--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Thailand only : สปิริตเลือนหาย กีฬา-พระ-นักการเมือง ฉาวพอกัน !!??



พวกเรานักกีฬาใจกล้าหาญ เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน (สร้อย) อึม อึม อึม อึม กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ... ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล ตะละล้า ร่างกายกำยำล้ำเลิศ กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน แข็งแรงทรหดอดทน ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร (สร้อย) ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์ รู้จักที่หนีที่ไล่ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง (สร้อย)

ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว (สร้อย) เล่นรวมกำลังกันทั้งพวก เอาชัยสะดวกมิใช่ชั่ว ไม่ว่างานหรือเล่นเป็นไม่กลัว ร่วมมือกันทั่วก็ไชโยฯ

เพลงกราวกีฬา เป็นเพลงที่นิยมกันมานมนานในสังคมไทย นิยมใช้ในการเชียร์กีฬา ประพันธ์คำร้องโดย ครูเทพ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี หรือ นามจริง สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา ส่วนทำนองประพันธ์โดย นารถ ถาวรบุตร ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2437 เพื่อใช้ในการแข่งกีฬาสีของนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ต่อมาเพลงนี้ได้รับความนิยมและแพร่หลายออกไปสู่การแข่งขันกีฬาทั่วไป

ซึ่งทุกครั้งที่พูดถึงความมีน้ำใจนักกีฬา ความมีสปิริตนักกีฬา ก็มักจะมีการหยิบยกเพลงนี้ โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” ขึ้นมากล่าวอ้างเสมอ

ดังนั้นกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวงการแบดมินตันไทย ระหว่างแข่งขันรอบชิงชนะเลิศชายคู่รายการแคนาเดียน โอเพ่น 2013 ที่ประเทศแคนาดา ระหว่างคู่ของ บดินทร์ อิสระ กับ ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ พบกับคู่ของ มณีพงศ์ จงจิตร และ นิพิฐพนธ์ พวงพั่วเพชร ซึ่งเข้าชิงกันเอง

เมื่อ "เอ" มณีพงศ์ จงจิตร และ "อาร์ต" บดินทร์ อิสระ อดีตพาร์ตเนอร์ชายคู่ของไทย ที่แยกคู่กันเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เกิดเขม่นกันระหว่างเปลี่ยนคอร์ต มีการด่าทอกัน และมีการชกต่อย และวิ่งไล่ทำร้ายกันในคอร์ต ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาห้ามปราม ก่อนจะแยกกันในที่สุด

หลังเหตุการณ์ยุติ กรรมการได้ปรับให้คู่ของ บดินทร์ กับ ภควัฒน์ แพ้ฟาวล์

ในขณะที่ตัดสินให้คู่ของ มณีพงศ์ กับ นิพิฐพนธ์ เป็นฝ่ายชนะไป

แต่ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาว่าใครแพ้หรือใครชนะก็ตาม แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ต้องถือว่าแพ้ไปเต็มๆ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของประเทศ ภาพลักษณ์ของนักกีฬาไทย

เนื่องจากทั้งคลิป ทั้งภาพถ่าย รวมทั้งรายงานข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้กระฉ่อนไปทั่วโลกแล้ว

แน่นอนว่า สำหรับคนไทยอาจจะยังคงพอที่จะเปิดใจรับฟังได้ว่า มีรอยบาดหมางระหว่าง เอ กับ อาร์ต นั้น มีมาระยะหนึ่งแล้ว จนถึงขั้นต้องแยกคู่กันแข่ง ไม่พูดกันไม่มองหน้ากัน เมื่อมาเจอหน้ากัน แถมยังต้องแข่งชิงแชมป์กันเอง จึงได้มีการกระทบกระทั่งกัน และเลยเถิดบานปลายจนอื้อฉาวไปทั่วโลก

ยังดีอยู่บ้างที่ทั้ง เอ และ อาร์ต ยอมรับตรงกันว่า ตลอดเวลาแข่งเกมแรก ต่างฝ่ายต่างมีการยั่วยุ ด่าทอ โต้ตอบกัน การส่งเสียงและอาการดีใจในเวลาได้แต้มหรือแต้มนำ กลายเป็นประเด็นหมั่นไส้เกิดขึ้น ยิ่งพอคู่ของ เอ ชนะเกมแรกด้วยคะแนน 21 – 12

จังหวะของการต้องเปลี่ยนแดนเล่น จึงกลายเป็นจุดระเบิด เมื่อ อาร์ตเข้าไปชกเอ ในขณะที่เอก็ใช้ไม้แบดในมือหวดโต้ตอบจนอาร์ตเลือดสาด และกลายเป็นบ้าเลือดไล่ชกไล่ทำร้ายเอจนเป็นคลิปาวไปทั่ว

อย่างที่บอก การยอมรับว่าเกิดอะไรขึ้น รวมทั้งการยอมรับว่าใครเป็นฝ่ายลงมือก่อน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ยังดีไม่พอ!!! สปิริตของความเป็นนักกีฬายังไม่มากพอที่จะยับยั้งชั่งใจ หากวันนั้นอาร์ตไม่มีการลงไม้ลงมือ ก็คงไม่เกิดเหตุบานปลาย

คงเป็นเพียงแค่แข่งกันไปด่ากันไปจนจบเกม โดยที่คนทั่วโลกไม่ระแคะระคาย

ไม่ได้อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ เพราะอาร์ตเองก็แสดงความเสียใจและขอโทษคนไทยไปแล้ว แต่อยากให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของอาร์ตและเอ เนื่องจากทางเอนั้น แน่นอนว่าจะคงยังสามารถได้แข่งได้เล่นกีฬาแบดมินตันต่อไปแน่

ขณะที่อาร์ตเอง ทางโค้ช พี่เลี้ยง ผู้ดูแล ก็บอกแล้วว่า จะหาเวทีหรือลีกส์อื่นให้แข่งในอนาคต ดังนั้นกรณีที่เกิดขึ้นจึงต้องย้ำว่าเป็นบทเรียนสำคัญที่จะต้องให้เกิดขึ้นไม่ได้อีกเลย

ไม่ว่าจะโกรธ จะบาดหมางกันมาอย่างไรเพียงไหน ก็ต้องอดทนอดกลั้นทำหน้าที่แข่งขัน ใช้ความเป็นนักกีฬาที่จะต้องมีสปิริต จะต้องรู้แพ้รู้ชนะ มาควบคุมอารมณ์

การที่ปล่อยให้อารมณ์นำหน้า กระเจิดกระเจิงไปตามอารมณ์ยั่วยุ สุดท้ายจึงนำมาซึ่งความเสียใจและความเสื่อมเสีย

ฟังจากผู้สันทัดในวงการกีฬา บอกว่าจริงๆแล้วการยั่วยุ การพยายามทำให้คู่แข่งเสียสมาธิ หงุดหงิด และอารมณ์เสียนั้น มีด้วยกันแทบทุกวงการกีฬา เป็นเหมือนกันหมดทุกประเทศ ดังนั้นนักกีฬาที่ดีจะต้องอดทนต่อการยั่วยุให้ได้

ลองคิดดูว่าหากต่อไป เกิดไปแข่งกับต่างชาติ แล้วทนการยั่วยุไม่ได้ ระเบิดอารมณ์ออกมา ก็จะยิ่งฉาวกว่าครั้งนี้ เพราะมีต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

แต่ก็เข้าใจทั้งคู่เพิ่งพ้นวัยรุ่นมาไม่กี่ปี ความยับยั้งชั่งใจก็อาจจะยังมีไม่มากพอ ดังนั้นจริงๆแล้ว เป็นเรื่องของสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย เป็นเรื่องของผู้จัดการทีม เป็นเรื่องของโค้ช เรื่องของพี่เลี้ยงผู้ดูแล ซึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นเห็นสถานการณ์อยู่ก่อนเหตุชกต่อยแล้ว ว่ามีการยั่วยุด่าทอกันไปมา ทำไมไม่มีสักคนเบรกเกมอารมณ์ของทั้งคู่ตั้งแต่ตอนนั้น

ขอเวลานอก เรียกมาอบรมเรียกมาตำหนิทั้งคู่ไปเลย ให้ทั้งเอทั้งอาร์ตได้รู้สึกตัว ไม่ใช่ว่าพอเกิดเรื่องงามหน้า ก็บอกว่าเป็นเพราะทั้ง 2 คนยั่วยุกันตลอดเวลา

เช่นเดียวกับนายเจริญ วัฒนสิน นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ที่ออกมาพูดหลังเกิดเรื่องว่า เรื่องนี้สหพันธ์แบดมินตันโลกคงไม่ยอมแน่ๆ เพราะทำให้เสียชื่อเสียง ในฐานะสมาคมแบดมินตันฯต้องรักษาผลประโยชน์นักแบดมินตันไทย หากใครผิดก็ต้องถูกลงโทษ แต่จากภาพที่เห็นชัดเจนว่า บดินทร์ เป็นฝ่ายผิด ซึ่งมีสิทธิ์สูงที่จะถูกสหพันธ์แบดมินตันโลกแบนตลอดชีวิต

“ผมอยู่ในวงการแบดมินตันมา 58 ปีไม่เคยเจอเรื่องอย่างนี้ ถือว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงมาก” นายเจริญกล่าว
แต่คำถามก็คือ แล้วตลอดเวลา 58 ปีที่ว่านั้น ทางสมาคมแบดมินตันได้มีการปลูกฝังเรื่องสปิริต เรื่องน้ำใจนักกีฬาให้กับบรรดาเยาวชนทีมชาติมากน้อยแค่ไหน ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา เพราะถ้าไม่มีการสั่งสอนแนะนำ เกิดเรื่องแบบนี้คนอื่นอาจจะบอกได้ว่าก็เด็กมันไม่มีผู้ใหญ่สั่งสอนตักเตือน
การจะโทษแต่เด็กอย่างเดียวมันไม่ถูก และไม่มีอะไรที่สร้างสรรค์ ที่ถูกคือต้องชำระสะสางทั้งสมาคม ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเด็กมีปัญหาไม่ถูกกัน ทำไมไม่เตรียมป้องกัน ไม่กำชับตักเตือนห้ามปราม ไม่ระวังเอาไว้ล่วงหน้า

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าทั้งคู่ยังเป็นวัย 20 ต้นๆเท่านั้น เรื่องของอารมณ์ย่อมยังไม่เข้มแข็งพอ
ขนาดอดีตพระมิตซูโอะ อยู่กับพระพุทธศานามากว่า 30-40 ปี เจอนารีมานั่งมองตาแป๋วทุกวันทุกคืน อารมณ์ยังกระเจิดกระเจิง ธรรมะเอาไม่อยู่ เพราะรสพิศวาสรสชาติของความเป็นปุถุชน ที่ยังมีความต้องการ มีอารมณ์ปรารถนาในเรื่องเพศรสมันเกินจะห้ามใจ

ซึ่งก็เข้าใจเพราะนายมิตซูโอะ ก็เป็นผู้ชายทั้งแท่ง ว่ากันไม่ได้หากจะมีความต้องการ ก็เลยกลายเป็น
เรื่องสึกด่วน แต่งด่วน จดทะเบียนสมรสด่วน จนผู้คนที่ผิดหวังด่ากันตรึม

แต่ถ้ามองว่านายมิตซูโอะก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่มีความต้องการตามธรรมชาติ จะด่าไปทำไม น่าจะเอามาเป็นแง่คิดบทเรียนว่า ขนาดบวชยาวนาน แต่พอมาเจอนารีเข้าให้ ธรรมะยังกระเจิง ฉะนั้นตรงนี้แหละที่ทางองค์กรสงฆ์ของไทยจะต้องเอาไปใช้เป็นบทเรียน เอาไปปรับปรุงกฎเกณฑ์ระวังป้องกัน
ยิ่งกรณี สมีคำ หรือนายวิรพล สุขผล นั่นยิ่งไม่ได้ทั้งวัยวุฒิคุณวุฒิ แต่กลับมีการอุปโลกน์ มีการสร้างการปั่นกันจนถึงขนาดอ้างเอาอายุชาติที่แล้วมารวมกับชาตินี้ มาให้คนเรียกหาเป็นหลวงปู่ เงินทอง ทรัพย์สินมหาศาลไหลเข้ามืออย่างมากมาย แล้วจะเหลือหรือ

เมื่อเป็นพระรวยเป็นร้อยล้านพันล้าน กล้าใช้จ่ายเงินตามความต้องการขนาดนั้น สุดท้ายก็อย่างที่ปรากฏนั่นแหละฉาวไปหมด ทั้งเรื่องผู้หญิง เรื่องของการบำรุงบำเรอความสุข

ถามว่าบรรดาสงฆ์ผู้ใหญ่ในจังหวัด กรมการศาสนาในพื้นที่ รวมทั้งระดับประเทศ ไม่ได้รู้ไม่เคยระแคะระคายใดๆเลยหรือ ในเมื่อชาวบ้านยังรู้

นี่คือความจริงของสังคมไทย นี่คือบทเรียนซ้ำซากที่สะท้อนชัดว่าหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องไม่เคยมีการระวังป้องกันล่วงหน้า มีแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเป็นครั้งๆเท่านั้น

ฉาวโฉ่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็วิ่งพล่านกันทีหนึ่ง ให้พ้นๆไป เราจึงมีอดีตพระ มีสมีเพียบไปหมด

แต่ก็อย่างว่าแหละกลไกหลักของประเทศก็ยังบิดเบี้ยว บรรดานักการเมืองที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเสวยผลประโยชน์การเมือง ก็ไม่ต่างจากเหลือบ เห็บ แมลงสาป กัดกินประเทศ

แค่เรื่องคอรัปชั่นโกงกิน พูดกันมาไม่รู้กี่สิบปี ก็ไม่เห็นสูญหายไปจากประเทศนี้เสียที คนรอบข้างนักการเมืองนั่นแหละตัวดี ทุกวันนี้ก็ยังกินกันจนปากเปรอะปากมอม

ไม่ว่าพรรคไหนก็พอกันทั้งนั้นแหละ หรือใครจะเถียง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น