--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มึนตึ๊บ สมบัติ-ศรัทธา-ความรัก ของ มิตซูโอะ & แอน !!???

มึนตึ๊บไปตามๆ กัน สำหรับผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศานา... ว่ากรณีของ นายมิตซูโอะ หรือ อดีตพระมิตซูโอะคเวสโก นั้น อะไรคือจริงอะไรคือเท็จเพราะเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2556 หรือเมื่อ 19 วันที่ผ่านมา เกิดกระแสข่าวพระอาจารย์มิตซูโอะคเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนารามและผู้ก่อตั้งมูลนิธิมายาโคตมี ลาสิกขา เดินทางกลับบ้านเกิดประเทศญี่ปุ่น

จนทำให้เกิดคำถามกันทั่วประเทศว่า เบื้องหลังแท้จริงของการสึก คืออะไรกันแน่???

วันที่ 11 มิ.ย. พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ออกแถลงการณ์ ระบุว่า พระอาจารย์มิตซูโอะกลับไปประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นบ้านเกิดจริง แต่จะยังคงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฐานะของฆราวาสต่อไป

จากนั้นก็ตามมาด้วยกระแสข่าวว่า เป็นการสึกเพราะอาการป่วยโรคเบาหวาน

ขณะนั้นจึงเป็นการสึกที่ยังคงไว้ซึ่งกระแสความศรัทธาได้อย่างเหนียวแน่น มีการร่ำไห้อาลัยกันยกใหญ่ รูปถ่ายของพระมิตซูโอะกลายเป็นภาพเคารพที่ผู้คนแสวงหาเอาไว้กราบไหว้ เอาไว้เป็นความทรงจำ

แต่ใครจะเชื่อว่าถัดมาในวันที่ 27 มิ.ย. หรือเพียงแค่ 15-16 วันหลังสึก ชนิดที่ปริศนาเหตุแห่งการสึกยังมีการพูดกันอยู่เลย กลับต้องมึนตึ๊บเหมือนโดนตบกระโหลก เมื่อหน้าเว็บเฟซบุ๊กของนางสุทธิรัตน์ มุตตามระ หรือ “แอน” นักธุรกิจหญิงในวงสังคมชื่อดังของเมืองไทย โพสต์โชว์ภาพถ่ายคู่กับนายมิตซูโอะ ซึ่งสวมหมวกและแต่งกายในชุดนักท่องเที่ยว โดยทั้งสองคนกอดกัน นั่งซบกัน และถ่ายรูปร่วมกันอย่างสนิทสนมใกล้ชิด ใต้ภาพบางภาพมีตัวอักษรระบุว่าไปเที่ยวที่ภูเขาตาอาล ในฟิลิปปินส์

ยิ่งมึนหนักขึ้นสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับรู้หรือระแคะระคายใดๆมาก่อน ก็จากข้อความที่นางสุทธิรัตน์โพสต์ ระบุว่า “ขอบคุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะ ผู้ที่มีเมตตาและความรักต่อดิฉัน จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉัน ด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็วๆ นี้ ขอบคุณอีกครั้ง”

ตกลงมันอะไรกัน สึกเพราะป่วย หรือสึกเพราะต้องการไปมีครอบครัว

แต่ที่แน่ๆ คงป่วยเป็นโรคเบาหวานจริงๆ พอสึกออกมาเลยต้องเติมความหวานขนานหนักอย่างที่เห็น
ซึ่งพอเป็นข่าวครึกโครม นายวิทเยนทร์ มุตตามระ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าผู้หญิงในภาพเป็น “พี่สาว”ของตน แถมบอกว่าทั้งพี่สาวและอาจารย์มิตซูโอะเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ตอนนี้ก็ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสแล้ว เชื่อว่ามีสติรู้ว่าทำอะไรอยู่และจะทำอะไรต่อในอนาคต

แถมยังเชื่อว่า คนสองคนที่ตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้ ต้องทำบุญทำกรรมร่วมชาติกันมามากอย่างที่เรียกว่าบุพเพสันนิวาส!!!

ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น อะไรคือจริงอะไรคือเท็จ ก็ยากที่จะบอก ยากที่จะเชื่อได้แล้ว ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเรื่องจริงคืออะไร เชื่อได้หรือไม่... เป็นความรู้สึกที่ทำให้ต้องย้อนทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของหลักความเชื่อ 10 ประการ หรือ กาลามสูตร 10

ครูบาอาจารย์พูดก็ยังต้องไตร่ตรองพิสูจน์ให้ชัดแจ้งด้วยตนเองเสียก่อน จึงจะเชื่อได้

ยังดีที่สังคมไทยในช่วงระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา ได้ผ่านการฝึกให้แกร่งต่อการรับรู้เรื่องราวที่ผิดไปจากความเชื่อความศรัทธามาแล้วมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณี นักบวชยันตระ นายนิกร ยศคำจู สมีเจี๊ยบ หรือแม้แต่ ภาวนาพุทโธ

ได้พิสูจน์สัจจะความจริงว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงได้ทรงมีข้อกำหนดสำหรับพระภิกษุสงฆ์มากมายหลายร้อยข้อ... และเรื่องของผู้หญิง กับเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ทำไมจึงเป็นข้อห้ามที่ฉกาจฉกรรจ์

วันนี้ก็ได้รู้แล้วว่า เมื่อพระภิกษุโด่งดังขึ้น แรงศรัทธาความนิยมที่เกิดขึ้นจะนำมาซึ่งการปรนนิบัติ รับใช้ ถวายข้าวของให้สารพัด จนกลายเป็นทรัพย์สินมหาศาล และกลายเป็นแม่เหล็กที่ทรงอานุภาพที่จะดึงให้มีคนเข้ามาชิดใกล้ รวมไปถึงบรรดาสีกาทั้งหลายด้วย

ถ้าผ่านด่านสมบัติ ลาภยศสรรเสริญ และผ่านด่านนารีไปได้ แน่นอนว่าพลังศรัทธาจะเป็นอมตะไปตลอดกาล ดังเช่นอริยสงฆ์ของไทยมากมายในแต่ละยุคสมัย ที่จนวันนี้ยังดำรงศรัทธาอยู่ในใจผู้คนได้มาตลอด

แต่หากไม่ผ่านด่าน สุดท้ายก็ต้องพ้นจากเพศบรรพชิตไปเป็นเพศฆราวาส ตามแต่ชะตากรรมของแต่ละคนที่จบแตกต่างกันไป

สำคัญที่สุดคือต้องมองกันอย่างยุติธรรม ว่าข้อเท็จจริงแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร กรณีของ ยันตระ นิกร สมีเจี๊ยบ ภาวนาพุทโธ พวกนี้เกิดเหตุในผ้าเหลือง และถูกจับสึก บังคับสึก จนต้องระเห็ดหนี หรือบ้างก็ติดคุกติดตะราง

ฉะนั้นกรณีของนายมิตซูโอะ หรือแม้แต่กรณีของพระเณรคำ หรือแม้แต่พระดังๆอย่าง พระอาจารย์เพชร วัดประยงค์ฯ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการมีทรัพย์สินเงินทองในครอบครองมากมาย หรือการสร้างพระองค์ใหญ่ๆนั้น ต้องดูว่าพระผิด หรือเป็นเพราะคนที่นับถือศรัทธาแบบไม่บันยะบันยัง ขนข้าวของแบรนด์หรู เงินทอง บัตรเครดิต รถยนต์หรู หรือแม้แต่เครื่องบินไปถวายไปให้ใช้นั้น

เป็นความศรัทธาที่บ่อนทำลายพระ บ่อนทำลายศาสนาอยู่ลึกๆหรือไม่

อาจจะมีเสียงเถียงว่า บรรดาของแพงเหล่านั้น มันเป็นเพียงแค่เงินเหลือของคนมีเงินเท่านั้น ฉะนั้นเอามาให้ขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วง ซึ่งถ้าคิดอย่างนั้นก็ได้แต่ปลงว่า รวยแล้วมีความคิดได้แค่นั้นก็รอวันหมดบุญไปเถอะ

แต่หากเป็นประเภทที่ลูกหลาน ครอบครัว ผัวหรือเมีย ยังไม่มีจะกิน ยังเดือดร้อน แต่ดันดิ้นรนเอาประเคนจนเป็นหนี้เป็นสิน หรือประเคนตัวจนครอบครัวพัง ก็ต้องบอกว่านอกจากเข้าไม่ถึงศานาแล้วยังโง่เองอีกต่างหาก

แต่แน่นอนว่าพระภิกษุใด หากข้องแวะกับแรงศรัทธาในลักษณะตัณหาหน้ามืดเช่นนี้ ก็ย่อมมีแต่ตกต่ำลง หรือรอวันพังกันทั้งนั้น

สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องหันกลับมามีสติ ดังที่พระพุทธศาสนาพร่ำสอนให้มีสติอยู่ตลอดเวลา จะได้ไม่กระทำผิดบาป

อย่างกรณีของนายมิตซูโอะ ภาพที่ออกมานั้นเป็นภาพในชุดของคนธรรมดาแล้ว เป็นการสึกออกมาก่อนที่จะเกิดภาพที่จะไม่เหมาะสมและผิดมหันต์ในทันที หากว่าภาพนี้ปรากฏในขณะที่ยังห่มผ้าเหลืองอยู่

นั่นแปลว่าอย่างน้อยที่สุด การที่นายมิตซูโอะ บวชเป็นเณรตั้งแต่ปี 2517 และบวชเป็นพระในปี 2518 ก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะเมื่อรู้ตัวว่าผ้าเหลืองร้อน ครองเพศบรรพชิตต่อไปไม่ได้แล้ว ก็มีสปิริตที่จะสึกออกมา โดยไม่ให้เกิดเหตุอื้อฉาวใดๆก่อน อย่างน้อยก็เป็นการทดแทนคุณพระพุทธศาสนาในระดับหนึ่ง

ส่วนปัญหาที่พูดกันไปว่า ผ้าเหลืองร้อนมานานเท่าไรแล้ว หรือบุเพสันนิวาสอาละวาดรุนแรงและเร็วขนาดไหน คงเป็นเรื่องของมโนสำนึกของแต่ละบุคคลที่ต้องว่ากันไป เนื่องจากหากเป็นบุพเพสันนิวาสเกิดขึ้นหลังจากที่สึกแล้ว ก็ต้องบอกว่าเป็นบุพเพที่อาละวาดรุนแรงมาก

เพราะแค่ครึ่งเดือนเศษ ยังเกิดภาพใกล้ชิดสนิทสนมเพียงนี้ได้ ต้องถือว่ากามเทพคงแผลงศรดอกใหญ่เบ้อเริ่มจนแน่นอกไปเลยทีเดียว

แต่ถ้าบุพเพอาละวาดตั้งแต่ยังห่มผ้าเหลือง ก็เป็นอีกคนละเรื่องแล้ว เพราะอาจจะไปเข้าข่ายเป็นประเด็นที่คนโบราณเรียกกันว่า “สึกพระ”เข้าก็ได้ เรื่องแบบนี้จึงต้องรอพิสูจน์ความจริง เพราะนางสุทธิรัตน์ ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวนายมิตซูโอะ จะออกมาชี้แจงความเป็นจริง

ว่าเป็นกรณีผ้าเหลืองร้อนจนต้องสึก!!! หรือเป็นกรณี “ร้อนตั้งแต่ยังอยู่ในผ้าเหลือง”!!!

แต่สิ่งหนึ่งที่นายมิตซูโอะ จะต้องยอมรับก็คือ 37 ปีที่อยู่ในพุทธศาสนา ทำให้ได้รับความศรัทธา สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นต้องถือว่าได้มาด้วยแรงเคารพศรัทธาทั้งสิ้น เพราะหากนายมิตซูโอะไม่ได้บวช มีหรือจะได้รับแรงศรัทธากราบไหว้ และมีคนถวายข้าวของปัจจัยมากมายขนาดนี้

ดังนั้นเมื่อเป็นสิ่งที่ได้มาจากแรงศรัทธา บรรดาเงินทองข้าวของทรัพย์สินมหาศาลนั้นควรจะต้องโปร่งใส ควรจะต้องให้มีการตรวจสอบได้ ไม่ใช่ถึงเวลาก็สึกหายไปเงียบๆ ปล่อยให้ทุกอย่างงุนงงไปหมด

ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า พอมาเกิดภาพที่โพสต์ออกมาลักษณะนี้ แม้จะไม่ผิดกฏสงฆ์ แต่ก็กระทบศรัทธาที่มีมายาวนานอย่างประเมินค่า ประเมินความรู้สึกไม่ได้ เพราะภาพมันฟ้องชัดว่า ไม่น่าที่จะเป็นความสัมพันธ์แค่ช่วงข้ามคืนครึ่งเดือน

หลายคนถึงกับออกปากว่า แล้วภาพสมัยเป็นพระที่เคยมีไว้บูชานั้น จะทำอย่างไร จะเก็บไว้ต่อไป หรือจะไปไว้ที่ไหนดี...

ยิ่งหลายคนเห็นภาพการไปท่องเที่ยว ก็ยิ่งทำให้อยากรู้ว่า ก่อนหน้าบวชนายมิตซูโอะมีฐานะอย่างไร หลังจากสึกแล้วฐานะเป็นอย่างไร ใช้เงินจากที่ไหนมาท่องเที่ยว ทั้งๆที่เพิ่งสึกมาไม่นาน หรือว่าเป็นเงินของนางสุทธิรัตน์ ที่เป็นนักธุรกิจเป็นคนจ่ายเป็นคนเลี้ยงดู

หลายคนจึงอยากเห็นกรมการศานา เห็นกระทรวงวัฒนธรรมฯ เข้ามามีบทบาทในเรื่องการตรวจสอบเงินทองของวัดที่ได้จากแรงศรัทธาเคารพนับถือของประชาชนให้มากกว่าที่ผ่านมา

ไม่ได้กลัวว่าจะมีพระหรือคนรอบข้างพระมาโกง เพราะพูดถึงการโกงเงินประชาชน ระดับเหลือบในวงการพุทธศาสนาก็คงว่ากันระดับร้อยล้านพันล้าน แต่ถ้าเป็นเหลือบการเมือง มันล่อกันเป็นพันล้านหมื่นล้านโน่นเลย... แสบกว่ากันเยอะ

ดังนั้นไม่ว่าอดีตพระ ไม่ว่านักการเมือง แค่ปลูกจิตสำนึกคงไม่พอ แต่คงต้องมีกฎหมายที่ชัดเจนเข้ามาล้อมกรอบไว้ด้วย นักการเมืองต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินก่อนและหลังรับตำแหน่ง พระก็ควรจะมีการตรวจสอบทรัพย์สินก่อนบวชกับหลังบวชกันบ้าง

เผื่อการตกเป็นเป้าไล่ล่า ที่มีพระผู้ใหญ่ในอดีตใช้คำว่า “นารีพิฆาต”จะได้ลดน้อยถอยลงมาบ้าง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น