนาดนี้  กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีจำนวนมูลค่าเป็นบวกเกือบหมื่นล้านนะครับ  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนไป  น้ำมันดิบในตลาดโลกซึ่งเกิดจากสถานการณ์ตรึงเครียดในตะวันออกกลางเกิดขึ้น  เราก็จะสามารถประคับประคองราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศให้อยู่ในระดับที่เป็นอย่างนี้  โดยไม่กระเทือนเงินเฟ้อได้ในระยะที่นานเลยทีเดียว

พิธีกร  :  คือกำลังจะบอกว่า  ยังมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะสามารถเข้ามาบริหารจัดการดูแลได้  ไม่ให้ราคามันผันผวนสูงจนเกินไป

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ใช่ครับ  เพราะฉะนั้นภูมิคุ้นกันในเรื่องต่างๆ  ผมคิดว่า  อยู่ในภาวะที่เข้มแข็ง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะบอกว่า  ไม่กระทบเลยเวลาที่โลกเขาผันผวนก็คงไม่ถูกต้องนะครับ

พิธีกร  :  ในส่วนของท่านอาคม  มองตรงนี้อย่างไรคะ

อาคม  :  ช่วงนี้เป็นช่วงของการปรับสมดุลอย่างที่ท่านรองนายกฯ พูดเมื่อสักครู่นี้  จริงๆ แล้วผมอยากเรียนเพิ่มเติมในเรื่องของไตรมาส 2 นิดหนึ่งมีสัญญาที่ดีอยู่ 3 เรื่อง  เรื่องที่ 1. คือเรื่องท่องเที่ยวของเรานั้น  ไม่มีใครพูดถึงเลยท่องเที่ยวยังต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วที่สนามบินสุวรรณภูมิแน่น  สนามบินดอนเมืองแน่นตลอด  และสนามบินที่ต่างจังหวัดนักท่องเที่ยวไปกันเยอะ เรื่องที่ 2. คือราคาสินค้าเกษตรเราอาจพูดเฉพาะเรื่องข้าว  แต่จริงๆ ข้าวเป็นสินค้าเดียว  ต้องพูดสินค้าอื่นด้วย สินค้าอื่นอย่างพวกมันสำปะหลัง ข้าวโพด  อะไรพวกนี้ปรับตัวดีขึ้น  เพราะฉะนั้นตรงนี้เองทำให้รายได้ภาคเกษตรนั้นก็ดี  อีกอันที่อยากจะเรียนว่า  เวลาพูดถึงเศรษฐกิจจีนนั้นกระทบ  ไม่ใช่กระทบเฉพาะประเทศไทย  แต่กระทบในอาเซียนด้วยพวกผลิตชิ้นส่วนต่างๆ  ประเด็นตรงนี้คือว่า  มันมีการปรับโครงสร้างใหม่  เพราะว่าการแสวงหาวัตถุดิบ  การให้ประเทศใดประเทศหนึ่งผลิตชิ้นส่วนแต่เพียงประเทศเดียวไม่เป็นจริงต่อไปเพราะเกิดความเสี่ยง  เพราะฉะนั้นตรงนี้เองเมื่อจีนกระทบมันจะมากระทบประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียนด้วย  เรื่องที่ 3. คือเรื่องของเทคโนโลยี  เทคโนโลยีวันนี้ถ้าเราเห็นว่าอิเล็กทรอนิกส์  เราส่งออกไม่ดีเท่าไรแต่จริงๆ มันมีเหตุผลเบื้องหลังคือว่า  วันนี้เราเองเคยเป็นผู้ส่งออกในเรื่องของ desktop computer notebook แต่วันนี้ทุกคนหันไปใช้แท็บเล็ตกันหมด  เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยน  เราเองนักลงทุนที่ลงทุนในประเทศไทยก็เริ่มที่จะต้องคิดในเรื่องนี้ว่า  ต้องเปลี่ยนรูปแบบสินค้าใหม่เลย  ทำให้ช่วงส่งออกของเราซึ่งเราพึ่งพาค่อนข้างเยอะ มันก็เลยตกไปตรงนี้

พิธีกร  :  พอการส่งออกชะลอตัวไปแบบนี้  มันจะกระทบไปอย่างต่อเนื่อง  กระทบกำลังซื้อของผู้บริโภคต่างๆ ต่อเนื่องไปด้วย

อาคม  :  ที่นี้อีกจุดหนึ่งที่เรียนไม่ว่าจะเป็น ไตรมาสที่ 1 ไตรมาสที่ 2 ที่เราเห็นก็คือว่า  เศรษฐกิจภายในประเทศนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนมากขึ้น  เมื่อเทียบกับภาคการส่งออกอยู่ประมาณ 60-70 %  แต่วันนี้เราเริ่มจะใช้เศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น  เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดว่า  จะขับเคลื่อนในช่วงไตรมาสที่ 3 ไตรมาสที่ 4 หรือแม้กระทั้งในปีต่อไป  คือเรื่องของการลงทุนภายในประเทศ

พิธีกร  :  ทั้งภาครัฐและเอกชน

อาคม  :  ถูกต้องครับ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย  จะมาเสริมกำลังการผลิตของเรา  เสริมในเรื่องของต้นทุน  ลดต้นทุน  ในเรื่องของการผลิตของภาคเอกชน  ตรงนี้เองก็ทำให้การลงทุนกลับเข้ามาสู่ประเทศของเรา  ข้อสุดท้ายเรื่องของสิ่งที่กระตุ้นหรือไม่กระตุ้น  ผมคิดว่า  เอาแค่ว่าวันนี้เราอีก 2 ปีจะได้เห็นอาเซียน  เอาแค่ว่า  สินค้าของเราจะเคลื่อนย้ายระหว่างภูมิภาค  เราปรับปรุงในเรื่องของการอำนวยความสะดวกสินค้าผ่านแดนได้เร็วขึ้น  สินค้าวัตถุดิบของเราไปอยู่ประเทศอื่น  หรือประเทศเข้ามาประเทศเรา วันนี้ระบบการขนส่งทางบกค่อนข้างสะดวก  ถ้าเราปรับแค่ตรงนี้หรือการอำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนภาคการส่งออกต่างๆ พวกนี้เชื่อว่า  ต้นทุนเราลดแน่นนอนและสินค้าเราจะส่งออกได้

พิธีกร  :  และอาเซียนจะเป็นตลาดใหญ่ในอนาคตอันใกล้  ซึ่งขณะนี้ก็ถือว่า  การส่งออกในไทยส่งออกไปทั่วโลก  อาเซียนก็เป็นอันดับ 1.อยู่แล้ว  แต่โอกาสในการขยายการค้า  การลงทุนระหว่างไทยกับอาเซียนมีสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ถ้าหันกลับมาดูในบ้านเราท่านเลขาธิการฯ คะ ตัวกำลังซื้อของประชาชนบางกระแสบอกว่า  ตอนนี้กู้เงินก็ยากขึ้น  กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน กู้รถไม่ผ่านสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร

อาคม  :  ขึ้นอยู่กับ 2 ด้าน  ด้านที่ 1. คนกู้คือ ประชาชน  กับอีกด้านหนึ่งคือผู้ให้กู้  ผมเชื่อว่าผู้ให้กู้เองก็ต้องมีความระมัดระวังเหมือนกัน  จะให้ไฟแนนซ์ใคร  ในเรื่องของสินเชื่ออะไร  ประเทศใดก็ตามในระดับเดียวกันของผู้กู้เอง  ผมเชื่อว่ามาตรการของรัฐบาล  โดยเฉพาะนโยบายในเรื่องของการเพิ่มรายได้ตรงนี้ยังต้องเพิ่มต่อ  จะเพิ่มบนพื้นฐานของประสิทธิภาพ  ปีที่แล้วเราเพิ่มในเรื่องของค่าแรง 300 บาท  แน่นนอนกำลังซื้อกลับมา  ด้านที่ 2. คือใครก็ตามที่จบปริญญาตรีนั้นได้ 15,000 บาท นั้นคือขั้นพื้นฐาน  ทำให้เราสามารถให้ผู้กู้หรือประชาชนที่มีเงินเดือนขึ้นอยู่กับเงินเดือน  สะท้อนในเรื่องของขีดความสามารถของเขาโดยแท้จริง

พิธีกร  :  มีกำลังซื้อมากขึ้น

อาคม  :  เป็นธรรมมากขึ้น  มีรายได้มากขึ้น  เพราะฉะนั้นในอนาคตนั้น  คงจะต้องเสริมในเรื่องของการฝึกทักษะ  หรือให้เขามีองค์ความรู้มากขึ้น  เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพรายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้น  นอกเหนือจากนั้นก็คงเป็นในเรื่องสิ่งที่เราทำกันอยู่  OTOP เรื่องสินค้า  กองทุนต่างๆ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาส  ผมยกตัวอย่างว่า  มีญี่ปุ่นมาถามเหมือนกันว่า  ทำไมประเทศไทยไม่คิดเรื่องของผลิตภัณฑ์สุขภาพ  หรือในเรื่องของคอสเมติก  ที่เป็นเนเชอรัล  ที่เป็นคอสเมติกจากธรรมชาติ เขาบอกเป็นโอกาสของประเทศไทยทำไมไม่รีบทำตรงนี้  เพราะฉะนั้นตรงนี้เอง  ถ้าเรารู้จักในเรื่องของการเอางานวิจัยเข้ามาปรับปรุงในเรื่องของสมุนไพรต่างๆ ที่มาเป็นวัตถุดิบตรงนี้  เราก็มีโอกาสเป็นสินค้ากลุ่มใหม่ที่จะสร้างรายได้  และเป็นรายได้ที่อยู่กับชาวบ้านทั้งหมดครับ

พิธีกร  :  เงินอยู่ในประเทศ เงินลงไปในท้องถิ่นชุมชนด้วยนะคะ ท่านรองนายกฯคะ ถ้าเกิดมองภาพใหญ่ของประเทศวันนี้  มองภาพใหญ่ประเทศ  ต่างชาติให้ความเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ต่างชาติก็มีหลายๆ กลุ่มนะครับ  ถ้าบอกว่า  ต่างชาติที่เป็นผู้ลงทุนในภาคที่แท้จริงเป็นการลงทุนเพื่อสร้างกิจการต่างๆ จะเห็นได้ว่า  คำขอในการที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทีเดียว  และจะทำให้คำขอเหล่านั้นกลายเป็นลงทุนจริงอย่างต่อเนื่องไปข้างหน้า  ความเชื่อมั่นของประเทศต่างๆ  รอบๆ เรา  เขาทั้งเชื่อมั่น ทั้งหวังว่าเราจะดำเนินการต่างๆ  เพราะว่าการลงทุนในระบบคมนาคมขนส่งของเรา  จะสามารถเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ให้สามารถไปมาถึงกันเอง  และไปจนถึงประเทศที่มีเศรษฐกิจสำคัญๆ ในเอเชียตะวันออกได้นะครับ

ในส่วนที่อาจจะเป็นคำถามของคุณสร้อยฟ้า คือว่า แล้วผู้ลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนในระบบตลาดทุนเป็นอย่างไร  ผู้ลงทุนเหล่านี้เขาก็เชื่อมันแน่ว่า  ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่ง  เพียงแต่ว่าในแง่ของการที่จะกระโดดเข้ากระโดดออกตามภาวะเรื่องราวต่างๆ ที่ภาคการลงทุนในระบบกองทุนต่างๆ ที่มี  ก็อาจจะทำให้เกิดการผันผวน  แต่ผมอยากชี้ว่าทุกๆ ครั้งที่มีการดำเนินการขายหุ้นเป็นขนานใหญ่ โดยผู้ลงทุนต่างประเทศ  ก็มักจะเป็นโอกาสทองของคนที่รอซื้อหุ้นอยู่  ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนต่างประเทศรายอื่น  หรือว่าผู้ลงทุนในประเทศเอง  โอกาสที่จะได้ซื้อหุ้นในราคาถูกๆ  มักจะเกิดขึ้นในยามที่มีความกังวลในลักษณะนี้ที่เป็นเชิงภูมิภาค ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญในความท้าทายในการตอบโจทย์  อินโดนีเซียกำลังจะต้องตอบโจทย์ว่า  เขาจะแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า  หรือการขาดดุลงบประมาณอย่างไร  มาเลเซียกำลังต้องการตอบโจทย์เหมือนกันว่า  เขาจะดูแลการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลให้ดีขึ้นอย่างไร  ประเทศไทยขณะนี้ผมคิดว่าเราไม่ได้มีโจทย์อะไรต้องตอบ  เราตอบชัดแล้วว่าเราจะแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณอย่างไร  และดำเนินการมาแล้วเห็นจริงอย่างต่อเนื่องหลายปีงบประมาณแล้ว  เรากำลังดำเนินการที่จะผ่านกฎหมายเพื่อการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน  และเราก็ตอบโจทย์ไปนานแล้วว่า  ต่อให้เราลงทุนเต็มอัตราที่ว่านี้  หนี้สาธารณะเราก็อยู่ในระดับที่ต่ำ  ดังนั้นผมเชื่อว่าเราได้อยู่ในความมั่นใจของผู้ลงทุนต่างๆ ครับ

พิธีกร  :  คือวันนี้สิ่งที่ประชาชนทั่วไป  สิ่งที่นักลงทุนเป็นห่วง  กระแสเงินทุนไหลออกของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาบ้านเรา  ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น  ตลาดตราสารหนี้  ตัวบอลเป็นอย่างไรบ้าง  มีความน่าเป็นห่วงแค่ไหนท่ามกลางบรรยากาศที่เงินบาทอ่อนค่าลงมา เห็น 31 แล้วแบบนี้ค่ะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  เมื่อวานนี้  ผมได้เรียนในที่ประชุมไปว่า  ถ้าเงินไหลออกซะบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี  เพราะเงินจำนวนมากนี้ไม่ควรจะไหลเข้ามาเลย  ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  แล้วเข้ามาก็เป็นภาระทำให้เงินสำรองของประเทศดูสูงขึ้น สวยขึ้นก็จริง  แต่เป็นภาระที่ทำให้เมื่อเงินเหล่านั้นถูกแปลงเป็นเงินบาท  ก็จะต้องถูกดูแลโดยธนาคารกลางไว้เป็นต้นทุน  การไหลออกไปบ้างทำให้ภาระเหล่านั้นลดลง  และช่วงเวลาที่ไหลเข้ายังไม่สมควร  เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอย่างไม่จำเป็น  และทำให้เกิดผลกระทบต่อภาคที่แท้จริงคือการส่งออก  ฉะนั้นการที่เราจะเห็นเงินไหลออกไปบ้าง  บางคนบอกว่าไหลเข้าน้อยลงพอไหม  ผมว่าก็ยังดีไหลเข้ามากขึ้น  แต่ว่าถ้าไหลออกไปบ้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย  และก็เงินสำรองของเรา  ถ้าหากจะลดไปจาก 170 เหรียญลงไปบ้าง  เพราะขนาดนี้มียอดเงินสำรองเป็นจำนวนหลายเท่าของหนี้ระยะสั้น  และเพียงพอต่อการนำเข้าสินค้าต่างๆ  ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะครับ

พิธีกร  :  สรุปสุดท้ายตรงนี้คำว่า  ถดถอย ที่หลายๆ คนเป็นห่วงกันว่า  ภาวะเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว  ตรงนี้จะพิสูจน์กันได้ในการค้าการธุรกิจของไตรมาส 3 ไตรมาส 4 นี้ไหมคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  เพียงแต่ผมเรียนว่า  มองประเทศไทย  มองยาวๆนะครับ  แล้วก็อย่าไปสนใจเรื่องนี้จนกระทั่งเราลังเลกับเรื่องที่จะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  เราเคยน้ำท่วมขนานใหญ่มาแล้ว  เราต้องลงทุนเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องนี้ซ้ำขึ้นอีก ไม่ทราบฤดูกาลหน้าฝนปีไหนมันจะมีฝนมากกว่าปกติ  เราติดๆ ขัดๆ กับเรื่องการระบบคมนาคมขนส่งกันอยู่  การที่เราจะมุ่งหน้าเดินหน้าไปโดยที่เรารู้ความพร้อมของเราเป็นเรื่องสำคัญ  ทำเรื่องต่างๆ ที่สมควรทำ  แล้วก็การขยายตัวจะเกิดขึ้นเอง แทนที่จะหมกหมุ่นกับการที่จะต้องเห็นตัวเลขโตให้ได้  แล้วก็หาวิธีต่างๆ ที่จะทำให้โตในระยะสั้นๆ  เพื่อเอาอกเอาใจคนที่ติดตามข่าวระยะสั้นๆ อยู่  ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนัก

ที่มา.ทีนิวส์
/////////////////////////////////////////

เสม็ดบ้านฉัน มีปรอท !!??



โดย : วรุณรัตน์ คัทมาตย์

วันนี้คราบน้ำมันที่อ่าวพร้าวอาจจะเริ่มจางหายไปพร้อมคราบน้ำตาของชาวเสม็ด การท่องเที่ยวส่อแววดีขึ้นตามลำดับ

แต่ก่อนจะถึงวันนั้น สิ่งที่น่าห่วงกว่าน่าจะเป็นเรื่องสุขภาพของ 'เจ้าบ้าน' ที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่กับกลิ่นน้ำมันหรืออาจจะมีปรอทร่วมด้วย

"ตั้งแต่มีคราบน้ำมันมาวันแรก รู้กันเลยว่าตรงนี้หาปลาไม่ได้ เราต้องขับเรือออกไปไกลกว่าเดิม ชาวบ้านก็ไม่มีใครไปทอดแหจับปลาแถบนี้เลย เขาก็กลัว(ปรอท)เหมือนกันแหละ"

นี่เป็นเสียงเล็กๆ ของ มนตรี มาพึ่ง หนึ่งในชาวประมงท้องถิ่นที่สะท้อนให้เห็นว่าผลพวงจากคราบน้ำมันยังคงตามมารบกวนบ้านหลังใหญ่ของพวกเขา

มนตรีบอกว่าวันนี้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในอาหารทะเลของพวกเขาอีกต่อไป ชาวประมงต้องปรับแผนใหม่ในการออกหาปลา เขาเล่าให้ฟังท่ามกลางเพื่อนชาวประมงอีกหลายคนที่กำลังง่วนกับการแกะปลาตัวน้อยออกจากแหอวน

ไม่ใช่แค่คนหาปลาในกลุ่มของมนตรีกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่กับชาวประมงที่อ่าวอื่นๆ ของเกาะเสม็ดก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีทำมาหากินเช่นกัน

น้ำมันไป ปรอทมา

ปรากฏการณ์ 'กลัวปรอท' นี้เป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์อื้อฉาวที่เพิ่งเกิดขึ้นกับท้องทะเลไทยฝั่งตะวันออกเมื่อเดือนที่ผ่านมา กับกรณีที่เกิดน้ำมันดิบรั่วไหลออกจากเรือขนส่งน้ำมัน คราบน้ำมันได้ไหล ทะลัก แผ่กระจาย เข้ามาสู่อ่าวพร้าวเกือบทั่วบริเวณ เหตุการณ์ครั้งนี้ นับว่าเป็นวิกฤตหนักอีกครั้งหนึ่งของท้องทะเลไทยเลยทีเดียว

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีแถลงการณ์จากกรมควบคุมมลพิษออกมาว่าที่อ่าวพร้าวตรวจพบสารปรอทมากกว่ามาตรฐานถึง 29 เท่า แต่อ่าวอื่นๆ ตรวจสอบแล้วพบว่า ส่วนใหญ่มีปรอทไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลที่กำหนดไว้คือ 0.1 ไมโครกรัมต่อลิตร ต่อมาไม่นานก็ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าปรอทที่พบในอ่าวพร้าวนั้นลดลงและไม่เป็นอันตรายแล้ว ทางฝ่ายของบริษัทต้นเหตุเองก็ลงพื้นที่ตรวจสอบและเก็บกวาดคราบน้ำมันเหล่านั้นออกไปจนเกือบหมด มองผิวเผินหน้าหาดของอ่าวพร้าวตอนนี้แทบจะมองไม่เห็นคราบสีดำมันเงาสะท้อนตามผิวน้ำอีกแล้ว

แม้ว่าทางการจะออกมาให้ข้อมูลแล้วว่าปรอทที่พบนั้นไม่เกินค่ามาตรฐาน อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวหลายคนยังคงกลัวว่ามันจะยังคงปนเปื้อนในน้ำทะเลที่ลงเล่น หรืออยู่ในอาหารทะเลที่รับประทานเข้าไป จึงมีความพยายามจากทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ต่างก็ออกมาแถลงถึงความปลอดภัยของเกาะเสม็ด และทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวต่างๆ ขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจในการเดินทางมาเที่ยวที่เสม็ดอีกครั้ง

บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์ ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคตะวันออก ททท. ออกโรงให้ความมั่นใจว่า เกาะเสม็ดยังคงมีความสวยงาม มีเกาะเล็กเกาะน้อยรายรอบที่น่าสนใจ มีหาดอื่นๆ ที่ยังลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เมื่อเทียบดูแล้วเป็นเพียงผลกระทบเล็กๆ ที่กินพื้นที่เพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่อีก 95 เปอร์เซ็นต์ของเกาะ นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางมาเที่ยวและพักผ่อนได้

"เกาะเสม็ดยังไม่ได้เสร็จทั้งเกาะ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แถมยังมีสารปรอทแถมมาให้กับทะเลไทยอีก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะมามองว่าเราจะฟื้นมันยังไงให้มันกลับมาเป็นเพชรเม็ดงามดังเดิม"

นับเป็นเรื่องที่ดีที่ภาครัฐมองเห็นปัญหาแล้วไม่นิ่งเฉย ทั้งยังลงมือแก้ปัญหาได้อย่างกระชับฉับไว ในอนาคตอันใกล้การท่องเที่ยวของเกาะเสม็ดน่าจะกลับมาคึกคักดังเดิม แต่ภายใต้การแก้ปัญหาเรื่องการท่องเที่ยวที่กำลังดีขึ้น ในมุมหนึ่งประชาชนและนักวิชาการอีกกลุ่มยังมองว่าสถานการณ์นี้ยังคงต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องสารปรอทด้วย เพื่อที่จะได้สร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้มากยิ่งขึ้น

ดร.อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต อธิบายว่า สารปรอทเป็นองค์ประกอบทั่วไปของน้ำมันดิบ ในกรณีนี้สิ่งที่ยังไม่เห็นคือน้ำมันที่รั่วครั้งนี้มีปรอทอยู่เท่าไหร่ ซึ่งทางบริษัทที่รับผิดชอบควรจะต้องชี้แจงออกมา จะมีมากมีน้อยแค่ไหนก็ต้องมีตัวเลขมาเปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบ

"ถ้าบอกว่ามันไม่มีเลยเนี่ย เขาต้องมาแสดงหลักฐานให้เห็นชัดๆ หรือต้องออกมาบอกถึงแหล่งต้นตอของน้ำมันว่านำมาจากประเทศไหน รวมไปถึงสารเคมีที่ใช้สลายคราบน้ำมันด้วย คือตัวซิลิคกอนเอ็นเอส(Slickgone NS) ตรงนี้ก็เหมือนกันเขาต้องเปิดเผยข้อมูลให้ทราบ คือมองว่าสังคมเราทุกวันนี้เป็นสังคมที่ต้องเปิดเผยข้อมูล และเราก็เรียกร้องให้ทางบริษัทที่ประกาศตัวว่ามีธรรมมาภิบาลจะต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดให้โปร่งใสให้มากที่สุด และข้อมูลเหล่านี้จำเป็นต้องแสดงหลักฐานประกอบด้วย ไม่ใช่แค่พูด"

ความสุ่มเสี่ยงของเจ้าบ้าน

เกาะเสม็ดสำหรับคนทั่วไปอาจเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม น่าเดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด ไม่น่าแปลกใจเลยที่ในแต่ละปีเกาะเสม็ดจะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนกว่า 700,000 คนมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 1,500 ล้านบาท แต่สำหรับชาวเสม็ดแล้ว ที่นี่คือบ้าน คือที่ทำมาหากิน คือที่อยู่อาศัย คือสถานที่ที่พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ไปอีกนาน

การที่เกิดเหตุอันไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นชาวบ้านบนเกาะเสม็ด ซึ่งผลกระทบโดยตรงอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม คือความสุ่มเสี่ยงของชาวบ้านในเรื่องของอันตรายจากพิษปรอทไม่ว่าจะมีปรอทหรือไม่ หรือมีมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ดีการที่ชาวบ้านบนเกาะจะได้รับพิษปรอท ถือเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

เนื่องจากชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอยู่บนเกาะทุกวัน ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่แค่ชั่วคราวเหมือนคนต่างถิ่นที่เข้ามา ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงอยู่ต่อไป และต้องปรับตัวให้อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้ ซึ่งถ้าหากไม่ระวังก็อาจจะได้รับสารปรอทเข้าไปแบบไม่ทันตั้งตัว

เมื่อได้รับเข้าไปแล้วก็อาจทำให้มีอาการผิดปกติของร่างกาย มีข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา ระบุว่า หากมีสารปรอทสะสมในร่างกายมากเกินไปจะส่งผลอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้การเคลื่อนไหวของแขนขาและการพูดลดลง ระบบประสาทส่วนรับความรู้สึก,การได้ยิน,การมองเห็นบกพร่อง หายใจลำบากและปอดอักเสบ เป็นต้น พิษจากสารปรอทจะมีอันตรายต่อร่างกายมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับทางที่พิษเข้าสู่ร่างกาย ปริมาณที่ได้รับ และชนิดของสารปรอทที่ได้รับด้วย ดังนั้นไม่ว่าเกาะเสม็ดจะมีปรอทหรือไม่ สิ่งที่ชาวบ้านควรได้รับจากภาครัฐในตอนนี้คือการเยียวยาด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคัดกรอง หรือการให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัยจากสารพิษอันตราย

นพ.ปรีชา เปรมปรี ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค อธิบายว่าในกรณีนี้ทางกรมควบคุมโรคได้มีการวางแผนเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว โดยในเบื้องต้นได้มีการร่างแบบแผนการดูแลตัวเองให้กับชาวบ้าน และเตรียมที่จะเข้าไปแนะนำชาวบ้านต่อไป โดยอยากให้ชาวบ้านนำน้ำดื่มสะอาดไปจากฝั่งข้ามไปใช้บนเกาะ ส่วนน้ำสำหรับอุปโภคควรนำมาผ่านการกรองให้สะอาดก่อนใช้

ส่วนกลุ่มประมงท้องถิ่นที่ต้องออกไปหาหอยตามโขดหิน ช่วงนี้อาจพบคราบน้ำมันอยู่ ไม่แนะนำให้ไปสัมผัสกับคราบน้ำมันโดยตรง ส่วนเรื่องกลิ่นน้ำมันที่อ่าวพร้าวตอนนี้ทราบว่ากลิ่นเบาบางลงไปมากแล้ว แต่อย่างไรก็ตามหากออกเรือหาปลา แล้วปลาหรือสัตว์น้ำที่จับได้มีกลิ่นน้ำมันให้หลีกเลี่ยงทันที

"ตอนนี้ทางสาธารณสุขได้เตรียมแผนเรื่องนี้กันเต็มที่ เราวางระบบไว้กับทางโรงพยาบาลระยองเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เราจัดเจ้าหน้าที่ลงไปสุ่มตรวจสุขภาพของคนในพื้นที่ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจคัดกรองทุกอย่าง หรือหากใครมีอาการป่วย เราจะพามาตรวจเช็คให้ละเอียดเพื่อหาว่าอาการป่วยนั้นเกิดจากการได้รับสารพิษอันตรายหรือไม่ เบื้องต้นเราให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านเกาะเสม็ด เป็นด่านแรกในการตรวจคัดกรอง หากพบความผิดปกติก็ให้ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลระยองได้ทันที"

เยียวยาทุกมิติ

นอกจากเรื่องการเยี่ยวยาด้านสุขภาพ ประเด็นสำคัญอีกหนึ่งข้อคงไม่พ้นเรื่องปากท้องหรือรายได้ของคนเสม็ด ก่อนหน้าที่จะมีการจัดทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเกาะเสม็ดของภาครัฐนั้น ชาวเสม็ดได้ออกมาพูดผ่านสื่อว่าพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง

กล้วย ทองมณี ชาวประมงท้องถิ่นที่อ่าวทับทิม ยึดอาชีพออกเรือหาหมึกมากว่า 40 ปี บอกว่า ผลกระทบเกิดกับคนทั้งเกาะ ตอนนี้ก็กำลังรอเงินชดเชยรายได้อยู่

ไม่ต่างกับ ไพศาล โชติการ เจ้าของแผงหาบเร่ขายอาหารบนเกาะเสม็ด บอกว่า รายได้ตอนนี้ลดลงไปครึ่งต่อครึ่ง รายจ่ายเท่าเดิมแต่รายได้ลดลง ลำบาก ตอนนี้ก็ปรับตัวโดยการเอาของมาขายน้อยลงกว่าเดิม และเขามองว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับทุกอาชีพบนเกาะ และเห็นว่าเงินชดเชยที่ให้มาเพียงเดือนเดียวไม่น่าจะเพียงพอ เขาอยากให้ทางการเข้ามาดูแลในระยะ 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อย

ส่วน สุพัชญา แสงแก้ว พนักงานนวดแผนไทยของสวัสดีโคโค่ รีสอร์ท เกาะเสม็ด ก็สะท้อนความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า รายได้ลดลงไปเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ยังรอเงินชดเชยอยู่ ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอต่อไป หากนักท่องเที่ยวยังเงียบแบบนี้ ค่าชดเชยเดือนเดียวอาจไม่เพียงพอ

ทัศนะเหล่านี้สะท้อนได้ชัดเจนว่าชาวบ้านกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากผู้รับผิดชอบอยู่อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ดร.อาภา หวังเกียรติ ก็ได้แสดงความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า หากมองในแง่ท่องเที่ยว ตอนนี้ผลกระทบมันกว้าง ไม่ใช่แค่อ่าวพร้าว นักท่องเที่ยวที่มุ่งหมายว่าจะไปเที่ยวระยองส่วนใหญ่ก็มักจะไปที่เกาะเสม็ด แต่พอนักท่องเที่ยวเลิกเดินทางไปเสม็ด จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวไปโดยปริยาย

"พอคนไม่ไปเสม็ดปุ๊บมันก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องทั้งหมดในภาพรวมของจังหวัด ไม่ต้องมองถึงเกาะเสม็ด ดูแค่ที่บ้านเพหรือหาดแม่รำพึงก็มีคนเห็นว่ามีปลาลอยขึ้นมาตายบ้าง เกยตื้นบ้าง หรือ มีเต่าตายเกยตื้น มันก็ทำให้เห็นว่าผลกระทบมันมาถึงแล้ว คนก็ไม่ไป กลายเป็นว่าระยองตอนนี้เหมือนโดน Delete ออกจากจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว"

เมื่อถามว่าผลกระทบนี้จะยาวนานแค่ไหน ดร.อาภา บอกว่าต้องติดตามดูต่อไป แต่ที่แน่ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือบริษัทต้นเหตุ ต้องออกมาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเปิดเผยข้อมูลแบบโปร่งใส จริงใจ สิ่งนี้ก็จะเรียกความเชื่อมั่นได้มากขึ้น

ไม่ว่าเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร ที่สุดแล้วหวังว่าคนที่จะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องในทุกๆ มิติควรต้องเป็นเจ้าบ้านที่ผูกพันกับเกาะแห่งนี้มาตราบชั่วชีวิต

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////