โดย วิไล อักขระสมชพ
เสียงสะท้อนก้องมาจากหลายทิศทางของคนในแวดวงการเงิน โดยเฉพาะนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ต่างหวั่นไหวกับอารมณ์ตลาดที่แปรปรวน
เพียงเพราะ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาคอมเมนต์หลังประชุมว่า เฟดอาจจะทำการลดปริมาณเงินในการทำ QE ลงในเดือนกันยายนนี้ เมื่อเห็นตัวเลขสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น เท่านี้ก็ทำให้ตลาดแตกตื่น
ยิ่งประเทศไทยด้วยแล้ว ค่าเงินบาทที่เคยแข็งโป๊กอยู่ 28 บาทกว่า ๆ /ดอลลาร์ ก็อ่อนยวบลงมาอยู่ 30-31 บาท/ดอลลาร์ ส่วน "ตลาดหุ้นที่เคยโป่งพองด้วยดัชนีที่เฉียด 1,600 จุด ก็ยุบลงมาต่ำกว่า 1,400 จุดให้เห็น เงินต่างชาติไหลออกทั้งหุ้นและพันธบัตรที่ถืออยู่รวมนับแสนล้านบาท ราคาทองคำในไทยดำดิ่งลงต่ำเหลือบาทละ17,000-18,000 บาท หลังราคาทองในโลกหลุดลงต่ำ 1,200 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
ว่ากันว่า คอมเมนต์ของนายเบอร์นันเก้ เป็นการทดสอบอารมณ์ของตลาด หรือทำ Stress Test เพราะหลังจากนั้นไม่นาน นายเบอร์นันเก้ก็ออกมาบอกว่า ตัวเลขการ
ฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ชัดเจนเพียงพอจะให้ลดการทำ QE เท่านั้นเอง
นักลงทุนก็เฮกลับมาลงทุนต่อ ด้วยอารมณ์นักลงทุนแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
แต่ประเทศไทยนั้นไม่ได้มีแค่ปัจจัยต่างประเทศที่เราควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ เพราะยังมีอีกปัจจัยในประเทศที่สำคัญคือ การเมือง ที่จะมีการเปิดสภาในต้นเดือนสิงหาคมนี้ แม้จะเพิ่งปรับ ครม. หลังสะดุดจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการ
น้ำ 3 แสนกว่าล้านก็สะดุด ตามด้วย พ.ร.บ.กู้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านก็หงายเงิบ ลงทุนก็เกิดไม่ได้ ถ้าจะทำประชานิยม เงินก็เริ่มร่อยหรอ
จากนี้ไปคงเหลือแต่ภาคเอกชนและประชาชนที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง ใครมีหนี้เยอะก็อาการหนัก !!!
เพราะถ้าเฟดลดทำ QE จริงในปีนี้แล้วเงินไหลออก จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย แบงก์ชาติต้องมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพราะนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ลั่นว่า ในระยะสั้น ๆ เห็นเงินลงทุน
ไหลออกกลับไปหาสกุลดอลลาร์แน่ และดอกเบี้ยกระตุก แต่สภาพคล่องในประเทศก็ล้นมากอยู่ ซึ่งก็ต้องทำหน้าที่รักษาสมดุลในระบบให้ได้ ส่วนฐานะการเงินของสถาบันการเงินโดยเฉพาะแบงก์พาณิชย์ยังดีอยู่ มีการตรวจสอบไม่ให้ทำ Open Position FX มากเกินไป โดยเฉพาะลูกค้าของแบงก์ ตอนนี้ใครมีหนี้ต่างประเทศโดยเฉพาะสกุลดอลลาร์ มีเสี่ยงต้องจ่ายหนี้ราคาสูงขึ้น
ดังนั้นต้องบริหารความเสี่ยงให้ดี อย่าชะล่าใจ
ถ้าคาดหวังว่า ธปท.จะทำอะไรบ้างนั้น "ประสาร" มั่นใจว่า เตรียมเครื่องมือพร้อมรับมือให้มากที่สุด หลังจากที่คลังได้ให้อำนาจในการออกมาตรการแล้ว ก็ต้องเลือกใช้ส่วนผสมของมาตรการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้เงินไหลกลับ แต่ประเทศไทยก็ไม่ได้แย่ เพราะเศรษฐกิจไทยยังดี ปีนี้ยังโตได้ 4.2% ไม่ได้ต่ำเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจเพื่อนบ้านในภูมิภาคเรา ฐานะทุนสำรองยังแกร่ง ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดแม้ขาดดุลบ้าง แต่ก็ไม่เปราะบาง ซึ่งประมาทไม่ได้
ครึ่งปีหลังสถานการณ์โลกยังผันผวนอยู่ ไม่ได้หายไปทั้งสหรัฐ วิกฤตยุโรป ญี่ปุ่น แม้แต่จีนยังชะลอการโตทางเศรษฐกิจ ภาพที่ไม่เด่นชัดนี้ ตลาดการเงินที่จด ๆ จ้อง ๆ ฟังข่าวสารที่เข้ามากระทบอารมณ์ความรู้สึกคนได้ง่าย ความผันผวนจึงยังแรงอยู่
เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับคลื่นลมปะทะ (Headwind) แรง ถ้ากระแทกครั้ง 2 ครั้งก็พอรับไหว แต่กระแทกบ่อย ๆ
ไม่ดีแน่ บางครั้งเจอแรงส่ง (Tailwind) ให้เกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดเร็วขึ้น ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องมีกันชนเผื่อหนี (Margin of Safety) ไว้บ้าง
ส่วนนโยบายการเงิน "ประสาร" ออกตัวว่า ทำได้ข้อจำกัดภายใต้สถานการณ์นี้ เป็นเพียงกันชนลดแรงกระแทกตรงเข้าเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกคนมีเวลาปรับตัว แต่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ก็ต้องเข้มแข็งด้วย แต่ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากแรงงานไหลออกจากภาคอุตสาหกรรมกลับเข้าภาคเกษตรถึง 7 แสนคน เพราะส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายค้ำจุนสินค้าเกษตร ซึ่งไม่ได้เป็นการเคลื่อนย้ายไป
สู่แรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงในภาคการผลิตเลย กลายเป็นเกิดภาวะ Mismatch แรงงานอีก สะท้อนภาคการผลิต
(Productivity) ที่ยังไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพกันมากนัก เพราะอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ผูกกับห่วงโซ่การผลิตของโลก (Supply Chain) ซึ่งมูลค่าสินค้าต่ำ ด้านเจ้าของธุรกิจก็ไม่ได้ให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้สินค้ามีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งรัฐก็สนับสนุนการทำวิจัย หรือ R&D ระดับต่ำมาก แต่ละปีให้งบฯเพียง 3% กว่าของจีดีพี
ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยยากจะหลุดจากการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ทุกวันนี้มาเลเซียก้าวแซงหน้าไทย ข้างหน้าไทยก็วิ่งตามไไม่ทัน ข้างหลังเพื่อนบ้านเริ่มวิ่งไล่หลังมา
วันนี้ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตัวผู้ประกอบการเอกชนตระหนักถึงปัญหานี้ และนั่งคิดนับถอยหลังไปอีก 2 ปีข้างหน้า เปิดเออีซีแล้วตัวเองจะอยู่ตรงไหนรอด ถ้าปรับตัวตอนนิ้ก็ยังไม่สาย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เสียงสะท้อนก้องมาจากหลายทิศทางของคนในแวดวงการเงิน โดยเฉพาะนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ต่างหวั่นไหวกับอารมณ์ตลาดที่แปรปรวน
เพียงเพราะ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาคอมเมนต์หลังประชุมว่า เฟดอาจจะทำการลดปริมาณเงินในการทำ QE ลงในเดือนกันยายนนี้ เมื่อเห็นตัวเลขสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น เท่านี้ก็ทำให้ตลาดแตกตื่น
ยิ่งประเทศไทยด้วยแล้ว ค่าเงินบาทที่เคยแข็งโป๊กอยู่ 28 บาทกว่า ๆ /ดอลลาร์ ก็อ่อนยวบลงมาอยู่ 30-31 บาท/ดอลลาร์ ส่วน "ตลาดหุ้นที่เคยโป่งพองด้วยดัชนีที่เฉียด 1,600 จุด ก็ยุบลงมาต่ำกว่า 1,400 จุดให้เห็น เงินต่างชาติไหลออกทั้งหุ้นและพันธบัตรที่ถืออยู่รวมนับแสนล้านบาท ราคาทองคำในไทยดำดิ่งลงต่ำเหลือบาทละ17,000-18,000 บาท หลังราคาทองในโลกหลุดลงต่ำ 1,200 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
ว่ากันว่า คอมเมนต์ของนายเบอร์นันเก้ เป็นการทดสอบอารมณ์ของตลาด หรือทำ Stress Test เพราะหลังจากนั้นไม่นาน นายเบอร์นันเก้ก็ออกมาบอกว่า ตัวเลขการ
ฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ชัดเจนเพียงพอจะให้ลดการทำ QE เท่านั้นเอง
นักลงทุนก็เฮกลับมาลงทุนต่อ ด้วยอารมณ์นักลงทุนแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
แต่ประเทศไทยนั้นไม่ได้มีแค่ปัจจัยต่างประเทศที่เราควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ เพราะยังมีอีกปัจจัยในประเทศที่สำคัญคือ การเมือง ที่จะมีการเปิดสภาในต้นเดือนสิงหาคมนี้ แม้จะเพิ่งปรับ ครม. หลังสะดุดจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการ
น้ำ 3 แสนกว่าล้านก็สะดุด ตามด้วย พ.ร.บ.กู้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านก็หงายเงิบ ลงทุนก็เกิดไม่ได้ ถ้าจะทำประชานิยม เงินก็เริ่มร่อยหรอ
จากนี้ไปคงเหลือแต่ภาคเอกชนและประชาชนที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง ใครมีหนี้เยอะก็อาการหนัก !!!
เพราะถ้าเฟดลดทำ QE จริงในปีนี้แล้วเงินไหลออก จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย แบงก์ชาติต้องมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพราะนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ลั่นว่า ในระยะสั้น ๆ เห็นเงินลงทุน
ไหลออกกลับไปหาสกุลดอลลาร์แน่ และดอกเบี้ยกระตุก แต่สภาพคล่องในประเทศก็ล้นมากอยู่ ซึ่งก็ต้องทำหน้าที่รักษาสมดุลในระบบให้ได้ ส่วนฐานะการเงินของสถาบันการเงินโดยเฉพาะแบงก์พาณิชย์ยังดีอยู่ มีการตรวจสอบไม่ให้ทำ Open Position FX มากเกินไป โดยเฉพาะลูกค้าของแบงก์ ตอนนี้ใครมีหนี้ต่างประเทศโดยเฉพาะสกุลดอลลาร์ มีเสี่ยงต้องจ่ายหนี้ราคาสูงขึ้น
ดังนั้นต้องบริหารความเสี่ยงให้ดี อย่าชะล่าใจ
ถ้าคาดหวังว่า ธปท.จะทำอะไรบ้างนั้น "ประสาร" มั่นใจว่า เตรียมเครื่องมือพร้อมรับมือให้มากที่สุด หลังจากที่คลังได้ให้อำนาจในการออกมาตรการแล้ว ก็ต้องเลือกใช้ส่วนผสมของมาตรการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้เงินไหลกลับ แต่ประเทศไทยก็ไม่ได้แย่ เพราะเศรษฐกิจไทยยังดี ปีนี้ยังโตได้ 4.2% ไม่ได้ต่ำเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจเพื่อนบ้านในภูมิภาคเรา ฐานะทุนสำรองยังแกร่ง ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดแม้ขาดดุลบ้าง แต่ก็ไม่เปราะบาง ซึ่งประมาทไม่ได้
ครึ่งปีหลังสถานการณ์โลกยังผันผวนอยู่ ไม่ได้หายไปทั้งสหรัฐ วิกฤตยุโรป ญี่ปุ่น แม้แต่จีนยังชะลอการโตทางเศรษฐกิจ ภาพที่ไม่เด่นชัดนี้ ตลาดการเงินที่จด ๆ จ้อง ๆ ฟังข่าวสารที่เข้ามากระทบอารมณ์ความรู้สึกคนได้ง่าย ความผันผวนจึงยังแรงอยู่
เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับคลื่นลมปะทะ (Headwind) แรง ถ้ากระแทกครั้ง 2 ครั้งก็พอรับไหว แต่กระแทกบ่อย ๆ
ไม่ดีแน่ บางครั้งเจอแรงส่ง (Tailwind) ให้เกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดเร็วขึ้น ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องมีกันชนเผื่อหนี (Margin of Safety) ไว้บ้าง
ส่วนนโยบายการเงิน "ประสาร" ออกตัวว่า ทำได้ข้อจำกัดภายใต้สถานการณ์นี้ เป็นเพียงกันชนลดแรงกระแทกตรงเข้าเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกคนมีเวลาปรับตัว แต่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ก็ต้องเข้มแข็งด้วย แต่ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากแรงงานไหลออกจากภาคอุตสาหกรรมกลับเข้าภาคเกษตรถึง 7 แสนคน เพราะส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายค้ำจุนสินค้าเกษตร ซึ่งไม่ได้เป็นการเคลื่อนย้ายไป
สู่แรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงในภาคการผลิตเลย กลายเป็นเกิดภาวะ Mismatch แรงงานอีก สะท้อนภาคการผลิต
(Productivity) ที่ยังไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพกันมากนัก เพราะอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ผูกกับห่วงโซ่การผลิตของโลก (Supply Chain) ซึ่งมูลค่าสินค้าต่ำ ด้านเจ้าของธุรกิจก็ไม่ได้ให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้สินค้ามีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งรัฐก็สนับสนุนการทำวิจัย หรือ R&D ระดับต่ำมาก แต่ละปีให้งบฯเพียง 3% กว่าของจีดีพี
ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยยากจะหลุดจากการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ทุกวันนี้มาเลเซียก้าวแซงหน้าไทย ข้างหน้าไทยก็วิ่งตามไไม่ทัน ข้างหลังเพื่อนบ้านเริ่มวิ่งไล่หลังมา
วันนี้ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตัวผู้ประกอบการเอกชนตระหนักถึงปัญหานี้ และนั่งคิดนับถอยหลังไปอีก 2 ปีข้างหน้า เปิดเออีซีแล้วตัวเองจะอยู่ตรงไหนรอด ถ้าปรับตัวตอนนิ้ก็ยังไม่สาย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น