--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คราบน้ำมัน-น้ำท่วม-ข้าวเน่า เราเป็นเหยื่อของ คนโกหก !!??

เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2556 ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาสั่งให้กรมชลประทาน ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่เกษตรกร รวม 24 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 8,261,211 บาท เนื่องจากจงใจหรือประมาทเลินเล่อในการบริหารจัดการน้ำ  กรณีเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองมหาสวัสดิ์ และคลองอื่นๆ ที่อยู่ทางทิศเหนือของ ต.บางระกำ อ.บางเลน จ.นครปฐม พร้อมๆ กัน  เมื่อคราวน้ำท่วมปลายปี 2549 จนทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้านเสียหาย

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายชนะพล การดำริห์ และพวกรวม 24 คน ซึ่งเป็นเกษตรกรปลูกพืชสวนและเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ ต.บางระกำ ยื่นฟ้องกรมชลประทานต่อศาลปกครองกลาง กรณีที่ยอมเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองมหาสวัสดิ์ ตามที่ถูกชาวบ้านที่อยู่ด้านเหนือ อ.บางเลน ประกอบด้วยพื้นที่ จ.นนทบุรี ปทุมธานี กดดัน เพื่อระบายน้ำที่ท่วมขัง

โดยศาลปกครองเห็นว่า กรมชลประทานมีหน้าที่บริหารจัดการน้ำของประเทศ ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2549 เกิดน้ำท่วมใหญ่ กรมชลประทานอ้างมีแนวทางปฏิบัติในการระบายน้ำทั้งหมด 8 ขั้นตอน แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากลับไม่ได้ใช้แนวทางปฏิบัติดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเมื่อมีน้ำปริมาณมหาศาลค้างอยู่ด้านเหนือ ต.บางระกำ นานถึง 2-3 เดือน กรมชลประทานควรเร่งระบายน้ำ ด้วยการเปิดประตูระบายน้ำตามแผนการระบายน้ำอย่างเหมาะสม  พร้อมใช้เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ ขุดลอกคูคลองในเขตรับผิดชอบ บริหารจัดการน้ำไปยังด้านที่มีอุปกรณ์ที่มีเครื่องมือทันสมัยในการระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ด้านตะวันออก คือแม่น้ำบางปะกง

แต่กลับระบายน้ำลงมาด้านตะวันออก ซึ่งไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยด้วยปริมาณน้ำที่ใกล้เคียงกันหรือมากกว่าทิศตะวันตก อีกทั้งยังพบว่า ไม่มีการแจ้งเตือนประชาชนผู้อยู่อาศัยในเส้นทางน้ำไหลผ่าน เช่น ใน ต.บางเลน ให้เฝ้าระวังและเตรียมแผนรองรับน้ำไหลบ่าอย่างเหมาะสม และเมื่อไม่สามารถบริหารจัดการน้ำค้างทุ่งได้ เพราะถูกกดดันจากผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะน้ำท่วม จึงเปิดประตูระบายน้ำทั้งหมดในคราวเดียวกัน เป็นเหตุให้น้ำไหลบ่าเข้าที่ดินทำกินของผู้ถูกฟ้องทั้ง 24 คน ภายใน 2 วัน ท่วมขังอยู่นาน 60 วัน ซึ่งพื้นที่สวนที่อาศัยของผู้ฟ้องคดีทั้งหมด ไม่เคยประสบภาวะน้ำท่วม แม้แต่ปี 2538 ที่มีเหตุน้ำท่วมใหญ่

ประกอบกับพบว่า กรมชลประทานไม่เคยมีหนังสือแจ้งเตือนภัยไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ให้ระวังภัยน้ำท่วมอันเนื่องมาจากการปล่อยน้ำจากเขื่อนต่างๆ จึงฟังได้ว่ากรมชลประทานกระทำการโดยประมาท ปราศจากความระมัดระวัง ทั้งที่เป็นหน่วยงานทางปกครองที่มีความรู้ในการบริหารจัดการน้ำโดยตรงของประเทศ กลับไม่ใช้ความเป็นมืออาชีพบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้แรงน้ำมหาศาล พังทลายคันดินของผู้ถูกฟ้องทั้งหมด เข้าท่วมพื้นที่ทำกินได้รับความเสียหายจริง ถือเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องทั้งหมดตามนัยมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นเหตุให้ต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำละเมิด โดยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีตามความเสียหายจริง พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ของเงินต้นของแต่ละคน  นับแต่วันที่ 10 พ.ย. 2549 อันเป็นวันทำละเมิดเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้นอกจากศาลจะให้คู่กรณียื่นคำชี้แจงและรายละเอียดความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตรแล้ว  ศาลยังแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาสินค้าและผลผลิตของพืช และสัตว์ในแต่ละชนิด จากแหล่งต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่จะนำมาคิดคำนวณความเสียหายที่ผู้ถูกฟ้องคดีควรได้รับการชดใช้ อีกทั้งคำสั่งในการให้กรมชลประทานชดใช้ค่าเสียหายก็มีการระบุรายละเอียดความเสียหายในแต่ละรายการอย่างชัดเจน

เช่น ผู้ถูกฟ้องที่ 13 น.ส.พรวิสา เปาวะสันต์ ปลูกตะไคร้บนเนื้อที่ 1 ไร่ ค่าเสียหาย 1 หมื่นบาท พิเคราะห์ถ้อยคำน.ส.พรวิสาในชั้นไต่สวนเปรียบเทียบกับเอกสารท้ายฟ้องและข้อมูลจากเว็บไซต์พบว่า ตะไคร้ให้ผลผลิต 2 ตันต่อไร่ มีรายได้ทั้งหมด 15,000-20,000 บาทต่อไร่ จึงกำหนดให้ตามคำขอเป็นเงิน 10,000 บาท แต่เนื่องจากได้รับเงินช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีไปแล้วบางส่วน จึงให้หักเงินช่วยเหลือออกจากค่าเสียหาย คงเหลือ 7,521 บาท ส่วนคำขอค่าป้องกันน้ำท่วมจำนวน 4,500 บาท ศาลไม่รับเนื่องจากยื่นขอเมื่อพ้นระยะเวลาฟ้อง อย่างไรก็ตาม วงเงินความเสียหายที่ศาลมีคำสั่งให้กรมชลประทานชดใช้ให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 24 คนนั้น ยอดต่ำสุดอยู่ที่ 7,521 บาท สูงสุดอยู่ที่ 1,949,580 บาท รวมเป็นเงินที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 24 คนจะได้รับ 8,261,211 บาท

เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากคดีนี้

1.) รัฐหรือหน่วยงานของรัฐไม่มีสิทธิ“โกหก”ประชาชน ไม่มีสิทธิอ้างหรือกระทำการที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยไม่แจ้งเตือนตามขั้นตอนการปฏิบัติ การฟ้องร้องของประชาชนกลุ่มนี้ นับเป็นแบบอย่างที่ดี ที่ช่วยปกป้องวิถีชีวิตและการทำมาหากินของตัวเองจากความสะเพร่าของหน่วยงานรัฐ

2.) กรณีเทียบเคียงกัน ที่ไม่ทราบว่ามีการฟ้องร้องหรือไม่ คือ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร  ที่ตอนเช้า โฆษก ศปภ.ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกาศว่าน้ำไม่ท่วม  โรงงานจึงเปิดทำการปกติ คนงานก็ไปทำงานปกติ ปรากฏว่าตกบ่าย มีประกาศให้ “อพยพ” และหลังจากนั้นไม่นาน น้ำก็ถาโถมเข้าท่วม ชนิดโรงงานขนย้ายอะไรแทบไม่ได้เลย  คนงานเอาชีวิตรอดออกมาได้ ไม่เหยียบกันตายก็บุญโขแล้ว  บางคนแทบไม่มีโอกาสวกกลับไปบ้าน เพื่อเก็บข้าวของให้พ้นจากการถูกน้ำท่วม

3.) ใช่...รัฐบาลไม่ได้ทำให้น้ำท่วมใหญ่ในปีนั้น แต่รัฐบาลไม่มีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ซ้ำร้าย ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ความเสียหายที่ไม่ควรเกิดก็เกิด เช่น นิคมอุตสาหกรรมนวนคร หากรัฐให้ข้อมูลที่แม่นยำว่า การจัดการป้องกันน้ำของตนไม่อาจรับประกันได้ว่า น้ำจะเข้าท่วมหรือไม่  โรงงานทั้งหลายคงปิดทำการ ขนย้ายเครื่องจักรหรืออุปกรณ์สำคัญให้พ้นน้ำ  คนงานคงมีเวลาปกป้องบ้านและทรัพย์สินมากกว่านี้  แต่เพราะคำเตือนของรัฐที่นำมาซึ่งความเชื่อมั่น แต่พลัน “ความฉิบหาย”ก็มาเยือน  สุดท้าย รัฐก็ลอยนวล  ด้วยการเอาเงินภาษีไปอุดปาก โดยเรียกมันว่า “ค่าเยียวยาและฟื้นฟู”  แต่ไม่มีใครเอาผิดในทางกฎหมายเลย

4.)ข้อมูลปรากฏชัดว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์อั้นน้ำในเขื่อนไว้ เพื่อให้ชาวนาใต้เขื่อนได้เก็บเกี่ยวข้าว เพื่อเข้า “จำนำ”กับรัฐ อยากให้โครงการรับจำนำข้าวเป็น“นางเอก”ของท้องเรื่องในปีแรกที่มาเป็นรัฐบาล สุดท้าย ความฉิบหายจากน้ำที่อั้นไว้ โครงการรับจำนำข้าวที่เธอเลือกก่อนเร่งระบายน้ำ ช่วยอะไรได้ไหม? นอกจากช่วยไม่ได้แล้ว ยังนำความฉิบหายสู่ตลาดค้าข้าวของไทย และเงินงบประมาณแผ่นดินก้อนมหาศาล โดยที่“ชาวนา”ซึ่งถูกอ้าง ได้แค่“เศษเงิน”ที่ถมลงไปในโครงการ

5.) แทนการยอมรับ กลับจัดตั้ง “ขบวนการตอแหล” ปล่อยข่าวและให้คนเสื้อแดงแก้กรรมว่า“รัฐบาลเก่ากักน้ำไว้กลั่นแกล้ง” ซึ่งน่าประหลาดที่คนไทยจำนวนไม่น้อย ก็ยอมรับข้อมูลตอแหลๆ นี้โดยไม่ต้องคิด

6.) เช่นเดียวกับเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ผู้ร้องต่อศาลปกครอง กรณีโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยระบุว่า ที่ผ่านมาได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครอง พร้อมกับที่ทางรัฐบาลยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองไป โดยขอให้ศาลวินิจฉัยคำขอท้ายฟ้องให้ครบถ้วน โดยเฉพาะการขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนแผนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาททั้งหมดว่า สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดจันทบุรีและนครราชสีมานั้น นับเป็นบทเรียนราคาแพงอีกชิ้นหนึ่งของประเทศ ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และประชาชนได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก วันนี้หากโครงการนี้ยิ่งเดินช้ามากเท่าไหร่ ประชาชนและประเทศชาติก็จะยิ่งเดือดร้อนมากเท่านั้น ไม่มีเหตุผลที่ดีเลยหากโครงการนี้จะต้องล้มลง

“น้ำท่วมปี 2554 ยังไม่เข็ด ยังจะนอนขวางลำ ไม่ให้รัฐบาลมาแก้ไข ประเทศไม่เดินหน้า ประชาชนลอยคออยู่กลางน้ำ แต่คนพวกนี้ กลับแหกปากตะโกน ไล่ไม่ให้รัฐบาลเข้ามาบริหารจัดการ ทั้งที่รัฐบาลพยายามเสนอมาตรการในการบริหารจัดการ ตนรู้สึกเสียใจที่ประเทศนี้มีสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนที่ควรจะเป็นผู้ใกล้ชิด เข้าใจธรรมชาติ รวมถึงรับรู้ปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ทำไมยังมองไม่ออกถึงวิธีการแก้ไข โครงการนี้รัฐบาลจัดมาเพื่อป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ ป้องกันประเทศ มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำทุกรูปแบบ แต่พวกนี้ออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะล้มโครงการผ่านศาลปกครอง ซึ่งเหมือนเป็นผู้ที่ทำให้เขื่อนแตกเสียเอง” นายอนุสรณ์ กล่าว

7.) ถามนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาดหน่อยว่า  เนื้อหาในแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลส่วนไหน ที่เป็นโครงการป้องกันน้ำท่วมจังหวัดจันทบุรีกับนครราชสีมาเอาไว้เป็นการเฉพาะบ้าง แจกแจงให้ดูหน่อยสิ  ไม่ใช่คอยแต่จะตวัดลิ้นเลียตะปิ้งปูโดยไม่ดู “ความจริง” ว่าสิ่งที่คุณศรีสุวรรณไปร้องต่อศาลนั้น เพียงเพื่อให้รัฐบาลทำงานตาม”ขั้นตอนและกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ”  แค่ชนะเลือกตั้งมา ก็ถือว่า“ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ” กันแล้วหรือ รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ให้แถลงผลงานทุกๆ ปี นางยิ่งลักษณ์ไม่ปฏิบัติ  ไม่เห็นอนุสรณ์ทวงแทนประชาชนสักที  นี่ก็เหมือนกัน รัฐธรรมนูญกำหนดว่า โครงการของรัฐที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และหลักแหล่งชุมชนของประชาชน  ให้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน จึงจะทำได้

ถามว่า การที่คุณศรีสุวรรณขอให้ศาลช่วยชี้ เพื่อปกป้องขั้นตอนตามบทบัญญัตินี้ อันเป็นการปกป้องประชาชน ผิดตรงไหน  และยากตรงไหนที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะปฏิบัติตาม  อย่าตอแหลอ้างว่าจะล่าช้าเลย  เพราะตั้งแต่ได้รับอนุมัติจากศาลให้ดำเนินการกู้เงิน 350,000 บาทได้ ก็ไม่เห็นจะกู้กัน ไม่เห็นจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ตลอดปี 2555 ที่ผ่านมา  ดังนั้น ถ้าจะโทษ ก็โทษตัวเองดีกว่า ลดความหนาของหน้าลงมา พูดกันเฉพาะความจริงในหลักการที่ถูกต้องเถอะ

8.)เช่นเดียวกับคราบน้ำมันดิบที่ถาโถมเข้าปกคลุมอ้าวพร้าว เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น รอง กก.ผจก.ใหญ่ บมจ. PTT โกลบอลเคมีคอล ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมขอเรียนข่าวดีครับ เรากำจัดน้ำมันเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ท้องทะเลกลับมาใสเหมือนเดิมแล้วครับ"  เป็นภาพที่ฟ้องถึง “การโกหก” อย่างน่ารังเกียจ

9.) ขณะที่ นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็มีความเห็นว่า "เรื่องท่อน้ำมันรั่ว เหมือนสื่อจะห่วงมากเกินไป เป็นเรื่องนิดเดียว  ผลกระทบกับการท่องเที่ยวก็ไม่น่าจะมาก"

10.) กรณีน้ำท่วม หากรัฐบาลให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา ประชาชนเขาจะได้หาหนทางรักษาชีวิตและทรัพย์สินของเขาได้ทันท่วงที ไม่ต้องมีความเสียหายถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัวกันไปหลายราย  เช่นเดียวกับเรื่องน้ำมันดิบนี้  หากให้ข้อมูลกันอย่างจริงจัง เปิดเผย ทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะได้ลุกขึ้นป้องกันความเสียหายและช่วยกันรุมแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ความเสียหายคงไม่มากเท่านี้

11.) รัฐบาลที่สนุกกับการพูดคำสวยๆ อย่าง“นิติรัฐ-นิติธรรม” เอกชนที่ชอบอ้าง “ธรรมาภิบาล” แต่กลับมีสันดานโกหกตอแหล อย่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และ บมจ. PTT โกลบอลเคมีคอล สังคมควรลุกขึ้นแสดงความรังเกียจ เอาโทษ และเรียกร้องความรับผิดชอบให้จงหนัก

12.) เรื่องสำคัญที่ต้องขยายผลจากคำพิพากษาคดีข้างต้น คือ การไม่ระบายน้ำไปทางทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีระบบการระบายน้ำที่ดีกว่าเลย เป็นเพราะอะไร? ไปติดที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียม หรือโครงการของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ไปสุมหัวกัน ว.5 ที่ชั้น 7 โฟร์ซีซั่นใช่หรือไม่  และแผนบริหารจัดการน้ำที่จะใช้เงินถึง 350,000 ล้านบาท ก็ยังปกป้องฝั่งตะวันออกนั้นอยู่ใช่หรือไม่  ทั้งๆ ฝั่งตะวันออกนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านเคยทรงให้ใช้เป็นแนวระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพมาก่อนมิใช่หรือ

เราจะอยู่กันยังไง ในประเทศที่ “คำโกหก” เป็นใหญ่และถูกผลิตขึ้นมาปกปิดความระยำตำบอนกันอย่างต่อเนื่อง

ข้าวเน่าเอาไปแจกประชาชนที่พังงากับกระบี่ ก็เงียบหายไป ไม่เห็นผลการไต่สวนหรือเอาผิดใครเลย  ข้าวปนเปื้อนสารพิษหรือไม่ ก็จบลงอย่างง่ายดายที่นายกฯ กินข้าวโชว์ 2-3 คำ น้ำมันดิบทะลักทำลายสิ่งแวดล้อมระยอง ทะเลไทยและสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ปตท.ซึ่งร่ำรวยมหาศาล กลับมิได้แสดงเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ หรือศักยภาพในการจัดการกับปัญหา ต้องใช้ทหารเรือ กระดาษซับมัน และถังตักน้ำมันเข้าแก้  แล้วเงินที่กอบโกยไป เอาไปไหนหมด

พอเสียทีเถิดครับ ที่ผู้มีเงินและอำนาจมีสันดานโกหก  พอเสียทีเถิดครับกับความอดทนของคนไทย  ลุกขึ้นฉีกอก พวกสันดานโกหกกันได้แล้ว!

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
/////////////////////////////////////////////////////////////

โค้งสุดท้าย โยกย้ายนายทหาร !!??

โค้งสุดท้ายโยกย้ายนายทหาร ระบุกฎหมายเขียนล็อคเอาไว้ให้กระทำกันเป็นการภายใน เฉพาะในหมู่นายทหารระดับสูง ฝ่ายการเมืองเข้ายุ่งไม่ได้

ประเทศไทยนั้นมีหลายอย่างที่เป็นที่สุด เช่น มีนายทหารระดับนายพลติดอันดับมากที่สุดในโลก บัญชีแต่งตั้งโยกย้ายวาระประจำปี มีชื่อนายพลจากทุกเหล่าทัพถึง 400-500 คน เยอะขนาดนี้ยังมีนายทหารดีๆ ต้องเกษียณแค่ยศ "พันเอก" หรือ "พันเอกพิเศษ" อีกเพียบ เพราะติดปัญหา"คอขวด"

ถือเป็น "ที่สุด" ที่ไม่ค่อยน่าภูมิใจสักเท่าไร เพราะน่าจะสะท้อนปัญหาเรื่องโครงสร้างและการบริหารจัดการมากกว่า
รัฐมนตรีกลาโหมคนก่อนหน้า คือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พยายามวางแนวทางแก้ไขปัญหานี้ แต่ก็อยู่บนเก้าอี้ได้ไม่นานพอ...

นอกจากนายทหารระดับนายพลมีเยอะติดอันดับโลกแล้ว การแต่งตั้งโยกย้ายยังมีกฎหมายเขียนล็อคเอาไว้ให้กระทำกันเป็นการภายใน เฉพาะในหมู่นายทหารระดับสูง ฝ่ายการเมืองเข้าไปยุ่งไม่ได้อีกต่างหาก

กฎหมายที่้ว่านั้นคือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ที่กำหนดให้มี คณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายนายทหารระดับนายพล หรือ "บอร์ดกลาโหม" ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ขณะที่รัฐมนตรีว่าการ กับรัฐมนตรีช่วยว่าการ แม้จะร่วมเป็นกรรมการ แต่ก็เป็นเสียงข้างน้อย

หลักการคือมองว่าฝ่ายการเมืองไม่น่าไว้วางใจ ไม่รู้เรื่องทหาร ก็เลยสร้างกำแพงเอาไว้พิจารณาแต่งตั้งกันเอง ซึ่งก็ไม่ผิด ทว่าตำแหน่งระดับหัว คือผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ น่าจะให้สิทธิฝ่ายการเมืองแต่งตั้งเองหรือไม่ เพื่อจะได้ทำงานสอดประสานเข้าขากัน มิฉะนั้นฝ่ายการเมืองก็ไม่มีอำนาจอะไรในกองทัพเลย ทั้งๆ ที่เป็นผู้กำหนดนโยบาย ต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาและประชาชน

ที่ผ่านมามีความพยายามแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมฯ หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ล่าสุดเพิ่งมีร่างใหม่ส่งให้คณะกรรมาธิการการทหาร (กมธ.ทหาร) สภาผู้แทนราษฎร พิจารณา แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปได้สักกี่น้ำ...

ขณะที่ฝ่ายทหารก็พยายามขัดขวางการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ โดยเน้นขวางในแง่ข้อมูลวิชาการ มีการตั้งทีมเสาะหาข่าวสารจากทั่วโลกว่าประเทศไหนมีกฎหมายห้ามฝ่ายการเมืองจุ้นโผโยกย้ายแบบประเทศไทยบ้าง ปรากฏว่าต้องหน้าแตก เพราะแทบทั้งโลกโดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว มีแต่ฝ่ายการเมืองเท่านั้นที่มีอำนาจเต็มตั้งผู้นำเหล่าทัพ

เมื่อกฎหมายยังไม่ถูกแก้ แม้จะมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกลาโหมใหม่เป็น นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ตาม ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายเดิมไปก่อน ซึ่งความคืบหน้าการแต่งตั้งโยกย้ายขณะนี้อยู่ในห้วง "เหล่าใครเหล่ามัน" คือแต่ละเหล่าทัพพิจารณากันเอง

เหลียวไปดูตำแหน่งสำคัญ คือ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กับ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ประเมินจากสถานการณ์ล่าสุด โดยเฉพาะเสียงคนแดนไกลใน "คลิปถั่งเช่า" ก็น่าจะพอสรุปได้ว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เก่า ฉะนั้นเป้าจึงฉายจับไปที่ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) กับปลัดกระทรวงกลาโหม (ปลัด กห.) ที่จะเกษียณอายุราชการทั้งคู่

ในส่วนของ ผบ.ทร.นั้น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ได้วางทายาทเป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 13 (ตท.13) พรึ่บใน 5 เสือ ทร. แต่ปัญหาคือคนในคลิปเสียงถั่งเช่าอาจไม่เอา ตท.13 ใน 5 เสือ หนำซ้ำยังเป็นคนที่ "บิ๊กหรุ่น" ไม่ค่อยชอบใจ ก็ต้องรอวัดใจว่าคนจากแดนไกลจะล้วงมือเข้าไปเคาะเองเลยหรือไม่

อีกเก้าอี้คือปลัดกระทรวงกลาโหม แม้สังคมภายนอกจะไม่ค่อยสน แต่ในทางการทหารและงานความมั่นคงแล้ว ต้องบอกว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ (เสธ.) ของรัฐมนตรีกลาโหม หรือที่ฝรั่งเรียก Chief of staff เลยทีเดียว โดยปลัด กห.ต้องทำงานใกล้ชิดกับรัฐมนตรี ในทางปฏิบัติรัฐมนตรีจึงน่าจะมีสิทธิเลือกเอง แต่ที่ผ่านมากลับกลายเป็นตำแหน่งรองรับคนที่เหล่าทัพส่งมา (อย่างไม่ค่อยเต็มใจ) โดยเฉพาะพวกที่เหลืออายุราชการอีกแค่ 1 ปี เข้าตำรารุ่นของตัวจะผงาดขึ้นเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ แต่ติดขัดมีรุ่นพี่มานั่งขวาง ก็เลยเตะโด่งมาวางไว้ที่ปลัด กห.เสียหมดเรื่องหมดราว กลายเป็นตำแหน่งสำหรับแก้ปัญหากำลังพลไป

หลายปีที่ผ่านมา ปลัด กห.จึงอยู่กันแค่คนละ 1 ปี นับเฉพาะ 2 คนหลังสุด คือ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ กับ พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ก็ล้วนได้นั่งเก้าอี้คนละ 1 ปีทั้งสิ้น แค่เรียนรู้งานก็ผ่านไป 3 เดือน 6 เดือนแล้ว พอถึง 6 เดือนสุดท้ายก็ต้องเดินสายอำลา สรุปว่าเจ้าตัวได้ตำแหน่ง แต่หน่วยงานไม่ได้อะไร เป็นแค่เก้าอี้รอเกษียณ มีทริปไปต่างประเทศ เล่นกอล์ฟ ดูงานไปตามเรื่อง

กลายเป็นเหล่าทัพส่งคนมาคุมกลาโหม ไม่ใช่กลาโหมทำหน้าที่คุมเหล่าทัพ!

สภาพที่เห็นและเป็นอยู่ทำให้ลูกหม้อในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมขวัญเสีย เพราะทำงานแทบตายก็ไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของหน่วยงาน แต่กลายเป็นการนำเก้าอี้ไปใช้แก้ปัญหาการเมืองภายในกองทัพเสียมากกว่า

ทั้งๆ ที่กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานระดับยุทธศาสตร์ เพราะเป็นผู้วางยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศในภาพรวมและโยงไปถึงทั้ง 3 เหล่าทัพ โดยเฉพาะในห้วงก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งทหารไทยต้องเตรียมความพร้อมอีกมาก จึงจำเป็นต้องใช้นายทหารที่เป็นนักบริหาร มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่มุ่งเอาคนที่พลาดหวังจากเหล่าทัพหรือรอเกษียณมาดำรงตำแหน่ง

ทั้งนี้ เมื่อไล่ดูตัวบุคคล ในระนาบรองปลัด กห.ที่มีลุ้นขึ้นเป็นปลัด ได้แก่ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก (ตท.14) เกษียณอายุราชการปี 2559 อดีตเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร และปัจจุบันยังเป็นแกนนำหลักในคณะพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นเพื่อดับไฟใต้ด้วย

รองปลัด กห.อีกคนคือ พล.อ.มล.ประสบชัย เกษมสันต์ (ตท.13) ซึ่งรับผิดชอบหน้างานสำคัญหลายด้าน และยังมีแรงผลักดันจากภายนอกแวดวงทหารไปที่ "คนแดนไกล" ด้วย

ส่วน "คนนอก" ที่อาจถูกส่งมาตามสูตร ก็คือ พล.อ.จิระเดช โมกขะสมิต (ตท.13) ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ทั้งนี้ สองคนหลังจะเกษียณอายุราชการปี 2557 โดยเฉพาะ พล.อ.จิระเดช หากอยู่กองทัพบกต่อ ก็เท่ากับหมดหวังไปสู่ดวงดาว

งานนี้ต้องจับตารัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่หมาดๆ อย่าง นายกฯยิ่งลักษณ์ ว่าจะแสดงภาวะผู้นำคัดเลือกปลัด กห.ให้เหมาะสมกับงาน หรือจะปล่อยให้ย่ำรอยเดิมไปตามยถากรรม!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

65 ปีความสัมพันธ์ไทย - พม่า !!?


รายงานพิเศษ / 65 ปีความสัมพันธ์ไทย - พม่า

นับตั้งแต่ไทยและเมียนมาร์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2491 หลังพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ทั้งสองประเทศก็มีความร่วมมือ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ซึ่งในปีนี้ครบรอบปีที่ 65 พอดี
     
"นายดำรง ใคร่ครวญ" อธิบดีกรมเอเชีย ตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ไทย และพม่า เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนาน ประชาชนมีความใกล้ชิดกันทั้งในด้านวัฒนธรรมและศาสนา สำหรับในยุคใหม่นี้ พม่าก็มีความสำคัญกับไทยทั้งในด้านความมั่นคง ปลอดภัย และการอยู่ดีกินดีของคนไทย เป็นตลาดที่สำคัญ เป็นฐานการผลิต อีกทั้งร้อยละ 30 ของก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่ในประเทศไทยก็มาจากเมียนมาร์ ขณะเดียวกันรัฐบาลทั้งสองประเทศก็ร่วมมือกันในโครงการใหญ่อย่าง "โครงการทวาย" และยังมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำทั้งในภาครัฐ และกองทัพมาโดยตลอด
     
สำหรับโอกาสพิเศษครบรอบ 65 ปีความสัมพันธ์ไทย - พม่า ในปีนี้ ก็ได้เริ่มมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองมาแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ นครยางกุ้ง ได้จัดนิทรรศกาลผ้าสองแผ่นดิน โดยรวบรวมมรดกทางวัฒนธรรมของ 2 ชาติมาจัดแสดงร่วมกัน
     
ในส่วนของกิจกรรมที่จะมีขึ้นที่ประเทศไทยนั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะเป็นงานเลี้ยงรับรองโดยเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย และพม่าเข้าร่วม รวมทั้งคณะทูตานุทูต และแขกผู้มีเกียรติจากทุกแวดวง ซึ่งในงานดังกล่าวสถานเอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย จะนำเอามรดกทางวัฒนธรรมของเมียนมาร์อย่างอาหารมาร่วมในงานด้วย เช่นเดียวกับผ้าโบราณซึ่งทั้ง 2 ชาติจะนำมาจัดแสดงร่วมกันอีกครั้ง สำหรับผ้าไทยนั้นจะได้รับการอนุเคราะห์จาก อ.เผ่าทอง ทองเจือ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผ้าไทย มาแสดงผลงานร่วมกับดีไซเนอร์ของเมียนมาร์
   
ไฮไลต์ที่น่าสนใจในงานที่จะเกิดขึ้นคือ "หนังสือภาพถ่ายที่ระลึก" ที่จัดทำขึ้นโดย "กลุ่มสหภาพ ชุมชนคนถ่ายภาพ" (Foto United) ซึ่งรวบรวมเอาผลงานภาพถ่ายของช่างภาพอาสาที่เข้าไปถ่ายภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมียนมาร์ในหลายๆ เมือง ไม่ว่าจะเป็น ย่างกุ้ง ทวาย พะโค มัณฑเลย์ เชียงตุง และเนปิดอว์ มาให้คนไทยที่ไม่มีโอกาสได้ไปเยือนได้สัมผัสกัน
     
"อ.จิรนันท์ พิตรปรีชา" กล่าวว่า ภาพถ่ายเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรของชาวพม่า ที่คนไทยหลายๆ คนอาจจะคาดไม่ถึง เนื่องจากถูกปลูกฝังกับความคิดเดิมๆ ที่เห็นประเทศเพื่อนบ้านเป็นศัตรู โดยเฉพาะเมียนมาร์ที่มีแอกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนาน
     
สำหรับประโยชน์ต่างๆ ของภาพถ่ายเหล่านี้นั้น อ.จิรนันท์ กล่าวว่า จะช่วยเป็นเครื่องมือให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะคนไทยไม่ค่อยจะรู้นักเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ในพม่า ตื่นตัวเรียนรู้ภาษาไทย แต่คนไทยกลับสนใจภาษาพม่าน้อยมาก ดังนั้น ภาพถ่ายก็จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการลดอุปสรรคในด้านภาษา
     
ด้าน "อ.ธีรภาพ โลหิตกุล" ผู้ซึ่งมีประสบการณ์เดินทางไปเยือนพม่าบ่อยครั้ง ยืนยันว่า จากที่ประสบมา คนพม่ามองคนไทยค่อนข้างเป็นมิตร ไม่นับรวมเรื่องคนที่นั่นชื่นชมสินค้าไทยอย่างมาก ไม่เคยเห็นแม้หางตาที่มองลงมาที่คนไทยด้วยความเป็นศัตรูเลย
     
อีกเรื่องหนึ่งที่พม่า เหมือนกับสังคมไทยก็คือ "พุทธศาสนา"  ซึ่งชาวพม่ายังคงผูกพันอยู่กับพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง และถือเป็นสิ่งเชื่อมโยง 2 ชาติไว้ด้วยกัน เช่น ในโอกาสฉลองครบรอบ 15 ปี สะพานมิตรภาพไทย - พม่า ข้ามแม่น้ำเมย ที่ อ.แม่สอด และเมียววดี ก็ได้มีการนิมนต์พระสงฆ์จากฝั่งไทย และพม่า ฝ่ายละ 99 รูป ขึ้นมาทำบุญร่วมกันบนสะพาน นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนสองชาติผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง หากแต่สิ่งที่ยังทำให้คนบางคนตั้งแง่กับพม่านั้นก็คือ "มิติทางประวัติศาสตร์" ที่เป็นเพียงมายาคติ และเป็นเรื่องที่จบไปแล้วเท่านั้น
     
อ.ธีรภาพ ยังได้น้อมเอาตัวอย่างที่ดีจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งเสด็จฯ เยือนพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2503 โดยได้ทรงปฏิบัติตตามธรรมเนียมของประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี ในการเสด็จฯ สักการะพระมหาธาตุชะเวดากอง ก็มิได้ทรงสวมรองพระพระบาท และถุงเท้า เช่นเดียวกับที่ชาวพม่าปฏิบัติ ในครั้งนั้นได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้ว่า
     
"ประเทศทั้งสองได้เรียนรู้แล้วว่าจะต้องเรียนรู้ข้อพิพาทที่เคยมีมีมาในอดีต และส่งเสริมไมตรีจิตมิตรภาพที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อให้เกิดคุณประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้น ด้วยกันทั้งสองฝ่ายในอนาคต ขอให้ทั้งสองประเทศนี้ได้แสดงให้ปรากฏแก่สายตาประชาโลกว่าเป็นเพื่อนบ้านที่ประเสริฐ ตั้งอยู่ด้วยกันโดยสันติเป็นมิตร ประกอบกิจอันเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน"
     
และอีกตอนในการกล่าวอำลาประธานาธิบดีพม่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2503 ความตอนหนึ่งดังนี้
     
ข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นประชาชนชาวพม่าแสดงไมตรีจิตต่อเราทุกหนแห่ง ข้าพเจ้าเห็นการแสดงน้ำใจที่ดีเช่นนี้ ย่อมเป็นนิมิตหมายว่าชาวพม่าและชาวไทย ต่างมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน ไม่เป็นอมิตรคิดร้ายต่อกัน ไม่โลภอยากได้สิ่งใดโดยไม่ชอบธรรม และจะต่อสู้ซึ่งเสรีภาพต่างก็รักและหวงแหนเช่นกัน"
     
สำหรับตราสัญลักษณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ไทย-พม่า ในครั้งนี้ ได้รับการออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ จากผู้เชี่ยวชาญของกรมศิลปากร เป็นรูปพระมหาเจดีย์ชเวดากอง และพระปรางค์วัดอรุณฯ สัญลักษณ์ของทั้งสองประเทศเคียงคู่กัน มีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง แสดงถึงความเป็นอยู่คู่ฟ้าเดียวกัน บนพื้นหลังสีน้ำเงินที่แสดงความหนักแน่นมั่นคงของความสัมพันธ์ และยังมีผืนธงชาติไทยและพม่า เชื่อมร้อยต่อกัน ประดับดอกไม้ประจำชาติของทั้ง 2 ประเทศ คือ ดอกราชพฤกษ์ ของไทย และดอกประดู่ของพม่า เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ที่จะผลิบานต่อไปในอนาคตด้วย

ที่มา.สยามรัฐ
///////////////////////////////////////////////////////////////

ลงทุนในกัมพูชา ต้องรู้ลึกรู้จริง !!??

ด้วยว่าประชาชนชาวกัมพูชา "เป็นผู้มีจิตใจเมตตา อัธยาศัยดีต่อมิตรประเทศอื่นๆ" จนมีคำกล่าวแบบหยิกแกมหยอกว่า "ชาวกัมพูชาเป็นคนใจดี มีแผ่นดินก็ยกให้ชาติอื่นไปครอง" พร้อมกับแบมือแล้วกำมือ (การแบมือกำมือ เป็นความหมายว่า แผ่นดินที่เคย กว้างใหญ่ของกัมพูชานั้น เคยกว้างใหญ่ แบบแบมือ ปัจจุบันเหลือแผ่นดินแค่กำมือและเมืองหลักๆ ก็ยังเป็นแผ่นดิน ที่ต่างชาติถือครองได้ถึง 99 ปี)

ประชาชนบางรุ่นพูดว่า "เราจำได้ดีว่าช่วงที่เขมรแดงปกครอง เป็นเวลา แห่งความทุกข์ถึง 3 ปี 8 เดือน 20 วันเป็นยังไง" เมื่อผ่านคืนวันแห่งความโหดร้ายของสงครามมาได้ ในบางเรื่องแม้จะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ต้องปล่อยเลย ตามเลย ไม่คัดค้าน เพื่อนำพาประเทศกัมพูชาไปสู่อนาคต ซึ่งปัจจุบันกัมพูชาก็เจริญขึ้นตามลำดับ

และเป้าหมายสำคัญที่สุดตอนนี้คือ การก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีอย่างเข้มแข็ง

"สยามธุรกิจ" จึงพาไปฟังมุมมองของ 3 นักลงทุนในกัมพูชาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานปี เขาคิดและมอง "กัมพูชา" อย่างไร

เริ่มต้นที่ กง เม่ง เจ้าของบริษัททรานสปอร์ต เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเป็นคนกัมพูชา ทำธุรกิจรถแท็กซี่เส้นทางปอยเปต-เสียมเรียบ ผลประกอบการถือว่าไปได้ดี กระทั่งสามารถเก็บหอมรอมริบขยายไปทำธุรกิจร้านอาหารบาร์บีคิวในเมืองเสียมเรียบ ชื่อร้าน เม่ง บาร์บีคิว

เขาบอกว่าสาเหตุที่เปิดร้านบาร์บีคิวเพราะมองเห็นโอกาส เนื่องจากปัจจุบันร้านอาหารปิ้งย่างในเมืองเสียมเรียบมีไม่เกิน 5 ร้าน จุดขายของเม่ง บาร์บีคิว นอกจากเนื้อหมูและเนื้อไก่แล้ว ยังมีเนื้อจระเข้ปิ้งย่างด้วย ที่น่าแปลกใจก็คือเนื้อจระเข้ที่ร้านนี้ราคาถูกกว่าเนื้อหมู เพราะเนื้อจระเข้มีมากมายในทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ของกัมพูชา ซี่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 6 จังหวัด ชาวบ้านรอบๆ โตนเลสาบ และนักลงทุนหลายชาติต่างมาลงทุนเลี้ยงจระเข้เป็นล่ำเป็นสัน ทั้งบริโภคภายในประเทศและส่งออก ปัจจุบันการส่งออกจระเข้จากกัมพูชา มียอดสูงสุดในเอเชียใต้

กลยุทธ์หรือจุดขายของ กง เม่ง คือ ดี ถูก ประหยัด คุ้ม โดยพยายามทำต้นทุน การผลิตให้ต่ำ วัตถุดิบดี อย่างเนื้อไก่เขานำเข้าจากฝั่งไทย โดยสั่งซื้อกับ "สหฟาร์ม" ส่วนวัตถุดิบหลายอย่างที่ผลิตได้ภายในประเทศ ก็สั่งในประเทศ สำหรับค่าเช่าพื้นที่เปิดร้านอาหารในเมืองเสียมเรียบ ประมาณ 20,000-25,000 บาทต่อเดือน

เราถามเขาว่าลงทุนในกัมพูชายากไหม กง เม่ง ตอบว่า ไม่ยากถ้าเข้า ใจธุรกิจที่ทำ แต่สาเหตุที่มาลงทุนแล้วล้มเหลวนั้น เกิดจากความไม่รู้จักเพื่อนบ้าน ไม่ศึกษาตลาดก่อนการลงทุน คนที่ลงทุนแล้วเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะ รู้จักปรับตัวเขากับสังคม วัฒนธรรมพื้นที่ ยิ่งเป็นนักลงทุนชาวต่างชาติ รัฐบาลกัมพูชาจะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ

คราวนี้มาฟังมุมมองของนักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาอย่าง พูนศักดิ์ อุดมเลิศลักษณ์ ประธานกรรมการ บริษัท อินโด ไชน่า เอ็กซ์พลอเรอร์ เขาเล่าว่าเป็นกลุ่มคนไทยกลุ่มแรกๆ ที่เข้าไปลง ทุนทำธุรกิจท่องเที่ยวในกัมพูชา เนื่องจาก กัมพูชามีสิ่งที่ประเทศอื่นไม่มีนั่นคือ นครวัด-นครธม ซึ่งถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แค่ทำทัวร์ชมปราสาทดังกล่าวก็มีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้าประเทศอย่างมากมาย

"สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือไกด์กัมพูชาเก่งมาก พูดได้อย่างน้อย 3 ภาษา บาง คนไม่ได้จบปริญญาโท ปริญญาเอก แต่ฝึกภาษาจากวัด" พูนศักดิ์ กล่าว

พูนศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาบริหารจัดการสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด เช่น การเที่ยวชมโบราณสถาน จะมีกฎเกณฑ์ว่าหากเข้าชมตัวปราสาทในแต่ละแห่ง ต้องไปถ่ายรูปติดบัตรเข้าชมปราสาท ในราคา 1 วัน 20 ดอลลาร์สหรัฐ หากชมหลายวันราคาก็เพิ่มตามจำนวนวันหรือจะซื้อแบบเหมาจ่ายสัปดาห์ละ 60 ดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุที่ต้องถ่ายรูปติดบัตรก็เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้นักท่องเที่ยวนำบัตรมาเวียนกันใช้ และหากจะถ่ายรูปตัวปราสาทก็ต้องไปจ่ายค่ากล้องในกรณีถ่ายวิดีโอ ถ่ายแม็กกาซีน เป็นต้น

แม้จะมีกฎเกณฑ์เข้มงวด แต่การท่องเที่ยวของกัมพูชาก็คึกคัก หากเป็น ช่วงไฮซีซั่น โรงแรมระดับ 3 ดาว 5 ดาว เก็ตเฮาส์ จะเต็มหมด ซึ่งนักท่องเที่ยว ที่เข้ามามากอันดับหนึ่งคือจีน รองลงมาคือเวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น ไทย

นักลงทุนไทยอีกรายที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาคือ อัด แสงชัย ที่ปรึกษาด้านการลงทุน บริษัท ไลฟ์ แอด เสียมเรียบ กรุ๊ป จำกัด โดยธุรกิจที่เขาลงทุนน่าสนใจมากคือธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ด้านวัฒนธรรม คล้ายกับทิฟฟานี่โชว์ในเมืองไทย

เขาบอกว่าเพิ่งลงทุนเมื่อต้นปีนี้เอง ควักกระเป๋าไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท เป้าหมายคือ เป็นฮอลล์ที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในเมืองเสียมเรียบ แม้เขาคาดหวังว่าจะคืนทุนภายใน 2 ปี แต่ก็ต้องดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ เพราะค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจนี้ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่นต้องอัดฉีดเงินโปรโมชั่นเพิ่มอีกอย่างน้อยเดือนละ 3 ล้านบาท เก็บค่าเข้าชม 40-45 ดอลลาร์สหรัฐ

เขายังมองไกลไปถึงปี 58 เมื่อเป็น เออีซีว่าหากระบบลอจิสติกส์เชื่อมโยงเติมเต็มซึ่งกันและกันในแต่ละประเทศเขาสนใจ เข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ธุรกิจประเภทนี้จะเติบโตได้

นั่นคือ 3 มุมมองของนักธุรกิจระดับแนวหน้าในกัมพูชา ใครที่สนใจจะเข้าไปลงทุนโอกาสยังเปิดกว้าง เพียง แต่ต้องศึกษาทิศทางให้ชัดเจน!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เฟดถอน QE ดอกเบี้ยกระตุกแน่ ลูกหนี้เตรียมพร้อมหรือยัง !!??

โดย วิไล อักขระสมชพ

เสียงสะท้อนก้องมาจากหลายทิศทางของคนในแวดวงการเงิน โดยเฉพาะนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ต่างหวั่นไหวกับอารมณ์ตลาดที่แปรปรวน

เพียงเพราะ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาคอมเมนต์หลังประชุมว่า เฟดอาจจะทำการลดปริมาณเงินในการทำ QE ลงในเดือนกันยายนนี้ เมื่อเห็นตัวเลขสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น เท่านี้ก็ทำให้ตลาดแตกตื่น

ยิ่งประเทศไทยด้วยแล้ว ค่าเงินบาทที่เคยแข็งโป๊กอยู่ 28 บาทกว่า ๆ /ดอลลาร์ ก็อ่อนยวบลงมาอยู่ 30-31 บาท/ดอลลาร์ ส่วน "ตลาดหุ้นที่เคยโป่งพองด้วยดัชนีที่เฉียด 1,600 จุด ก็ยุบลงมาต่ำกว่า 1,400 จุดให้เห็น เงินต่างชาติไหลออกทั้งหุ้นและพันธบัตรที่ถืออยู่รวมนับแสนล้านบาท ราคาทองคำในไทยดำดิ่งลงต่ำเหลือบาทละ17,000-18,000 บาท หลังราคาทองในโลกหลุดลงต่ำ 1,200 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์

ว่ากันว่า คอมเมนต์ของนายเบอร์นันเก้ เป็นการทดสอบอารมณ์ของตลาด หรือทำ Stress Test เพราะหลังจากนั้นไม่นาน นายเบอร์นันเก้ก็ออกมาบอกว่า ตัวเลขการ

ฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ชัดเจนเพียงพอจะให้ลดการทำ QE เท่านั้นเอง

นักลงทุนก็เฮกลับมาลงทุนต่อ ด้วยอารมณ์นักลงทุนแบบกล้า ๆ กลัว ๆ

แต่ประเทศไทยนั้นไม่ได้มีแค่ปัจจัยต่างประเทศที่เราควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ เพราะยังมีอีกปัจจัยในประเทศที่สำคัญคือ การเมือง ที่จะมีการเปิดสภาในต้นเดือนสิงหาคมนี้ แม้จะเพิ่งปรับ ครม. หลังสะดุดจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการ

น้ำ 3 แสนกว่าล้านก็สะดุด ตามด้วย พ.ร.บ.กู้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านก็หงายเงิบ ลงทุนก็เกิดไม่ได้ ถ้าจะทำประชานิยม เงินก็เริ่มร่อยหรอ

จากนี้ไปคงเหลือแต่ภาคเอกชนและประชาชนที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง ใครมีหนี้เยอะก็อาการหนัก !!!

เพราะถ้าเฟดลดทำ QE จริงในปีนี้แล้วเงินไหลออก จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย แบงก์ชาติต้องมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพราะนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ลั่นว่า ในระยะสั้น ๆ เห็นเงินลงทุน

ไหลออกกลับไปหาสกุลดอลลาร์แน่ และดอกเบี้ยกระตุก แต่สภาพคล่องในประเทศก็ล้นมากอยู่ ซึ่งก็ต้องทำหน้าที่รักษาสมดุลในระบบให้ได้ ส่วนฐานะการเงินของสถาบันการเงินโดยเฉพาะแบงก์พาณิชย์ยังดีอยู่ มีการตรวจสอบไม่ให้ทำ Open Position FX มากเกินไป โดยเฉพาะลูกค้าของแบงก์ ตอนนี้ใครมีหนี้ต่างประเทศโดยเฉพาะสกุลดอลลาร์ มีเสี่ยงต้องจ่ายหนี้ราคาสูงขึ้น

ดังนั้นต้องบริหารความเสี่ยงให้ดี อย่าชะล่าใจ

ถ้าคาดหวังว่า ธปท.จะทำอะไรบ้างนั้น "ประสาร" มั่นใจว่า เตรียมเครื่องมือพร้อมรับมือให้มากที่สุด หลังจากที่คลังได้ให้อำนาจในการออกมาตรการแล้ว ก็ต้องเลือกใช้ส่วนผสมของมาตรการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้เงินไหลกลับ แต่ประเทศไทยก็ไม่ได้แย่ เพราะเศรษฐกิจไทยยังดี ปีนี้ยังโตได้ 4.2% ไม่ได้ต่ำเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจเพื่อนบ้านในภูมิภาคเรา ฐานะทุนสำรองยังแกร่ง ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดแม้ขาดดุลบ้าง แต่ก็ไม่เปราะบาง ซึ่งประมาทไม่ได้

ครึ่งปีหลังสถานการณ์โลกยังผันผวนอยู่ ไม่ได้หายไปทั้งสหรัฐ วิกฤตยุโรป ญี่ปุ่น แม้แต่จีนยังชะลอการโตทางเศรษฐกิจ ภาพที่ไม่เด่นชัดนี้ ตลาดการเงินที่จด ๆ จ้อง ๆ ฟังข่าวสารที่เข้ามากระทบอารมณ์ความรู้สึกคนได้ง่าย ความผันผวนจึงยังแรงอยู่

เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับคลื่นลมปะทะ (Headwind) แรง ถ้ากระแทกครั้ง 2 ครั้งก็พอรับไหว แต่กระแทกบ่อย ๆ

ไม่ดีแน่ บางครั้งเจอแรงส่ง (Tailwind) ให้เกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดเร็วขึ้น ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องมีกันชนเผื่อหนี (Margin of Safety) ไว้บ้าง

ส่วนนโยบายการเงิน "ประสาร" ออกตัวว่า ทำได้ข้อจำกัดภายใต้สถานการณ์นี้ เป็นเพียงกันชนลดแรงกระแทกตรงเข้าเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกคนมีเวลาปรับตัว แต่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ก็ต้องเข้มแข็งด้วย แต่ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากแรงงานไหลออกจากภาคอุตสาหกรรมกลับเข้าภาคเกษตรถึง 7 แสนคน เพราะส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายค้ำจุนสินค้าเกษตร ซึ่งไม่ได้เป็นการเคลื่อนย้ายไป

สู่แรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงในภาคการผลิตเลย กลายเป็นเกิดภาวะ Mismatch แรงงานอีก สะท้อนภาคการผลิต

(Productivity) ที่ยังไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพกันมากนัก เพราะอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ผูกกับห่วงโซ่การผลิตของโลก (Supply Chain) ซึ่งมูลค่าสินค้าต่ำ ด้านเจ้าของธุรกิจก็ไม่ได้ให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้สินค้ามีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งรัฐก็สนับสนุนการทำวิจัย หรือ R&D ระดับต่ำมาก แต่ละปีให้งบฯเพียง 3% กว่าของจีดีพี

ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยยากจะหลุดจากการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ทุกวันนี้มาเลเซียก้าวแซงหน้าไทย ข้างหน้าไทยก็วิ่งตามไไม่ทัน ข้างหลังเพื่อนบ้านเริ่มวิ่งไล่หลังมา

วันนี้ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตัวผู้ประกอบการเอกชนตระหนักถึงปัญหานี้ และนั่งคิดนับถอยหลังไปอีก 2 ปีข้างหน้า เปิดเออีซีแล้วตัวเองจะอยู่ตรงไหนรอด ถ้าปรับตัวตอนนิ้ก็ยังไม่สาย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ทฤษฎี VS ภาคปฏิบัติ

โดย ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ นักลงทุนผู้เชี่ยวชาญการลงทุนแบบเทคนิค

เมื่อคนในยุคโบราณแหงนหน้าขึ้น และสังเกตว่าดวงอาทิตย์และดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าเคลื่อนที่ในรูปแบบเฉพาะ และหากนำการเคลื่อนที่ดังกล่าวมาคำนวณ จะช่วยให้สามารถคาดการณ์การเคลื่อนที่ในอนาคตได้ และ "ดาราศาสตร์" จึงเกิดขึ้น ทำให้เราตั้งสมมติฐานได้ว่า ทฤษฎีจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นจาก "การสังเกต" นั่นเอง

ในโลกของการลงทุนก็เช่นกัน เมื่อ "ชาร์ลส เฮนรี่ ดาว" เป็น บ.ก.หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal สังเกตว่าราคาหุ้นเคลื่อนที่ในรูปแบบเฉพาะ และหากนำมาแสดงในรูป Chart แทนที่แสดงในรูปตาราง (Table) อย่างในอดีต เขาสามารถตีความ "พฤติกรรมราคาหุ้น" ได้ และ Technical Analysis ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป ทฤษฎีได้รับการปรับปรุง แต่ข้อสังเกตที่เป็นแก่นก็ยังคงอยู่ อาจด้วยเหตุผลว่าแก่นทฤษฎี (Core Theory) ดีและไม่ต้องปรับเปลี่ยน

หรือเพราะไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายมัน เพราะข้อสังเกตใด ๆ ที่ท้าทายหลักทฤษฎีเดิม ๆ หรือ Conventional Wisdom นั้นถือเป็นการเสียมารยาทมาก

แต่การยึดมั่นถือมั่นในทฤษฎีเดิม ๆ โดยเลือกที่จะเพิกเฉยข้อสังเกตนั้น ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก !

โดยเฉพาะในแวดวงการเงินการลงทุน ในสารบบของทุนนิยมนั้น "ทุน" ถูกทำให้เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา โดยเคลื่อนจากสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนต่ำไปที่ผลตอบแทนสูง หรือจากที่เสี่ยงสูงไปเสี่ยงต่ำ เป็นต้น

ถ้าจับจังหวะการเคลื่อนที่ของทุนได้ โอกาสในการทำกำไรก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก สังเกตดี ๆ การเคลื่อนที่ของกระแสทุนไม่ต่างจากกระแสน้ำ ไม่ใช่วันนี้ต่างชาติเห็นตลาดหุ้นไทยดีเข้ามาซื้อ อีกวันมองไม่ดีแล้วชักทุนออกทั้งหมด ในภาพใหญ่เราจะเห็น "ทิศทางของทุน" เสมอ และมันมักจะไม่สับขาหลอก

หนึ่งในทฤษฎีการเงิน (Established Financial Theory) มีข้อสังเกตว่า เวลาเงินไหลออกจากตลาดทุน (Equity Market) ก็มักจะไหลไปที่ตราสารหนี้ (Debt/Bond Market) ประมาณว่า ผลตอบแทนของหุ้นที่ปรับความเสี่ยงแล้ว (Risk Adjusted Rreturn) อาจต่ำหรือเริ่มไม่คุ้ม เอาทุนไปพักในตราสารหนี้ก่อน

ข้อสังเกตที่เกิดขึ้นคือ เมื่อหุ้นลง ราคาพันธบัตรก็จะขึ้น (ผลตอบแทนพันธบัตร หรือ Bond Yield ต่ำลง) วิ่งสวนทางกัน แต่ในตลาดพันธบัตรนั้นเขาไม่ได้ดูที่ราคา (Bond Face Value) แต่ดูที่ Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนของพันธบัตร ถ้าอัตราผลตอบแทนสูงขึ้น มูลค่าของพันธบัตรก็จะลดลง

ในแง่ทฤษฎีนี้ก็ใช้ได้มาตลอด ถึงขนาด Hedge Fund ระดับโลก อาทิ Bridgewater All Weather Fund ที่มีขนาดกว่า 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ก็ใช้หลักการดังกล่าวนี้ เรียกว่า "Risk Parity" ซึ่งควรช่วยพยุงผลตอบแทนของกองทุนฯได้ แม้ว่าหุ้นหรือพันธบัตรถูกเทขาย แต่ไม่ใช่ถูกเทขายพร้อมกัน และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ! เมื่อทาง FED ได้ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มลดความช่วยเหลือทางการเงินผ่านมาตรการ QE และทำให้หุ้นทั่วโลกร่วงอย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ รวมไปถึงพันธบัตร Treasury Bond อายุ 10 ปี ส่งผลให้ Bond Yield ดีดขึ้น 1% ซึ่งถือว่าสูงมาก ไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1.62%

พันธบัตรถูกขายอย่างหนัก และทำให้ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มูลค่าในตลาดพันธบัตรได้หายไปเยอะที่สุดตั้งแต่มีการเก็บประวัติมา

ความผิดปกติดังกล่าวทำให้ Bridgewater All Weather Fund ขาดทุน 6% ในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว และขาดทุน 8% ตั้งแต่ต้นปี ทั้งที่ ๆ สร้างผลตอบแทนได้ 14.7% ในปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี กองทุนฯดังกล่าวยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 34% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้จะเจอกับภาวะขาดทุนล่าสุด

เรื่องนี้บอกเราว่า ต่อจากนี้เราต้องสังเกตพฤติกรรมตลาดมากขึ้น ทฤษฎีการเงินเดิม ๆ ที่ใช้ได้ในช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมาเริ่มถูกความเป็นจริงท้าทาย และด้วยมาตรการทางการเงินที่เข้าไปแทรกแซงภาวะตลาดที่ช่วงที่ผ่านมา ไม่แน่ว่าอาจไม่ใช่เพียงหลักความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้น-ตลาดพันธบัตรเท่านั้นที่จะถูกบิดเบือน เกมการเงินในตลาดโลกได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว

นักลงทุนจะอยู่รอดและสร้างความมั่งคั่งในตลาดได้อย่างแท้จริง ควรรู้และเข้าใจ "กลไก" การทำงานของตลาดอย่างดีเยี่ยม แต่ก็ต้องยืดหยุ่นมากพอที่จะปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงขึ้นนับต่อจากนี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รัฐบาล แจงทุกข้อสงสัย ลงทุน 2 ล้านล้าน !!??

ผ่านกระบวนการพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญนัดสุดท้ายเมื่อ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา นับถอยหลังจากนี้ไปไม่ถึงเดือนร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศวงเงิน 2 ล้านล้านบาท หรือร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน ซึ่งจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาสมัยประชุมสามัญทั่วไปปี 2556 วันที่ 21 สิงหาคมนี้ จะยิ่งถูกจับตามองจากคนทั้งในแวดวงธุรกิจ นักลงทุน ตลอดจนสาธารณชนทั่วไป

พร้อม ๆ กับความคาดหวังว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายสิบปี ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ โดยเฉพาะการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน ทั้งรถไฟความเร็วสูง หรือไฮสปีดเทรน รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า

ถนน ทางด่วน ท่าเรือ ฯลฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เต็มรูปแบบในปี 2558 และพลิกโฉมหน้าประเทศไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด อีกแง่มุมหนึ่งก็มีเสียงสะท้อนในลักษณะของการตั้งคำถาม ต้องการความชัดเจนในการดำเนินการของภาครัฐ

แม้หลายคำถามที่เจ้าภาพหลักอย่างกระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคมพยายามชี้แจงทำความเข้าใจ จะสามารถตอบโจทย์คลายข้อสงสัย แต่มีอีกไม่น้อยที่สาธารณชนยังคลางแคลงใจโดยเฉพาะภาระทางด้านการเงินสำหรับใช้ลงทุน ซึ่งจะกลายเป็นหนี้สาธารณะตกทอดสู่คนรุ่นลูกรุ่นหลานในอนาคต รวมทั้งความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ทางด้านเศรษฐกิจ

เพราะแม้ทุกภาคส่วนจะมองไปในทิศทางเดียวกันว่า จำเป็นที่รัฐจะต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการแข่งขันเพื่อสร้างความได้เปรียบ โดยอาศัยความพร้อมทางด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ บวกกับศักยภาพของทำเลที่ตั้งประเทศที่เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน สามารถเชื่อมโยงด้านการขนส่งสินค้าและการเดินทางกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงยักษ์ใหญ่ในเอเชียอย่างจีน อินเดียได้ แต่เนื่องจากการลงทุนพัฒนาเมกะโปรเจ็กต์โครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการพร้อมกัน จำเป็นต้องใช้วงเงินลงทุนสูง ทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าจะสร้างหนี้จนเกินกำลัง กลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต

ขณะเดียวกัน ก็มีข้อท้วงติงห่วงใยเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ต้องการมั่นใจว่าภาครัฐจะดำเนินมาตรการควบคุมดูแลการใช้จ่ายเงินงบประมาณทุกบาททุกสตางค์คุ้มค่า ไม่ให้เกิดปัญหาการรั่วไหลเพื่อไขข้อข้องใจทุกข้อสงสัย ทุกคำถาม วันที่ 30 กรกฎาคมนี้ โดยรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" 2 หัวขบวนหลักในการขับเคลื่อนโครงการ 2 ล้านล้าน จะใช้เวทีสัมมนา "Moving Forward 2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก" ที่กระทรวงการคลังกับกระทรวงคมนาคมร่วมกันจัดขึ้น ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชี้แจงหลากหลายประเด็น

และนี่คือตัวอย่างเพียงแค่บางส่วนของประเด็นคำถามฮอต และคำชี้แจงจากกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม ชิมลางเป็นหนังตัวอย่าง แต่ถ้าต้องการทราบรายละเอียดลงลึกเพื่อความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่ควรพลาดเข้าร่วมงานสัมมนาดังกล่าว ที่จะมีการชี้แจงอธิบายแบบฉายหนังม้วนเดียวจบ ครั้งแรกและครั้งเดียว 30 กรกฎาคมนี้

ความจำเป็นที่ต้องยกร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน

ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง การเพิ่มของประชากร และรองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน

ทั้งในประเทศและจากนักลงทุนต่างชาติ เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และอำนวยความสะดวกด้านคมนาคมขนส่งแก่ประชาชนทั้งในพื้นที่ชนบท เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งเชื่อมโยงฐานการผลิต ฐานการส่งออกระหว่างประเทศ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคม ขณะเดียวกัน เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการระบบการขนส่งของประเทศ

โครงการลงทุนภายใต้ร่าง พ.ร.บ.จะเป็นตัวเร่งการพัฒนาและยกระดับการให้บริการในระบบโครงสร้างการคมนาคมขนส่งของประเทศไทย ปรับรูปแบบการขนส่งทางถนนไปสู่ระบบรางและการขนส่งทางน้ำ เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศโดยรวม และพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเพื่อลดความสูญเสียจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพัฒนาและยกระดับการบริการด่านศุลกากร เพื่อรองรับการขยายตัวด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยกับกลุ่มประเทศอาเซียน

ทำไมจึงกำหนดวงเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท

เหตุที่กำหนดให้ลงทุนในวงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท เป็นการพิจารณาจากกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 50 ของ GDP การกู้เงินจำนวน 2 ล้านล้านบาทในระยะเวลา 7 ปี เพื่อนำมาลงทุนภายใต้การบริหารจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่าจะสามารถบริหารจัดการหนี้ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ในระดับไม่เกินกว่าร้อยละ 50 และแม้ว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังจะกำหนดหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60 แต่รัฐก็ตระหนักดีว่าจำเป็นต้องมีที่ว่างทางการคลังเผื่อไว้บ้าง กรณีที่เกิดเหตุการณ์นอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้อีกประมาณร้อยละ 10 ของ GDP

ร่าง พ.ร.บ.จะส่งผลต่อระดับหนี้สาธารณะอย่างไร

กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้จัดทำประมาณการหนี้สาธารณะต่อ GDP ช่วง 7 ปีข้างหน้า (ปีงบประมาณ 2557-2563) โดยรวมการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 วงเงิน 350,000 ล้านบาท แล้วปรากฏว่าหนี้สาธารณะจะอยู่ระดับที่ไม่เกินร้อยละ 50 ของ GDP คาดว่าจะสูงสุดที่เกือบร้อยละ 50 ในปีงบประมาณ 2559 ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดคือร้อยละ 60 ของ GDP ณ เดือนตุลาคม 2555 หนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทย

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ข้อมูลหนี้สาธารณะ ณ 30 เมษายน 2556 มี 5.15 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 44.21 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงจำนวน 2.46 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 21.12 ของ GDP และคิดเป็นร้อยละ 47.77 ของหนี้สาธารณะทั้งหมด

การเตรียมความพร้อมโครงการ

หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การจัดเตรียมความพร้อมของโครงการ อาทิ การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design) การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ (EHIA) โดยเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติจัดสรรวงเงินกู้สำหรับการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมของโครงการดังกล่าว

ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับคนไทย-ประเทศไทย

แผนการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งวงเงิน 2 ล้านล้านบาท จะพลิกโฉมระบบคมนาคมขนส่งให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่ง ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการระบบคมนาคมขนส่ง และอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนจะส่งผลทางบวกในเชิงเศรษฐกิจ 5 ประการสำคัญ คือ

1.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 2.สร้างธุรกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว 3.สร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียนเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ประเทศและภูมิภาค 4.ลดต้นทุนการขนส่งและการเดินทาง และ 5.ลดความสูญเสียจากน้ำมันเชื้อเพลิง

ทีมา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

มวลชนหนุน รบ.หนาแน่น !!??

ชี้มวลชนหนุนรัฐบาล ระบุรัฐบาลนี้มีความได้เปรียบ คือมาด้วยความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง

การเมืองไทยก้าวเข้าสู่โหมด "เปิดหน้าชน" กันอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลประกาศเดินหน้าผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ท่ามกลางเสียงคัดค้านของ "ฝ่ายต่อต้าน" ซึ่งรวมตัวกันมาในชื่อใหม่ และนัดชุมนุมกันวันที่ 4 ส.ค.นี้

มองกันว่ารัฐบาลประเมินกำลังของกลุ่มต่อต้านแล้วว่า "ไม่เท่าไหร่" ทำให้กล้าลุยกับประเด็นอ่อนไหวในจังหวะที่รัฐบาลก้าวขึ้นสู่ปีที่ 3 บทสนทนาในคลิปชายชราดื่มถั่งเช่าก็ค่อนข้างชัดเจนในประเด็นนี้

หนำซ้ำหากไปไม่ไหวจริงๆ ก็ยังมี "ไพ่ใบสุดท้าย" คือ "ยุบสภา" โดยไม่จำเป็นต้องท้าชน เพราะเลือกตั้งอีกกี่หน พรรคเพื่อไทยก็ยังกุมชัยชนะ...

บทสรุปดังว่านี้แจ่มชัดอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อฟังจาก พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

"สิ่งที่เป็นน่าห่วงมีแค่ประเด็นทุจริตเพียงประเด็นเดียวที่จะจุดกระแสจากในสภาออกมาข้างนอกได้ และยกระดับการต่อต้านรัฐบาลได้ แต่ถ้าไม่ใช่ประเด็นทุจริตก็ไม่น่ามีอะไร" พล.ท.ภราดร กล่าว และว่า

"เรื่องข้าวเป็นประเด็นที่มีน้ำหนักมากที่สุดในขณะนี้ ส่วนเรื่องน้ำ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 วงเงิน 3.5แสนล้านบาท) ที่ศาลปกครองสั่งให้ไปสอบถามประชาชนนั้น เป็นเรื่องของการบริหารจัดการรูปแบบใหม่ คือประมูลไปก่อน ส่วนการสอบถามประชาชนเป็นอีกเฟสหนึ่ง เป็นเรื่องของการมองคนละมุม"

สำหรับศักยภาพของกลุ่มต่อต้านที่รวมตัวกันในนาม "กองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ" พล.ท.ภราดร มองว่า เป็นเพียงชื่อใหม่ แต่หน้าเก่า เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอยู่แล้ว จึงถือว่าไม่มีตัวเล่นใหม่ และเป็นกลุ่มที่เชื่อมโยงกับช่วงก่อนปี 2549

การเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลในความเห็นของเลขาธิการ สมช.นั้น ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จมีอยู่ 2 ประเด็น คือ 1.ประเด็นที่ใช้ขับเคลื่อน กับ 2.ความพร้อมของสปอนเซอร์ที่คอยควักทุน

"เมื่อก่อนขับเคลื่อนกันชัดเจนมาก แต่ปัจจุบันรู้ทางกันหมดแล้ว ทำให้สถานการณ์เปลี่ยน สถานะของกลุ่มทุนตอนนี้มี 2 แบบ คือ 1.คิดได้เอง จึงอยู่เฉยๆ ดีกว่า ไม่เสียสตางค์ด้วย กับ 2.พวกที่ถูกรู้ทัน ทำให้ไม่กล้าทุ่มเต็มที่ แต่โดยธรรมชาติของกลุ่มทุนก็สร้างสมดุลในตัวเองอยู่แล้ว ก็จ่ายทั้ง 2 ฝ่ายตลอดมา ซึ่งบทบาทของฝ่ายการเมืองในปัจจุบันก็ส่งสัญญาณว่ารู้ทันนะ"

ส่วนการพยายามใช้โซเชียลมีเดียรูปแบบต่างๆ ในการเคลื่อนไหว พล.ท.ภราดร บอกว่า โดยธรรมชาติคนที่ใช้โซเชียลมีเดียจะเป็นคนที่อยู่ข้างหลัง จึงใช้ "หน้ากาก" มาเป็นเครื่องมือ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นหลักการเดียวกัน คือจะสำเร็จได้ด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่ สปอนเซอร์ กับประเด็น

"เอกภาพของกลุ่มนี้ยังไม่ชัดเจน สะท้อนผ่านการนำที่ยังมีปัญหา แต่ก็ต้องเลี้ยงกระแสไว้เพื่ออุ่นเครื่อง ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ได้ประมาท พยายามชี้แจงทำความเข้าใจทุกเรื่อง" เลขาธิการ สมช.กล่าว และว่า กลุ่มต่อต้านในนามองค์การพิทักษ์สยาม หรือ อพส.นั้น ช่วงที่เปิดตัวองค์กรแรกๆ แข็งแกร่งกว่านี้ยังไปต่อไม่ได้ ตอนนี้อ่อนแอลงก็คงไม่มีอะไร

ต่อข้อถามถึงประเด็นคลิปเสียงที่ระบุว่าเป็นการสนทนาของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะปลุกกระแสได้บ้างหรือไม่ พล.ท.ภราดร ชี้ว่า เป็นเรื่องของตัวบุคคล ไม่ส่งผลกับมวลชน เพราะมวลชนได้เรียนรู้และเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร

"รัฐบาลนี้มีความได้เปรียบ คือมาด้วยความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องกติกา (รัฐธรรมนูญปี 2550 และกฎหมายลูก) แต่ก็ต่อสู้มาได้ ฉะนั้นประชาชนจึงบอกว่าถ้าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ให้เปลี่ยนโดยความชอบธรรมเหมือนกัน ถ้าเปลี่ยนแบบไม่ชอบธรรมก็ไปต่อไม่ได้ สถานการณ์ก็จะถึงทางตัน"

อีกเรื่องหนึ่งที่ พล.ท.ภราดร ยกเป็นตัวอย่างว่าประชาชนเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น และทำอย่างเดิมไม่ได้อีกแล้ว คือ การเสนอร่างกฎหมายปรองดองของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่เจ้าตัวเรียกว่า "ปรองดองแบบสุดซอย" โดยเลขาฯ สมช. เปรียบเทียบว่าเป็นการเซ็ตซีโร่ (set zero) หรือการเริ่มต้นกันใหม่

"วิธีการแบบนี้เมื่อก่อนทำได้ แต่ปัจจุบันประชาชนรู้มากขึ้น เซ็ตซีโร่ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าทำไปก็ไม่ยั่งยืน มันจะแก้ปัญหาได้ก็แค่ช่วงเดียว อาจจะดูยาวแต่ไม่ยั่งยืนแน่ เพราะประชาชนบอกว่าต้องหาคนถูกคนผิดเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นจะให้อภัย จะนิรโทษก็ทำได้ ไม่อย่างนั้นไม่เป็นบทเรียน แต่ถ้าเมื่อก่อนก็จบแบบเจ๊าๆ กันไป กลายเป็นการทำรัฐประหาร คนที่ทำมีแต่ได้ ไม่มีเสีย เพราะไม่ต้องรับผิด แต่วันนี้ประชาชนเริ่มเข้าใจ และมองว่าเป็นเรื่องตลกที่ทำรัฐประหารแล้วไม่มีอะไรต้องรับผิด"

เมื่อซักว่า มีความเป็นไปได้ที่กองทัพจะรัฐประหารอีกหรือไม่ พล.ท.ภราดร บอกว่า กองทัพมีบทเรียนแล้ว และปัญหาคือทำสำเร็จแล้วจะอยู่ต่อได้สักกี่วัน (หัวเราะ)

"รัฐบาลนี้เป็นที่ยอมรับทั้งของประชาชนและต่างประเทศ เหมือนเป็น 2 ขาที่แข็งแกร่งซึ่งค้ำยันรัฐบาลอยู่ ฝ่ายที่จะล้มรัฐบาลต้องทำให้ขาข้างใดขาหนึ่งอ่อนแอ แต่ยาก และจะทำได้หรือไม่ ส่วนมวลชนที่เคยสนับสนุนรัฐบาลบางส่วนอาจจะไม่พอใจรัฐบาลบางเรื่องนั้น ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องแสดงให้เห็นว่าดูแลพวกเขาได้" พล.ท.ภราดร กล่าว และว่า มวลชนมีหลายปีกก็จริง แต่ถ้าถูกอีกฝ่ายรุกก็จะผนึกกัน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่เป็นเอกภาพ จริงๆ แล้วรัฐบาลไม่ได้แข็งแรงมาก แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่แข็งแรงมากกว่า

"การที่มีฝ่ายค้านเป็นพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) รัฐบาลเสมือนเหนื่อย แต่ไม่เหนื่อย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็เหมือนกัน พอจะออกมาก็มีคนเอาตำนานเก่าๆ มาปล่อย ก็จะพบจุดอ่อนจุดผิดพลาดมากมายของคนเหล่านั้น"

ต่อข้อถามถึงบทบาทขององค์กรอิสระบางองค์กรที่บางฝ่ายเชื่อว่าจะเป็น "จุดตาย" ของรัฐบาล พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ถ้ามวลชนแข็งแรง องค์กรอิสระจะใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายต้องคิดหนัก แต่ถ้ามวลชนอ่อนแอก็อาจเป็นไปได้ 2 อย่าง คือใช้อำนาจไม่เกินขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งก็จะไม่มีปัญหาอะไร หรืออาจเลือกใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย

"แต่เมื่อขณะนี้มวลชนเข้มแข็ง องค์กรอิสระก็ต้องทำไปตามอำนาจหน้าที่เท่านั้น จะทำแบบเบลอไม่ได้"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Thailand only : สปิริตเลือนหาย กีฬา-พระ-นักการเมือง ฉาวพอกัน !!??



พวกเรานักกีฬาใจกล้าหาญ เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน (สร้อย) อึม อึม อึม อึม กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ... ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล ตะละล้า ร่างกายกำยำล้ำเลิศ กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน แข็งแรงทรหดอดทน ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร (สร้อย) ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์ รู้จักที่หนีที่ไล่ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง (สร้อย)

ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว (สร้อย) เล่นรวมกำลังกันทั้งพวก เอาชัยสะดวกมิใช่ชั่ว ไม่ว่างานหรือเล่นเป็นไม่กลัว ร่วมมือกันทั่วก็ไชโยฯ

เพลงกราวกีฬา เป็นเพลงที่นิยมกันมานมนานในสังคมไทย นิยมใช้ในการเชียร์กีฬา ประพันธ์คำร้องโดย ครูเทพ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี หรือ นามจริง สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา ส่วนทำนองประพันธ์โดย นารถ ถาวรบุตร ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2437 เพื่อใช้ในการแข่งกีฬาสีของนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ต่อมาเพลงนี้ได้รับความนิยมและแพร่หลายออกไปสู่การแข่งขันกีฬาทั่วไป

ซึ่งทุกครั้งที่พูดถึงความมีน้ำใจนักกีฬา ความมีสปิริตนักกีฬา ก็มักจะมีการหยิบยกเพลงนี้ โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” ขึ้นมากล่าวอ้างเสมอ

ดังนั้นกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวงการแบดมินตันไทย ระหว่างแข่งขันรอบชิงชนะเลิศชายคู่รายการแคนาเดียน โอเพ่น 2013 ที่ประเทศแคนาดา ระหว่างคู่ของ บดินทร์ อิสระ กับ ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ พบกับคู่ของ มณีพงศ์ จงจิตร และ นิพิฐพนธ์ พวงพั่วเพชร ซึ่งเข้าชิงกันเอง

เมื่อ "เอ" มณีพงศ์ จงจิตร และ "อาร์ต" บดินทร์ อิสระ อดีตพาร์ตเนอร์ชายคู่ของไทย ที่แยกคู่กันเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เกิดเขม่นกันระหว่างเปลี่ยนคอร์ต มีการด่าทอกัน และมีการชกต่อย และวิ่งไล่ทำร้ายกันในคอร์ต ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาห้ามปราม ก่อนจะแยกกันในที่สุด

หลังเหตุการณ์ยุติ กรรมการได้ปรับให้คู่ของ บดินทร์ กับ ภควัฒน์ แพ้ฟาวล์

ในขณะที่ตัดสินให้คู่ของ มณีพงศ์ กับ นิพิฐพนธ์ เป็นฝ่ายชนะไป

แต่ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาว่าใครแพ้หรือใครชนะก็ตาม แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ต้องถือว่าแพ้ไปเต็มๆ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของประเทศ ภาพลักษณ์ของนักกีฬาไทย

เนื่องจากทั้งคลิป ทั้งภาพถ่าย รวมทั้งรายงานข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้กระฉ่อนไปทั่วโลกแล้ว

แน่นอนว่า สำหรับคนไทยอาจจะยังคงพอที่จะเปิดใจรับฟังได้ว่า มีรอยบาดหมางระหว่าง เอ กับ อาร์ต นั้น มีมาระยะหนึ่งแล้ว จนถึงขั้นต้องแยกคู่กันแข่ง ไม่พูดกันไม่มองหน้ากัน เมื่อมาเจอหน้ากัน แถมยังต้องแข่งชิงแชมป์กันเอง จึงได้มีการกระทบกระทั่งกัน และเลยเถิดบานปลายจนอื้อฉาวไปทั่วโลก

ยังดีอยู่บ้างที่ทั้ง เอ และ อาร์ต ยอมรับตรงกันว่า ตลอดเวลาแข่งเกมแรก ต่างฝ่ายต่างมีการยั่วยุ ด่าทอ โต้ตอบกัน การส่งเสียงและอาการดีใจในเวลาได้แต้มหรือแต้มนำ กลายเป็นประเด็นหมั่นไส้เกิดขึ้น ยิ่งพอคู่ของ เอ ชนะเกมแรกด้วยคะแนน 21 – 12

จังหวะของการต้องเปลี่ยนแดนเล่น จึงกลายเป็นจุดระเบิด เมื่อ อาร์ตเข้าไปชกเอ ในขณะที่เอก็ใช้ไม้แบดในมือหวดโต้ตอบจนอาร์ตเลือดสาด และกลายเป็นบ้าเลือดไล่ชกไล่ทำร้ายเอจนเป็นคลิปาวไปทั่ว

อย่างที่บอก การยอมรับว่าเกิดอะไรขึ้น รวมทั้งการยอมรับว่าใครเป็นฝ่ายลงมือก่อน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ยังดีไม่พอ!!! สปิริตของความเป็นนักกีฬายังไม่มากพอที่จะยับยั้งชั่งใจ หากวันนั้นอาร์ตไม่มีการลงไม้ลงมือ ก็คงไม่เกิดเหตุบานปลาย

คงเป็นเพียงแค่แข่งกันไปด่ากันไปจนจบเกม โดยที่คนทั่วโลกไม่ระแคะระคาย

ไม่ได้อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ เพราะอาร์ตเองก็แสดงความเสียใจและขอโทษคนไทยไปแล้ว แต่อยากให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของอาร์ตและเอ เนื่องจากทางเอนั้น แน่นอนว่าจะคงยังสามารถได้แข่งได้เล่นกีฬาแบดมินตันต่อไปแน่

ขณะที่อาร์ตเอง ทางโค้ช พี่เลี้ยง ผู้ดูแล ก็บอกแล้วว่า จะหาเวทีหรือลีกส์อื่นให้แข่งในอนาคต ดังนั้นกรณีที่เกิดขึ้นจึงต้องย้ำว่าเป็นบทเรียนสำคัญที่จะต้องให้เกิดขึ้นไม่ได้อีกเลย

ไม่ว่าจะโกรธ จะบาดหมางกันมาอย่างไรเพียงไหน ก็ต้องอดทนอดกลั้นทำหน้าที่แข่งขัน ใช้ความเป็นนักกีฬาที่จะต้องมีสปิริต จะต้องรู้แพ้รู้ชนะ มาควบคุมอารมณ์

การที่ปล่อยให้อารมณ์นำหน้า กระเจิดกระเจิงไปตามอารมณ์ยั่วยุ สุดท้ายจึงนำมาซึ่งความเสียใจและความเสื่อมเสีย

ฟังจากผู้สันทัดในวงการกีฬา บอกว่าจริงๆแล้วการยั่วยุ การพยายามทำให้คู่แข่งเสียสมาธิ หงุดหงิด และอารมณ์เสียนั้น มีด้วยกันแทบทุกวงการกีฬา เป็นเหมือนกันหมดทุกประเทศ ดังนั้นนักกีฬาที่ดีจะต้องอดทนต่อการยั่วยุให้ได้

ลองคิดดูว่าหากต่อไป เกิดไปแข่งกับต่างชาติ แล้วทนการยั่วยุไม่ได้ ระเบิดอารมณ์ออกมา ก็จะยิ่งฉาวกว่าครั้งนี้ เพราะมีต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

แต่ก็เข้าใจทั้งคู่เพิ่งพ้นวัยรุ่นมาไม่กี่ปี ความยับยั้งชั่งใจก็อาจจะยังมีไม่มากพอ ดังนั้นจริงๆแล้ว เป็นเรื่องของสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย เป็นเรื่องของผู้จัดการทีม เป็นเรื่องของโค้ช เรื่องของพี่เลี้ยงผู้ดูแล ซึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นเห็นสถานการณ์อยู่ก่อนเหตุชกต่อยแล้ว ว่ามีการยั่วยุด่าทอกันไปมา ทำไมไม่มีสักคนเบรกเกมอารมณ์ของทั้งคู่ตั้งแต่ตอนนั้น

ขอเวลานอก เรียกมาอบรมเรียกมาตำหนิทั้งคู่ไปเลย ให้ทั้งเอทั้งอาร์ตได้รู้สึกตัว ไม่ใช่ว่าพอเกิดเรื่องงามหน้า ก็บอกว่าเป็นเพราะทั้ง 2 คนยั่วยุกันตลอดเวลา

เช่นเดียวกับนายเจริญ วัฒนสิน นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ที่ออกมาพูดหลังเกิดเรื่องว่า เรื่องนี้สหพันธ์แบดมินตันโลกคงไม่ยอมแน่ๆ เพราะทำให้เสียชื่อเสียง ในฐานะสมาคมแบดมินตันฯต้องรักษาผลประโยชน์นักแบดมินตันไทย หากใครผิดก็ต้องถูกลงโทษ แต่จากภาพที่เห็นชัดเจนว่า บดินทร์ เป็นฝ่ายผิด ซึ่งมีสิทธิ์สูงที่จะถูกสหพันธ์แบดมินตันโลกแบนตลอดชีวิต

“ผมอยู่ในวงการแบดมินตันมา 58 ปีไม่เคยเจอเรื่องอย่างนี้ ถือว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงมาก” นายเจริญกล่าว
แต่คำถามก็คือ แล้วตลอดเวลา 58 ปีที่ว่านั้น ทางสมาคมแบดมินตันได้มีการปลูกฝังเรื่องสปิริต เรื่องน้ำใจนักกีฬาให้กับบรรดาเยาวชนทีมชาติมากน้อยแค่ไหน ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา เพราะถ้าไม่มีการสั่งสอนแนะนำ เกิดเรื่องแบบนี้คนอื่นอาจจะบอกได้ว่าก็เด็กมันไม่มีผู้ใหญ่สั่งสอนตักเตือน
การจะโทษแต่เด็กอย่างเดียวมันไม่ถูก และไม่มีอะไรที่สร้างสรรค์ ที่ถูกคือต้องชำระสะสางทั้งสมาคม ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเด็กมีปัญหาไม่ถูกกัน ทำไมไม่เตรียมป้องกัน ไม่กำชับตักเตือนห้ามปราม ไม่ระวังเอาไว้ล่วงหน้า

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าทั้งคู่ยังเป็นวัย 20 ต้นๆเท่านั้น เรื่องของอารมณ์ย่อมยังไม่เข้มแข็งพอ
ขนาดอดีตพระมิตซูโอะ อยู่กับพระพุทธศานามากว่า 30-40 ปี เจอนารีมานั่งมองตาแป๋วทุกวันทุกคืน อารมณ์ยังกระเจิดกระเจิง ธรรมะเอาไม่อยู่ เพราะรสพิศวาสรสชาติของความเป็นปุถุชน ที่ยังมีความต้องการ มีอารมณ์ปรารถนาในเรื่องเพศรสมันเกินจะห้ามใจ

ซึ่งก็เข้าใจเพราะนายมิตซูโอะ ก็เป็นผู้ชายทั้งแท่ง ว่ากันไม่ได้หากจะมีความต้องการ ก็เลยกลายเป็น
เรื่องสึกด่วน แต่งด่วน จดทะเบียนสมรสด่วน จนผู้คนที่ผิดหวังด่ากันตรึม

แต่ถ้ามองว่านายมิตซูโอะก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่มีความต้องการตามธรรมชาติ จะด่าไปทำไม น่าจะเอามาเป็นแง่คิดบทเรียนว่า ขนาดบวชยาวนาน แต่พอมาเจอนารีเข้าให้ ธรรมะยังกระเจิง ฉะนั้นตรงนี้แหละที่ทางองค์กรสงฆ์ของไทยจะต้องเอาไปใช้เป็นบทเรียน เอาไปปรับปรุงกฎเกณฑ์ระวังป้องกัน
ยิ่งกรณี สมีคำ หรือนายวิรพล สุขผล นั่นยิ่งไม่ได้ทั้งวัยวุฒิคุณวุฒิ แต่กลับมีการอุปโลกน์ มีการสร้างการปั่นกันจนถึงขนาดอ้างเอาอายุชาติที่แล้วมารวมกับชาตินี้ มาให้คนเรียกหาเป็นหลวงปู่ เงินทอง ทรัพย์สินมหาศาลไหลเข้ามืออย่างมากมาย แล้วจะเหลือหรือ

เมื่อเป็นพระรวยเป็นร้อยล้านพันล้าน กล้าใช้จ่ายเงินตามความต้องการขนาดนั้น สุดท้ายก็อย่างที่ปรากฏนั่นแหละฉาวไปหมด ทั้งเรื่องผู้หญิง เรื่องของการบำรุงบำเรอความสุข

ถามว่าบรรดาสงฆ์ผู้ใหญ่ในจังหวัด กรมการศาสนาในพื้นที่ รวมทั้งระดับประเทศ ไม่ได้รู้ไม่เคยระแคะระคายใดๆเลยหรือ ในเมื่อชาวบ้านยังรู้

นี่คือความจริงของสังคมไทย นี่คือบทเรียนซ้ำซากที่สะท้อนชัดว่าหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องไม่เคยมีการระวังป้องกันล่วงหน้า มีแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเป็นครั้งๆเท่านั้น

ฉาวโฉ่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็วิ่งพล่านกันทีหนึ่ง ให้พ้นๆไป เราจึงมีอดีตพระ มีสมีเพียบไปหมด

แต่ก็อย่างว่าแหละกลไกหลักของประเทศก็ยังบิดเบี้ยว บรรดานักการเมืองที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเสวยผลประโยชน์การเมือง ก็ไม่ต่างจากเหลือบ เห็บ แมลงสาป กัดกินประเทศ

แค่เรื่องคอรัปชั่นโกงกิน พูดกันมาไม่รู้กี่สิบปี ก็ไม่เห็นสูญหายไปจากประเทศนี้เสียที คนรอบข้างนักการเมืองนั่นแหละตัวดี ทุกวันนี้ก็ยังกินกันจนปากเปรอะปากมอม

ไม่ว่าพรรคไหนก็พอกันทั้งนั้นแหละ หรือใครจะเถียง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไทยเป็นเมืองขึ้นความไม่ถูกต้อง ควรเร่งปรับปรุงก่อนตกเหวลึก !!??

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "คุณธรรมความซื่อตรง กลไกสร้างสมดุลในอาเซียน" ในงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 6 "สร้างชาติสร้างไทย สร้างใจซื่อตรง" ซึ่งจัดโดย ศูนย์คุณธรรม(องค์การมหาชน) และองค์กรภาคี 24 องค์กร ระหว่างวันที่ 25 - 26 กรกฎาคม 2556 ณ ฮอลล์ 9 อิมแพค เมืองทองธานี

ช่วงแรก ดร.สุรินทร์ กล่าวถึงสิ่งที่เป็นห่วงโดยเฉพาะกับสังคมไทย ก็คือ ในสังคมมาตรฐาน และพฤติกรรมของคนจะมี "จุดต่ำสุด" ที่เป็น floor เช่น หากต้องการเอาชนะเรื่องอะไรก็ตามแต่ ฆ่าคนจะไม่ทำ เพราะบาป โกหกไม่ทำผิดศีล ถ้าจำเป็นต้องคอร์รัปชั่นไม่ทำ เพราะคือการโกหก แต่เวลานี้ floor ของสังคมไทยรู้สึกจะยวบยาบเต็มที่ เพราะเราหวังจะได้จุดที่เราต้องการเป็นเป้าประสงค์ ทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น "ผิดถูก โกหก คดโกง แม้แต่ฆ่าคนก็ต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ" ภาษาอังกฤษเรียกว่า the end justifies the means แปลได้ว่า จุดประสงค์นั้นทำให้วิธีการทุกอย่างถูกต้องชอบธรรมหมด

ดร.สุรินทร์ อธิบายคำว่า "สำนึกของสังคม" (Social Conscience) เรื่องอะไรผิด อะไรถูก จำเป็นต้องมีว่า อะไรเป็นมาตรฐานที่เป็นเครื่องชี้วัด ยังมีความดีความชั่ว ผิดถูกอยู่ พร้อมยกตัวอย่าง ต้นศตวรรษ 1970 มีหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อ What happened to sin แปลว่า ใครเกิดขึ้นกับคำว่าบาป เพราะดูเหมือนว่า ประชากรโลกไม่มีคำว่าบาป อยู่ในตัวอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างโอเคหมด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้หมด หากเราต้องการ หลบหนีการตรวจสอบได้ โกงเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าหากจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

"ที่สำคัญคนของเรายังให้ความเคารพชื่นชม คนได้มาซึ่งอำนาจในทางที่ผิดไปจากจริยวัตรผู้อื่น ได้มาซึ่งทรัพย์ศฤงคารในทางที่ผิด เราดูเฉพาะขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ถ้าเขามีทรัพย์สิน อำนาจ เราก็สาธุด้วย ตรงนี้คือพื้นต่ำสุดวัดมาตรฐานของคนในสังคมไม่มีแล้ว สังคมจะอยู่ไม่ได้ เพราะฐานไม่แข็งแรง

ทุกศาสนา ทุกประชาคม ทุกองค์กร ถ้าไม่มีความมั่นคงในส่วนของพฤติกรรมที่เป็นเบสิกของสมาชิก และของคนในสังคม สังคมนั้นอยู่ไม่ได้ เพราะจะเต็มไปด้วยการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์ กลายเป็นทุกคนต้องรบกับทุกคนเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ต้องแย่งกับคนอื่นตลอดเวลา กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย นี่คือหายนะของสังคม "

ไทยด้อยสุดเรื่องความโปร่งใส ระบบราชการไทยอ่อนแอ

ขณะที่การแข่งขันในเวทีอาเซียนนั้น อดีตเลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า แข่งขันบนพื้นฐานของความแข็งแกร่งด้านค่านิยม วัฒนธรรม พลังชุมชนของตัวเอง แต่ไทยด้อยกว่าคนอื่น เรื่องความโปร่งใส สำรวจที่ไร ด้อยกว่าคนอื่นทุกที นอกจากเราไม่มีความโปร่งใสแล้ว ก็ยังไม่มีหลักนิติธรรม (the rule of law) ที่ชัดเจน

"ความซื่อสัตย์ความซื่อตรงมีความหมายกว้างมาก เอาจริงก็คือ สัญญากับใครปฏิบัติให้ได้ มีหน้าที่อะไรปฏิบัติให้บรรลุ มีขอบเขตของกฎหมายให้อำนาจ อย่าให้เกิน อย่าแย่งคนอื่นหรือก้าวก่าย หาประโยชน์จากอำนาจที่มีอยู่

สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุดขณะนี้ คือระบบราชการไทยอ่อนแอที่สุด เริ่มต้นจากเป็นกระดูกสันหลัง เป็นเสาหลักของประเทศ คอยกำหนดบทบาทหลายสิ่งหลายอย่างในสังคม ในอดีตระบบราชการมั่นคง ยืนหยัดเป็นหลัก แต่ 40-50 ปีหลังภาคเอกชนแข็งแกร่งขึ้นมา เช่น ธุรกิจยานยนต์ล้ำหน้าประเทศอื่นในอาเซียน กลายเป็นศูนย์ผลิตรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ปัจจุบันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ภาคราชการถูกบิดเบือน บิดเบี้ยว ในภารกิจ เชื่อหรือไม่ว่า นายอำเภอ 1 คน ขณะนี้จะเอาใครมา ต้องถามส.ส.ในพื้นที่ ท่านเชื่อไหมว่า ผู้นำประชาชนสามารถบอกได้ว่า ผู้บังคับการ ผู้บัญชาการตำรวจ ในจังหวัดนั้นอยู่กับผม ผมเป็นคนขอ เป็นคนเอามา

ระบบราชการถูกบิดเบือน บิดเบี้ยวไปมาก ภาคเอกชนซึ่งแข็งแกร่งมาตลอด กลับถูกภาคราชการเกาะเกี่ยว และไปดึงเขาไว้ เพราะภาคราชการไม่ได้คัดสรรคนเข้ามาบนพื้นฐานของความรู้ความสามารถ ความเป็นเลิศ ประสบการณ์ ความอาวุโส มันขึ้นอยู่กับว่า มีจดหมายน้อยของใครมาแนะนำคนนั้นต้องได้รับตำแหน่ง

เราคิดว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องซื่อสัตย์ สุจริต ความโปร่งใส ใช่หรือไม่ ?

ไม่เกี่ยวกับระบบคุณธรรม ความโปร่งใสใช่หรือไม่ ?

ถ้าไม่มีความโปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริตในระบบคัดสรรคนมาอยู่ในตำแหน่งที่วิกฤติที่สำคัญ มีความจำเป็น ตำแหน่งนั้น คนนั้นก็ไม่สามารถทำหน้าที่เพื่อประชาชนได้

เรามีปัญหาเรื่องปลาทูน่ากระป๋องส่งไปยุโรป มีปัญหาเรื่องคุณภาพ สารแปลกปลอม ใครจะเข้ามาช่วย อย. กรมโรงงาน กรมประมง กรมส่งเสริมการส่งออก เข้ามาช่วย หากคนเหล่านี้มาโดยจดหมายน้อย บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่มีทักษะการเจรจาด้านการค้า ไม่มีความสามารถเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น"

ทั้งนี้ ดร.สุรินทร์ กล่าวถึงการคัดเลือกครูผู้ช่วย มาเป็นแม่พิมพ์ของชาติ แม้แต่การสรรหาก็คอร์รัปชั่น บูดเบี้ยว ไม่ตรงไปตรงมา แล้วเราจะสร้างชาติบนพื้นฐานความแข็งแกร่ง ซื่อตรง ตรงไปตรงมาได้หรือไม่

"คำตอบวันนี้ อยู่ที่พื้นฐาน อยู่ที่เด็ก ชุมชน ครู โรงเรียน เราอยู่กับความสะดวกสบายและผลพวงความสำเร็จในอดีตมานาน หลายสิ่งในประเทศนี้ล้นเหลือมาก ธรรมชาติให้ คนไทยจึงสบายไม่ดิ้นรน ไม่มีความพยายาม"

ฉะกลไกการเมืองคัดสรรคนนั่งตำแหน่ง ไร้ประสิทธิภาพ

ขณะที่การทูตยุคโลกาภิวัตน์ นั้นต้องการคนที่ลับอาวุธอยู่ตลอดเวลา ในการรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติ แต่ถามว่า วันนี้เราสร้างคนไปทันหรือไม่ ข้าราชการไทยออกไปสู้กับเขาได้หรือไม่

"ผมทำงาน 5 ปีที่อาเซียน นายกรัฐมนตรี 5 คน ทุกปีต้องบรรยายสรุปกันใหม่ ต้องเริ่มใหม่ และเชื่อหรือไม่ เมื่อกระบวนการขึ้นสู่โต๊ะเจรจา "เงียบ" มากขึ้นๆ จนกระทั่งวันนี้"

เพราะอะไร เพราะความไม่พร้อม กลไกทางการเมือง ไม่มีประสิทธิภาพในการเลือกสรรคนมาอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ เมื่อเลือกมาแล้ว แทนที่อยู่ในกรอบของตัวเอง ก็ไปก้าวก่ายระบบราชการ

เราผลิตคนไม่ทัน เราเตรียมคนไม่ทัน เพราะความบิดเบือน บิดเบี้ยว ดังนั้นคนไทยจำเป็นต้องถามเรื่องความโปร่งใส ถามเรื่องความบริสุทธิ์ ถูกต้อง เหมาะสม เราต้องคิดกันว่าจะเอาอย่างไร

เรามีของดีอยู่เยอะในประเทศนี้ ธุรกิจรถยนต์ไม่มีใครสู้เราได้ การเกษตรไม่มีใครสู้เราได้ ข้าว "ไม่เคยมีใครเคยสู้เราได้" มูดี้ส์บอกเราขาดทุนจากจำนำข้าว กว่า 2 แสนล้าน ทั้งประเทศโกลาหลปฏิเสธตัวเลขมั่ว ไม่ครบ ไม่ชัด พอถามจริงๆ ตัวเลขคืออะไรก็บอกไม่รู้ ไม่ทราบ นี่คืออาการหนัก !

"ท่านบอกว่า สร้างชาติ สร้างไทย สร้างใจซื่อตรง อีกข้อคือ "กู้บ้าน กู้เมือง" เพราะตอนนี้ประเทศไทยเป็นเมืองขึ้นของความไม่ถูกต้อง เปรียบประเทศไทยวันนี้เหมือนฉิ่งฉับทัวร์ ขึ้นดอยผาตั้ง คิดว่าจะขึ้นตลอดไป หารู้ไหมว่าข้างหน้า คือเหวลึก

โอบามาบอกว่า มี "หน้าผาการคลัง" (fiscal cliff) อยู่ข้างหน้า ขณะที่ประธานธนาคารกลาง บอกว่ามีเหวลึกอยู่ข้างหน้า หากตกลงกันไม่ได้ หนี้ประเทศนี้ จะไปถึงจุดที่จ่ายหนี้กันไม่หมด ตลอดปีตลอดชาติ ไม่มียูเทิร์น

ส่วนหลายประเทศทั่วโลกคิดแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีบทแก้ไขอย่าให้ก่อหนี้เกินเท่านั้นเท่านี้ เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ

แต่ของไทยเล่นวิธีใหม่ ออกกฎหมายอนุญาตให้ "กู้" เท่าไหร่ก็ได้ มีเสียงข้างมากที่จะให้กู้ นี่คือเหวข้างหน้า fiscal cliff

ดร.สุรินทร์ กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ค่านิยมที่เปลี่ยนไป รับได้กับการคอร์รัปชั่น ค่านิยมนี้อันตรายที่สุด ค่านิยมนี้เหมือนสึนามิ ที่วิ่งมาหา และตัวท่านกำลังว่ายน้ำทวนสึนามิ ฉะนั้น เราจำเป็นต้องมีกลุ่มบุคคลมาเตือนสติสังคม ว่า สังคมต้องมีมาตรฐาน บาปบุญ มีความถูกผิด สังคมอยู่โดยที่ไม่มีมาตรฐานใดๆ ทั้งสิ้น อยู่ไม่ได้

"คนไทยไม่มีแรงอึดมากพอที่จะทนอยู่ในกรอบ ในลู่เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ขณะที่ระบบการศึกษาก็ง่ายกันเหลือเกิน ฉะนั้นประเทศอื่นเศรษฐกิจอื่น ระบบการเมืองอื่น เขาแข่งขันเรื่องความโปร่งใส สร้างค่านิยมความซื่อสัตย์ให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ให้ขยันหมั่นเพียร ทุ่มเท แต่ไทยมีแค่คนส่วนน้อย

เราจำเป็นต้องตั้งคำถามหนักๆ กับประเทศนี้ จะเอากันอย่างไร ระบบราชการ การคัดสรรคนเข้ามาดำรงตำแหน่ง ระบบการเมือง ระบบการศึกษา จะเอากันอย่างไร อยู่ในสังคมท่ามกลางความหลากหลายจะเอากันอย่างไร ในเมื่อข้าราชการที่แต่งตั้งไปจากกรุงเทพมหานคร หันหลังให้ประชาชน หันหน้าให้ผู้แต่งตั้ง อยู่ต่างจังหวัด 3 วัน อยู่กรุงเทพ 4 วัน ประชาชนไม่มีส่วนใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส ในการปฏิบัติหน้าที่จึงไม่เกิดขึ้น"

สุดท้าย ดร.สุรินทร์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ทุกคนในประเทศนี้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟื้นประเทศนี้ สร้างประเทศนี้ และร่วมกันกอบกู้ประเทศนี้ ขณะเดียวกันก็แสดงความเป็นห่วง เราจะยูเทิร์นไม่ทัน เพราะหากค่านิยมความซื่อสัตย์ โปร่งใส ยังไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง

"ผมเชื่อในความบริสุทธิ์และความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก คือทางรอดของประเทศ เด็กที่ยังไม่รู้จุดต่ำสุดของสังคมนี้มันยวบยาบ ให้เด็กช่วยยก เสริม เป็นเสาให้กับสังคมไทย สิ่งที่หละหลวมเด็กจะมาช่วยขันสกรูให้แน่นยิ่งขึ้น เสาต่างๆที่ผุกร่อนด้วยระบบการเมือง วัตถุนิยม การแข่งขัน เด็กจะมาช่วยเสริม ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น และหวังว่า  floor ที่ต่ำสุด คนไทยทั้งชาติจะไม่ลดตัวต่ำกว่านี้ มีกฎมีเกณฑ์มีความถูกต้อง มีสำนึกของสังคมร่วมกัน"

ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
//////////////////////////////////////////////////////////

คำถามถึง : รมต.จาตุรนต์ ทำไมให้ธรรมกาย เป็นผู้ฝึกจริยธรรมครู ทั่วประเทศ !!??

โดย.ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ

ผมรู้จักท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง เพราะเคยเป็นที่ปรึกษาท่านเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการช่วงแรก จึงอยากฝากคำถามดังๆ ไปถึงท่าน.. นโยบายฝึกจริยธรรมคุณธรรมของครูทั่วประเทศกว่า 500,000 คน นั้นผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ทำไมต้องทำโดยธรรมกาย?

เมื่อผมได้ยินนโยบายดังกล่าว ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก เพราะคิดว่ายังไม่ได้ลงมือทำ แต่เมื่อวันพุธที่ 24 และพฤหัสบดีที่

25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งผมได้ไปจัดประชุมปฏิบัติการเชิงลึก (Deepening Workshop) กลุ่มภาคใต้ (ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา) : โครงการจัดทำแนวทางส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวและกีฬาเชิงบูรณาการรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่โรงแรมดิโอวาเลย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี



นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

เมื่อเดินทางไปถึงโรงแรมดิโอวาเลย์เห็นมีผู้คนแต่งชุดขาวกว่า 200 คน ทำการฝึกสมาธิที่โรงแรม ความที่ผมเป็นคนอยากรู้

อยากเห็นก็ไปถามว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นใคร? มาทำอะไรกัน?

คำตอบก็คือ เป็นครูในจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาฝึกจริยธรรมกับธรรมกาย 3-4 วัน ท่านผู้อ่านลองคิดตามผมดู

จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีสวนโมกข์ อำเภอไชยา มีท่านพุทธทาส มีท่านปัญญา ซึ่งเป็นแบบอย่างการสอนศาสนาเป็นที่ยอมรับ แต่ทำไมต้องเป็นกลุ่มธรรมกายมาทำการอบรมจริยธรรมแทน

ผมไม่มีอะไรขัดแย้งกับธรรมกาย แต่ธรรมกายทำงานเหล่านี้เพื่อเป้าหมายอะไร การเมืองต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?

ที่น่าจะเล่าให้ท่านรัฐมนตรีฟัง ก็คือ ครูที่มาครั้งนี้ก็ไม่ได้ปลื้มมากนัก เพราะหลายท่านกระซิบให้ผมฟังว่า

-เป็นนโยบายของรัฐบาลครับ

-พูดมากก็โดนความผิดทางวินัย

-จึงจำเป็นต้องทำตาม

ผมจึงตั้งคำถามมาให้ท่านคิดดูว่า นโยบายการศึกษาไทยในยุคปัจจุบันน่าไว้ใจแค่ไหน? การศึกษาปลอดการเมืองจริงหรือ?
มีรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯ เพื่อใคร? เพื่อส่วนรวมหรือเพื่อเป้าหมายทางการเมือง? ท่านรัฐมนตรีคนเก่งตอบผมที

ยิ่งไปกว่านั้น ที่ทราบมาจะเป็นการจัดทั่วประเทศ ครูเป็นแสนๆ คน และธรรมกายจะเป็นผู้จัดผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว ธรรมกายเก่งและมีความสามารถในเรื่องจริยธรรม คุณธรรมแค่ไหน? คนไทยช่วยตอบผมที

ผมเขียนถึงรัฐมนตรีจาตุรนต์ก็เพราะคิดว่าท่านน่าจะเป็นบุคคลที่มีความคิด และมีเหตุผล จึงขอใช้สื่อของผม ถามดังๆ มีคำตอบ และถ้าท่านผู้อ่านมีความคิดอย่างไรก็กรุณาแบ่งปันข้อมูลกัน อาจจะผ่านทาง Social Medias ของผมก็ได้





บรรยากาศการประชุมปฏิบัติการเชิงลึก (Deepening Workshop) กลุ่มภาคใต้ (ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา) : โครงการจัดทำแนวทางส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวและกีฬาเชิงบูรณาการรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ณ โรงแรมดิโอวาเลย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

เดือนสิงหาคมมาถึงจนได้มีความร้อนจัดเพิ่มขึ้นทางการเมืองอีก เพราะเปิดสภาฯ

รัฐบาลมีหน้าที่บริหารประเทศ แต่สร้างความเสี่ยงในหลายๆ เรื่อง

-กฎหมายนิรโทษฯ ฉบับคุณวรชัย เลื่อนขึ้นมาเป็นวาระแรก ทำไม? เพื่อใคร? ประชาชนได้อะไร?

-เปิดสภาฯ ครั้งนี้ จะมีเรื่องพ.ร.บ. 2 ล้านล้านเข้าและ การแก้รัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งเป็นประเด็นร้อนๆ ทั้งนั้น

คนไทยต้องติดตามกันต่อไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนไทย แต่ผมรู้สึกเฉยๆ เพราะวิกฤติเป็นเรื่องธรรมดาของโลกปัจจุบัน เมื่อมีวิกฤติก็ต้องแก้

การแก้ก็ต้องมีความสามารถในการตัดสินใจ รอบคอบ นิ่ง มีข้อมูลครบถ้วน มีแนวร่วมเพื่อให้ส่วนรวมอยู่รอด-การเมืองมาก็ไป ประเทศและประชาชนอย่างเราๆ ต้องอยู่กับมัน

พูดถึงวิกฤติจึงเกิดข้อที่ผมยกเป็นตัวอย่างเรื่องคุณสมบัติของผู้นำตามแนวคิดของผมในยุคปัจจุบันว่าจะต้องมีความสามารถ ในการบริหารวิกฤติที่เกิดขึ้น โดย..

-เผชิญหน้ากับความจริง

-มีผู้ได้-ผู้เสีย ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

-มองผลประโยชน์ของชาติมากกว่าตัวเอง

-และสุดท้าย ไม่ใช่มีแต่เสีย มีวิกฤติก็มีโอกาส คือ เรียนรู้จากวิกฤติเหล่านั้น เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ผมคิดว่าไม่มีวิกฤติก็ไม่มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้น

ในช่วงการสอนปริญญาเอกของผม 2 แห่ง ที่สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบังและมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และมีลูกศิษย์ปริญญาเอกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีก 2-3 คน สนใจทฤษฎี 8K’s+5K’s เป็นหลักในการมองเรื่องทุนมนุษย์ และเขียนวิทยานิพนธ์ ผมจึงจะจัดให้ Ph.D. ทั้ง 3 มหาวิทยาลัยได้พบกันในวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 นี้ ซึ่งจะเป็นการเรียนแบบ “Value Diversity” คือ เอาความหลากหลายของทั้ง 3 มหาวิทยาลัยมาเป็นพลัง ซึ่งผมคิดว่าประเทศของเรายังมองความหลากหลายเป็นความขัดแย้ง

สุดท้าย ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณผู้เข้าร่วมการประชุมปฏิบัติการเชิงลึก (Deepening Workshop) กลุ่มภาคใต้ : โครงการจัดทำแนวทางส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวและกีฬาเชิงบูรณาการรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่โรงแรม
ดิโอวาเลย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ขอบคุณท่านรองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.เสกสรรค์ นาควงศ์ ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดฯ และทีมงานจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำโดย คุณแสงจันทร์ แก้วประทุมรัศมี มาร่วมโค้ชและสังเกตการณ์ในกิจกรรมของโครงการ โดยตลอด

ขอขอบคุณอาจารย์ภราเดช พยัฆวิเชียร ประธานสถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน คุณธงชัย วัฒนศักดากุล เลขาธิการสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย นายไพศาล ตรีธัญญานายอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายสุทธิ ศิลมัย ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช และทีมโค้ชของโครงการ ทุกท่านที่ร่วมแรงกายแรงใจทำงานในครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงอย่างดี

การท่องเที่ยวและกีฬารองรับอาเซียนใน 5 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา มีศักยภาพมหาศาล โดยเฉพาะ Value Diversity หรือการสร้างคุณค่าให้เกิดจากความหลากหลายจากธรรมชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และเกษตร แต่จุดที่น่าคิด คือ การมีความสมบูรณ์ในแหล่งท่องเที่ยวมากเกินไปอาจจะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างมูลค่าแบบสร้างสรรค์(Value Creation) น้อยเกินไป

ฝากท่านผู้อ่านนำไปคิดต่อครับ
ที่มา.นสพ.แนวหน้า
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผ่าแผนม็อบ ต้านรัฐบาล !!??

ปัดโถ่....กลุ่มนายทหารนอกราชการ วัยแก่ๆ ค่อนเกือบ 70 ปี ยังมีเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายประกาศตั้ง “กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” เพื่อไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ให้พ้นไปจากอำนาจบริหารประเทศ...(อีกเหรอ)

นายทหารนอกราชการกลุ่มนี้ ประกอบด้วย พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม(อพส.) พล.อ.ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี

ช่างเหมาะสมกับชื่อใหม่ที่เรียกว่า “คณะเสนาธิการร่วม” เพราะมีครบทุกเหล่าทัพ ทั้งทัพบก เรือ และอากาศ...ย่อมน่าสนใจอย่างยิ่ง

น่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อลากโยงความสัมพันธ์ในระดับ “บุคคล” ของนายทหารนอกราชการกลุ่มนี้ เพราะความสัมพันธ์ย่อมเชื่อมโยงไปสู่ “ผลึก” แนวคิดทางการเมืองและดุลอำนาจอยู่ไม่น้อย

พล.ร.อ.ชัย เป็นนายทหารรุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กับ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ผู้ก่อการม็อบสนามม้านางเลิ้ง

เมื่อ เสธ.อ้าย ก่อม็อบและพ่ายแพ้ช่วงเพียงเวลาดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เขาประกาศเลิกกิจการก่อม็อบ แล้วสลายสถานะผู้นำที่ชื่อเสธ.อ้าย ด้วยการประกาศว่า “เสธ.อ้ายตายแล้ว” นั่นหมายความว่า เสธ.อ้ายจะไม่ได้นำม็อบ เกณฑ์ชาวบ้านไม่รู้เหนือรู้ใต้มาชุมนุมไล่รัฐบาลอีกแล้ว

เสธ.อ้าย วางมือจากม็อบ เขาลาออกจากประธาน อพส. ส่งไม้ต่อให้พล.ร.อ.ชัย มารับภารกิจโค่นระบอบทักษิณแทน โดยมี พล.อ.ท.วัชระ เป็นโฆษก อพส.

พล.อ.ท.วัชระ ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรฯอย่างสม่ำเสมอ เขาจับมือกับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เรียกร้องดินแดนเขาพระวิหาร โจมตีรัฐบาลในระบอบทักษิณว่า ขายชาติ ขายผืนดิน เพื่อแลกผลประโยชน์ด้านพลังงานจากเขมร

พล.อ.ชูเกียรติ เป็นนายทหารคนสนิทของ พล.ต.มนูญกฤต รูปจขร อดีตผู้นำทหารยังเติร์ก จปร.7 เขาเป็นกลุ่มพันธมิตรตัวยง และไม่ชอบหน้าระบอบทักษิณเข้ากระดูกดำ เนื่องจากชิงชังการเมืองแบบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน ที่มีบทสรุปการทุจริตคอร์รัปชั่น

เหนืออื่นใด แนวคิดหลักของกลุ่มนายทหารนอกราชการกลุ่มนี้ ยังมีสูตรสำเร็จทางการเมืองแบบประชาธิปไตยว่า นายทุนลงทุนทางการเมือง ต้องเข้ามาถอนทุนกลับคืน

ดังนั้น ประชาธิปไตยของนายทหารนอกราชการจึงมีแนวคิดกระเดียดไปในทางประชาธิปไตยของคนดี ที่ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบจากประชาชนด้วยกระบวนการหย่อนบัตรลงคะแนนเสียง

กล่าวกันตรงๆ ก็คือ ประชาธิปไตยของชนขั้นนำสูงสุดที่ให้เฉพาะเสรีภาพทางร่างกายและเศรษฐกิจกับประชาชนข้างล่างเท่านั้น

ด้วยแนวคิด “คนดี” เมื่อนำมาประสานกับประชาธิปไตยชนชั้นนำแล้ว จึงทำให้เห็นกลุ่มทางการเมืองแบบอนุรักษนิยมที่ติดอาวุธความคิดแบบ “พวกขวาสุดโต่ง” คือ ความคิดแบบเอาแต่ได้ ไม่เดินสายกลาง ตึงตัวเฉพาะกลุ่มก้อนตัวเอง

แน่นอน...แนวคิดแบบขวาสุดโต่ง จึงเข้ากันไม่ได้สนิทกับลักษณะทางสังคมที่หลากหลายในสังคมไทยปัจจุบัน

ไม่เพียงเท่านั้น แนวคิดขวาสุดโต่งยังเข้าไม่ได้กับหมู่มิตรการเคลื่อนไหวของพรรคพวกตัวเองด้วย พวกเขาเข้าไม่ได้กับกลุ่มชุมนุมสนามหลวงที่เรียกว่าเครือข่ายประชาชน

เพราะพวกขวาสุดโต่งต้องการเข้าไปครอบงำการเคลื่อนไหวทั้งหมด โดยมีแนวทางนำไปสู่การสร้างเหตุการณ์รุนแรงขึ้น

ดังนั้น แนวคิดกลุ่มขวาสุดโต่งจึงมีส่วนสำคัญในการยกระดับการต่อสู้ของกลุ่มสนามหลวงไปสู่การสร้างกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เพื่อทำลายรัฐบาลภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์

แต่ด้วยแนวคิดขวาสุกโต่ง กลับกลายเป็นการทำลายกลุ่มชุมนุมที่สนามหลวงอย่างเด่นชัด จนขาดพลังในการเคลื่อนไหวเพื่อประกาศเจตนารมณ์ของประชาชน

บัดนี้ กลุ่มชุมนุมที่ปักหลักสนามหลวง ถูกกลุ่มขวาสุดโต่งทำลาย “เอกภาพ” จนหมดสิ้น และแตกตัว แยกการเคลื่อนไหวออกเป็น 3 กลุ่มหลัก

และที่สำคัญทั้ง 3 กลุ่มไม่ยอมรับการนำของกันและกัน นั่นบ่งบอกว่า ฐานะการทำ “แนวร่วม” ทางการเคลื่อนไหวต่อกันและกันก็ไม่เกิดขึ้นด้วย

ทั้ง 3 กลุ่มของม็อบสนามหลวงนั้น แยกออกเป็น หนึ่ง กลุ่มสภาเกษตรกรไทยที่ขับเคลื่อนในประเด็นการเสียดินเขาพระวิหารเป็นหลัก

สองกลุ่มพลังธรรมมาธิปไตย ซึ่งเป็นมิตรสหายทหารป่าดาวแดงภายใต้การนำของ “ปรีชา 505” ยังเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมด้วยพลังของประชาชนเป็นด้านหลัก โดยไม่อาศัยการเปลี่ยนแปลงที่มาจาก “ทหารยึดอำนาจ” ดังนั้นกลุ่มนี้จึงเข้าไปสนิทกับกลุ่มหน้ากากขาว และแทบทุกครั้งพวกเขาก็อาสาเป็นการ์ดให้กลุ่มหน้ากากขาวด้วย

ทั้งกลุ่มที่หนึ่ง และกลุ่มที่สอง ยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่สนามหลวง ในบริเวณใกล้เคียงกัน แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน และเส้นแบ่งพื้นที่ไม่สัมพันธ์กันนั้นอยู่ที่ “รั้วเหล็ก” มากั้นกำหนดเขตแดนกันและกัน

พัฒนาแห่งความ “แตกแยก” กันเช่นนี้ในบางครั้งถึงกับบาดหมางราวลึกกัน จนใช้กำลัง “ชกต่อย” ตาบวม ปากแตก และแจ้งความดำเนินคดีกันที่สถานีตำรวจพระราชวังมาแล้ว

ความจริงก็คือ ความแตกแยกทั้งหมดมาจากแนวคิดการทำลายของกลุ่มที่สาม คือ กลุ่มขวาสุดโต่ง ที่ต้องการผลักดันให้ม็อบสนามหลวงเกิดการปะทะกับตำรวจถึง 2 ครั้ง เริ่มตั้งแต่มาล้อมกรอบทำเนียบรัฐบาล และครั้งล่าสุดในเหตุการณ์ปิดล้อมกระทรวงกลาโหม ไม่ให้ “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะ รมว.กลาโหม ได้เข้ากระทรวงได้

ปฏิกิริยาไม่เห็นด้วยกับแนวทาง “ปะทะ” ภายใต้การชี้นำของกลุ่มขวาสุดโต่งนั้น เกิดจากกลุ่มพลังธรรมาธิปไตยไม่ปฏิบัติตาม จนเกิดวิวาทะด้วยอารมณ์รุนแรง แล้วก็แยกตัวออกจากกันไปตามแนวทางใคร แนวทางมัน

และแล้ว กลุ่มขวาสุดโต่ง และนายไชยวัฒน์ จึงแยกวงมาปักหลักอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “13 สยามไท” สร้างเครือข่ายทางความคิด กระทั่งแปรรูปเป็น “ขบวนการคณะเสนาธิการร่วม” ประกาศโค่นระบอบทักษิณในขณะนี้

คณะเสนาธิการร่วม ไม่มีความจัดเจนทางการเคลื่อนไหวของประชาชน ไร้วิธีการจัดตั้งมวลชน ดังนั้นนายพิเชษฐ์ พัฒนาโชติ และนายไทกร พลสุวรรณ จึงมาสวมทัพด้วย และมีนายสมศักดิ์ โกสัยสุข ผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจ และหัวหน้าพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย (เปลี่ยนชื่อจากพรรคการเมืองใหม่) มาร่วมวางและสร้างเครือข่ายมวลชน

ทั้ง “พิเชษฐ์ และไทกร” ล้วนเป็นคนสนิทกับ “พล.ต.มนูญกฤต” เช่นเดียวกับกลุ่มนายทหารนอกราชการ นั่นเท่ากับลากชื่อ “มนูญกฤต” มาพัวพันกับการเคลื่อนไหวโค่นระบอบทักษิณ

พลังสนับสนุนของกลุ่มเสนาธิการ่วมที่มีแนวคิด "ขวาสุดโต่ง” แทบไม่มีเป็นกอบเป็นกำ กลุ่มนี้ประเมินสถานการณ์การเปิดสภาในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ว่า อยู่ในภาวะเติมเชื้อความรุนแรงให้พัฒนาไปสู่การล้มรัฐบาลและโค่นระบอบทักษิณได้

กำลังส่วนหนึ่งของพวกเขามาจากต่างจังหวัด ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวระดมกำลังกันที่จังหวัดเลย ภายใต้การนำของ “พล.อ.กิตติศักดิ์ รัตนประเสริฐ หรือ เสธ.อู๊ด” และ “ผู้กองปูเค็ม หรือ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล” โดยแผนปฏิบัติการสร้างกำลังได้เริ่มขึ้นเมื่อ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ด้วยการประกาศสร้าง “กองทัพนิรนาม” ขึ้นมาโค่นระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์

แน่ละ....ในขณะนี้หากพิจารณาในด้านร้ายแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังเผชิญหน้ากับกองทัพที่จะโค่นล้มอย่างน้อย 2 กองทัพ คือ “กองทัพประชาชน” ในรหัสของกลุ่มหน้ากากขาวและคณะเสนาธิการร่วม กับ “กองทัพนิรนาม” ทีผู้กองปูเค็มเร่งฝึกกำลังพลขนาดใหญ่

แผนปฏิบัติการของกลุ่มขวาสุดโต่งและกองทัพโค่นล้มทั้งหลายทั้งปวงนำ นำไปสู่เป้าหมาย “สร้างสถานการณ์ให้ทหารออกมายึดอำนาจ”

ทหารจะออกมาได้ ด้วยยุทธวิธีการเคลื่อนไหวมวลชนให้นำไปสู่การปะทะกับเจ้าหน้าตำรวจ แล้วลามไปสู่การ “ก่อวินาศกรรม” แบบ เผาโน่น ทุบนี่ อะไรประมาณนั้น รวมทั้งการสร้างความปั่นป่วนในสังคม แล้วลงท้ายด้วย “กำจัด” นักการเมืองในพรรคเพื่อไทย

นี่คือ แผนการที่ถูกวางไว้เพื่อการจัดสร้างในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน เป็นช่วงที่กฎหมายสำคัญๆ ของรัฐบาลเข้าสู่สภา โดยเฉพาะกฎหมายนิรโทษกรรม กฎหมายกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะ “เรียกแขก” ให้มาชุมนุมประท้วง

เมื่อกองทัพ กองกำลัง ของกลุ่มขวาสุดโต่งเข้าแทรกซึม ผสมส่วนในม็อบรายรอบสภาแล้ว จินตนาการความปั่นป่วน และเหตุการณ์รุนแรงย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที

เพียงหลับตานึก สังคมที่อันตรายย่อมลอยเด่นขึ้น สอดประสานกับเสียงข่มขู่ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ

แผนการของกลุ่มขวาสุดโต่งว่างไว้เช่นนี้ จะบรรลุเป้าหมายเพียงไร ทหารคงเป็นคำตอบสถานการณ์เดียวเท่านั้น

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เผยฐานะคลังยังมั่นคง มีเงินคงคลัง กว่า 4 แสนล้าน !!??

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 (ตุลาคม 2555 – มิถุนายน 2556) ว่ารัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,615,578 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 174,079 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.1 ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิตรถยนต์ได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ

ในขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีจำนวนทั้งสิ้น 1,853,614 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 124,390 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.2    ทำให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 238,036 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุล 120,501 ล้านบาท (สาเหตุหลักจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง 102,135 ล้านบาท) ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 358,537 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 221,697 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดหลังกู้ ขาดดุลทั้งสิ้น 136,840 ล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 423,497 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

นายสมชัย สรุปว่า “จากการนำส่งรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวนมากในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมีจำนวนสูงกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่มั่นคงมาก และพร้อมรองรับต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการดำเนินนโยบายของรัฐบาลตลอดปีงบประมาณ 2556”

ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดประจำเดือนมิถุนายน 2556และในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 (ตุลาคม 2555 – มิถุนายน 2556)

altในเดือนมิถุนายน 2556 รัฐบาลเกินดุลเงินสดจำนวน 173,070 ล้านบาท โดยเป็นการเกินดุลเงินงบประมาณ 171,275 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุล 1,795 ล้านบาท   ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 รัฐบาลขาดดุลเงินสดจำนวน 358,537 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 221,697 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 มีจำนวนเท่ากับ 423,497 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่มีความมั่นคงต่อฐานะการคลังของรัฐบาล  โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.ฐานะการคลังเดือนมิถุนายน 2556
1.1 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 337,673 ล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 6,257 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.8) ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์อุทกภัย ทำให้รายได้นำส่งคลังของภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน

1.2 รัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 166,398 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกัน ปีที่แล้ว 8,983 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 5.7) ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเดือนมิถุนายน ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 135,424 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว และรายจ่ายลงทุน 19,849      ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ส่วนการเบิกจ่ายเงินจากงบประมาณปีก่อนมีจำนวน 11,125 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 58.2

การเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่สำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ รายจ่ายชำระหนี้ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ 21,274 ล้านบาท รายจ่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ 5,662 ล้านบาท รายจ่ายเงินอุดหนุนของกระทรวงศึกษาธิการ 5,178 ล้านบาท และรายจ่ายของกระทรวงกลาโหม 4,394 ล้านบาท

1.3 จากรายได้นำส่งคลังและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลข้างต้น ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนมิถุนายน 2556 เกินดุล 171,275 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 1,795       ล้านบาท ทำให้รัฐบาลเกินดุลเงินสดจำนวน 173,070 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 24,415 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสด (หลังกู้ชดเชยการขาดดุล) เกินดุลเท่ากับ 197,485 ล้านบาท

2. ฐานะการคลังในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 (ตุลาคม 2555 – มิถุนายน 2556)
2.1 รายได้นำส่งคลัง รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,615,578 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 174,079 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 12.1) ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
2.2 รายจ่ายรัฐบาล การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 1,853,614 ล้านบาท      สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 124,390 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 7.2) ประกอบด้วยรายจ่ายปีปัจจุบัน 1,663,938      ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 69.3 ของวงเงินงบประมาณ (2,400,000 ล้านบาท) สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.6  และรายจ่ายปีก่อน 189,676 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 54.7 (ตารางที่ 3)
รายจ่ายปีปัจจุบันจำนวน 1,663,938 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 1,464,688 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.6 และรายจ่ายลงทุน 199,250 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 11.1

2.3 ดุลการคลังรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ขาดดุล 358,537 ล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 238,036 ล้านบาท และการขาดดุลเงินนอกงบประมาณจำนวน 120,501 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง 102,135 ล้านบาท และการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ 6,073 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้บริหารเงินสดให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงิน โดยชดเชยการขาดดุลด้วยการกู้จำนวน 221,697 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสด (หลังการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล) ขาดดุลเท่ากับ 136,840 ล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 423,497  ล้านบาท

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

ความกังวล ของคนเล่นทองคำ !!??

โดย ธนรัชต์ พสวงห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด

ครึ่ง ปีแรกที่ผ่านมาราคาทองคำเคลื่อนไหวในลักษณะขาลง โดยนักลงทุนมีมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลก ประกอบกับความกังวลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะถอนมาตรการ QE จึงทำให้ปีนี้ทองคำกลับไม่ได้รับความน่าสนใจในการลงทุน โดยในช่วงครึ่งปีแรกราคาทองคำปรับตัวลงแรงในช่วงเทศกาลสงกรานต์

แล้ว หลังจากการประชุมเฟดในวันที่ 18-19 มิถุนายน 2556 โดยในคำแถลงครั้งนี้ได้มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจนในการถอนมาตรการ ว่าอาจเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้ หากข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ และจะยังคงลดขนาดวงเงินซื้อพันธบัตรไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ก่อนที่จะมีการยุติมาตรการต่อไป

โดยเฟดประเมินว่าอัตราการว่างงาน ของสหรัฐในช่วงนั้นจะอยู่ที่ระดับ 7% สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยแถลงการณ์จากการประชุมเฟดยืนยันว่าจะคงอัตรา ดอกเบี้ยไว้ที่ 0% ต่อไป ตราบใดที่อัตราว่างงานยังคงยืนเหนือระดับ 6.5% และอัตราเงินเฟ้อจะยังคงต่ำกว่า 2.5% ซึ่งคาดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ราวกลางปี 2558

อย่างไรก็ดี ในเดือนกรกฎาคมคำแถลงของประธานเฟดกลับสร้างความหวังให้กับนักลงทุนทองคำอีก ครั้ง ประธานเฟดได้กล่าวต่อที่ประชุมสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติว่า มาตรการทางการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากอัตราว่างงานยังสูง และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐ รวมทั้งนโยบายการคลังที่เข้มงวดจากการเพิ่มภาษีและลดรายจ่ายของภาครัฐมีผล ต่อการจ้างงาน

ในช่วงครึ่งปีหลังประเด็นความกังวลที่เฟดจะถอน มาตรการ QE คงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำมากที่สุด และน่าจะกระทบเชิงลบมากกว่า แต่คาดว่าราคาทองคำคงซึมซับประเด็นดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว

นับจากนี้ เป็นต้นไป ตลาดจะให้ความสำคัญต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอัตราการว่างงาน มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่าเฟดจะถอนมาตรการ QE ในช่วงกลางปีหน้า เนื่องจากอัตราการว่างงานปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 7.6% คาดว่าจะสามารถลดลงเหลือ 7% ในช่วงกลางปีหน้าได้

นอกจากประเด็นดัง กล่าวแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องประธานเฟดคนใหม่ต่อจากเบอร์นันเก้ เนื่องจากคาดการณ์ว่าเบอร์นันเก้คงไม่รับตำแหน่งประธานเฟดต่อเป็นสมัยที่ 3 หลังจากที่จะหมดวาระในเดือนมกราคม 2557 รวมทั้งประธานาธิบดีโอบามาส่งสัญญาณว่าจะไม่แต่งตั้งเบอร์นันเก้ต่ออีกสมัย ดังนั้นในครึ่งปีหลังนอกจากความกังวลว่าเฟดจะถอนมาตรการ QE เมื่อไร ยังมีประเด็นเรื่องการคาดการณ์ว่าใครจะมารับตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไปอีกด้วย

แล้วเรื่องนี้จะมีผลต่อนโยบายการเงินที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเน้นรักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งจะมาสานต่อนโยบายการเงินของเบอร์นันเก้หรือไม่

ส่วนความต้อง การทองคำเพื่อการลงทุนในรูปทองกระดาษทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอีทีเอฟทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์สในปีนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับมีแรงซื้อทองคำในรูป Physical เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทองแท่ง ทองรูปพรรณ เหรียญทองคำ โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่ราคาทองคำปรับตัวลงมาอย่างรุนแรง ในแถบเอเชียคนแห่ไปซื้อทอง โดยเฉพาะทองรูปพรรณ ทำให้ถึงกับขาดแคลนในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน และอินเดีย สะท้อน ให้เห็นว่าการซื้อขายทองคำเพื่อเก็งกำไรลดลง แต่การซื้อเพื่อเก็บออมระยะยาวและเป็นเครื่องประดับกลับเพิ่มขึ้น ถึงแม้การลงทุนในอีทีเอฟทองคำ

ดูเหมือนเป็นสัดส่วนไม่มากประมาณ 10% เมื่อเทียบกับความต้องการทองคำทั้งหมด แต่การเทขายทองคำจากอีทีเอฟทองคำในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ถ้าดูจากตัวเลขของการขายทองคำของกองทุน SPDR Gold Trust ในปริมาณที่ค่อนข้างมากเกือบ 400 ตัน คิดเป็น 1 ใน 3 ของการถือครองทองคำของกองทุนในช่วงต้นปี กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลง

อย่าง ไรก็ดี เม็ดเงินไหลออกจากกองทุน SPDR Gold Trust เริ่มลดลงในเดือนมิถุนายน ทำให้คาดหวังว่าแรงเทขายทองคำจากอีทีเอฟทองคำในครึ่งปีหลังจะลดลง แต่ด้วยมุมมองของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ต่อราคาทองคำในเชิงลบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ลงทุนในอีทีเอฟทองคำ ทำให้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้เม็ดเงินยังคงไหลออกจากอีทีเอฟทองคำต่อไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การสร้างประชาคม ความมั่นคงของอาเซียน !!??

ภาคแนวคิดและทฤษฎีเรื่องประชาคมความมั่นคง ที่ลองนำมาเสนอให้เห็นว่าเจ้าทฤษฎีของสำนักต่างๆ คิดกันอย่างไร และกับการสร้างประชาคมความมั่นคงของอาเซียน นี้ จะพบกับความซับซ้อนในประเด็นใดบ้าง เหล่านี้เป็นประเด็นน่าศึกษาประชาคมความมั่นคงของอาเซียนอยู่มาก ว่ามีเหตุปัจจัยอื่นใดบ้าง ที่นำไปสู่การสร้างเสาหลักของประชาคมอาเซียนหนึ่งเดียว

หากย้อนไปทบทวนดูภูมิทัศน์ทางการเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เป็นปริมณฑลของอาเซียนนั้น มีประเด็นสำคัญๆ น่าศึกษาเกี่ยวกับความเป็นประชาคมความมั่นคงมากทีเดียว เพราะถ้าดูว่าอาเซียนซึ่งก่อตั้งเป็นรูปร่างมา แต่ปี ค.ศ.1967 แล้วนั้น ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ที่ เป็นสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาคในเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้มาแล้วอย่างโชกโชน

ช่วงทศวรรษที่ 1960 (2503) นั้น ความมั่นคงของภูมิ-ภาค และเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตกอยู่ในภาวะ อันมืดมนมาก ภาพของภูมิภาคโดยรอบถูกมองเห็นเป็นดังเสมือน 1.ภูมิภาคที่เต็มไปด้วยการปฏิวัติ เป็น "บัลข่านแห่งตะวันออก" หรือ "เป็นภูมิภาคที่รอล้มพับ" เหมือนไพ่โดมิโน 2. การผนึกแน่นทางสังคมและการเมืองนั้นอ่อนแอมาก ในหมู่ บรรดารัฐเกิดใหม่ในภูมิภาค 3.มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นหลังจากหลุดออกจากการเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก และได้รับอิสรภาพ 4.ได้เกิดปัญหาแย่งชิงผลประโยชน์จนเป็นข้อขัดแย้งเรื่องดินแดนต่อกัน 5. มีการแข่งขันด้านอุดมการณ์ของสองขั้วมหาอำนาจระหว่างภูมิภาคและการที่มหาอำนาจนอกภูมิภาคเข้ามาแทรกแซง

ทั้งหมดนี้คือ ภูมิทัศน์ทางการเมืองของเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง และช่วงก่อนหน้าที่อาเซียนจะก่อตัวต่อมา

ความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ข่มขู่อย่างน่ากลัวต่อการดำรงอยู่ของรัฐที่เพิ่งเกิดใหม่ ทั้งยังเห็นไปถึงการคุกคาม ต่อกฎระเบียบของภูมิภาคโดยรวมอีกด้วย สงครามเย็นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว อันเป็นผลเนื่องมาจากรัฐบาลปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นในอินโดจีน จากการที่รัฐบาลที่เป็นคอมมิวนิสต์ทำการส่งออกทหารไปยังรัฐเพื่อนบ้านต่างๆ ของตน

การที่เวียดนามส่งกำลังเข้าไปยึดกัมพูชาในปี ค.ศ.1978 (2521) ก่อให้เกิดความตึงเครียดปะทุขึ้นมาอีก และสร้างขั้นตอนที่ดึงเอาชาติมหาอำนาจเข้ามากระทำการแทรกแซง และสร้างความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันขึ้นในภูมิภาค ดังจะเห็นได้จาก ความขัดแย้งที่เกิดการแย่งสิทธิครอบครองเกาะซาบาห์ ระหว่างฟิลิปปินส์กับมาเลเซีย และความขัดแย้งระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย และมาเลเซียกับสิงคโปร์

กรณีนโยบายเผชิญหน้าระหว่างอินโดนีเซียกับสหพันธรัฐมาเลเซียที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังจากที่มาเลเซียได้รับเอกราช จากอังกฤษมาแล้ว เรื่องนี้นับว่ามีส่วนกำหนดลักษณะของสภาพ แวดล้อมความมั่นคงของภูมิภาคในช่วงแรกๆ หลังยุคอาณานิคม การที่เวียดนามรุกรานกัมพูชา และเกิดลักษณะสองขั้วระหว่าง อาเซียนกับอินโดจีนนั้น เป็นจุดสำคัญยิ่งของการกำเนิดสงคราม เย็นครั้งที่สองขึ้นอีกครั้งในภูมิภาคแห่งนี้

จากภูมิหลังของเหตุการณ์เหล่านี้เอง ที่นำไปสู่การจัดตั้งอาเซียนขึ้นมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1967 (2510) ซึ่งก็หาใช่แรงบันดาลใจอะไรมากมายนัก กับการก้าวไปข้างหน้าของ การเกิดลัทธิภูมิภาคนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะในความเป็นจริงกับสถานการณ์ขณะนั้น เห็นได้ว่า บรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ พากันให้ความสนใจกับการสร้างสัมพันธภาพกับประเทศนอกภูมิภาคมากกว่าที่จะเน้นความสัมพันธ์ระหว่างกันเอง

ประเทศต่างๆ เหล่านี้ มีแนวโน้มเข้าร่วมกับอาเซียนรวม กันทั้งหมด หรือเข้าร่วมในการประชุม หรือในองค์การระหว่าง ประเทศต่างๆ มากกว่าที่จะก่อตัวรวมกันอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จุดผันผวนหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือว่า รัฐบาล ของรัฐที่เกิดใหม่ในภูมิภาคนั้น ต่างดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์กับ การให้ได้มาซึ่งความเป็นรัฐชาติของตน ซึ่งแม้แต่ละรัฐต่างรับรู้ถึงกระแสภูมิภาคนิยมนานาชาติ และความเป็นผู้นำที่ดี แต่ก็กลับไม่ได้เรื่องได้ราวต่อการสร้างความมั่นคง และการพัฒนาขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรง ในขณะเดียวกันกับที่สำนึกในความเป็นประชาคมในระดับภูมิภาค และเป้าประสงค์ ในความเป็นรัฐชาติก็ยังไม่อาจนำมาดำเนินการที่จะให้บรรลุเป้า-หมายอย่างสมบูรณ์

เพราะฉะนั้น ในแง่ของความมั่นคง จึงเป็นเรื่องน่าสงสัย กันอยู่แต่แรกว่าอาเซียนจะไปรอดได้นานแค่ไหน ในเมื่อแม้เมื่อเกิดเป็นรัฐใหม่ หลุดจากการตกเป็นอาณานิคมมาเป็นประเทศเอกราช มีอิสรภาพแล้ว แต่ก็เต็มไปด้วยความขัดแย้งในระหว่างรัฐในภูมิภาคเดียวกัน ดังเช่นแรกเริ่มความขัดแย้งแย่งสิทธิเหนือหมู่เกาะซาบาห์ ระหว่างมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ เป็นต้น

ความร่วมมือด้านการพัฒนาต่างๆ ต่อกัน ยังไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน รวมถึงเรื่องของการเปิดเสรีทางการค้า ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าต่อกันมา แถลงการณ์ของอาเซียนช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 (2513) เช่น แถลงการณ์เรื่อง "เขตแดนเสรีภาพ สันติภาพ อิสรภาพ และความเป็นกลาง (ZOFRAN = Zone of Peace, Freedom and Neutrality)" ก็ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางและก็ยังโต้เถียงกันอยู่

แต่อาเซียนก็อยู่รอดมาได้ ยิ่งกว่านั้นก็คือที่จะเห็นว่า ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 (2533) นั้น รัฐสมาชิกของ อาเซียนยังเอ่ยอ้างโอ่ว่า การรวมตัวเป็นกลุ่มของอาเซียน นั้น ถือเป็นการทดสอบที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในด้านความร่วมมือของภูมิภาคของโลกที่เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา หัวใจสำคัญของการกล่าวอ้างนี้ ก็คือการแสดงบทบาทของ อาเซียนในการดำเนินการจัดการกับความขัดแย้งระหว่างกัน ของรัฐในอาเซียน ที่เห็นว่าอาเซียนเข้มแข็งขึ้น คือตรงที่สามารถลดความขัดแย้งลงได้

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ข้าราชการ กับปัญหา หนี้ท่วม !!??

แม้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตจนเป็นปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่ภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาส่งสัญญาณเตือนและเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด

นอกจากหนี้ภาคครัวเรือนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ปัจจุบันขยับขึ้นมาอยู่ที่ 80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) เทียบกับสิ้นปี 2555 อยู่ที่ 78% ของ GDP แล้ว ที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือภาระหนี้ของครอบครัวข้าราชการที่กำลังคุกคาม บ่อนเซาะบุคลากรภาครัฐ

ข้อมูลจากการสำรวจเบื้องต้นของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ชี้ว่า ปัจจุบันข้าราชการที่มีภาระหนี้สินอยู่ระหว่างกระบวนการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ และที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั่วประเทศรวมแล้วกว่า 8 แสนคดี มูลหนี้รวมกว่า 1 ล้านล้านบาทในจำนวนนี้บางส่วนคดีถึงที่สุด เข้าสู่ขั้นตอนการบังคับชำระหนี้ ยึดทรัพย์ หรือถูกศาลพิพากษาล้มละลาย ถือเป็นภัยเงียบที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับคนของรัฐและสถาบันข้าราชการอย่างรุนแรง

ก่อนหน้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติเคยเปิดเผยข้อมูลการสำรวจหนี้สินของข้าราชการปี 2553 พบว่า ครอบครัวข้าราชการมีมูลหนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 492,253 บาท ในปี 2547 เป็น 872,388 บาท ในปี 2553 ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยที่เอื้อและจูงใจให้เป็นหนี้เพิ่มขึ้น ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซึ่งที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ต่ำ และการบูมของตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ตลอดจนค่านิยมที่เน้นความสะดวกสบาย และความหรูหราฟุ้งเฟ้อข้าราชการจำนวนไม่น้อยใช้จ่ายเงินเกินตัว ทำให้หนี้สินพอกพูนสะสม ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้มีแนวโน้มลดลง

ล่าสุดสิ้นปี 2555 หนี้เฉลี่ยของข้าราชการพุ่งสูงถึงเป็น 1,111,425 บาทต่อครัวเรือน ส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน ทั้งยังอาจจูงใจให้ข้าราชการกระทำการในลักษณะทุจริตคอร์รัปชั่นได้ง่าย

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ความแตกแยกขัดแย้งยังมีสูง ยากจะประสานให้เกิดความปรองดองให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ คนส่วนใหญ่ต่างหวังพึ่งสถาบันข้าราชการในฐานะหนึ่งในเสาหลักคอยค้ำจุนและนำพาประเทศไปข้างหน้า มากกว่าจะฝากความหวังไว้กับนักการเมือง

อย่างไรก็ตาม เมื่อข้าราชการเองกำลังถูกบ่อนทำลายจากภาระหนี้สินที่สร้างขึ้นล้นพ้นตัว ก็คงไม่สามารถจะเป็นเสาหลักให้กับบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่

ถึงวันนี้แม้การสางปัญหาหนี้สินก้อนใหญ่ที่ข้าราชการจำนวนมากมีภาระต้องแบกรับจะเป็นเรื่องยาก แต่ยังไม่สายเกินไปถ้าหากรัฐบาลตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีนโยบายชัดเจนที่จะแก้ไข ด้วยการดำเนินนโยบายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวบรรเทาความเดือดร้อนจากภาระหนี้ทั้งในและนอกระบบ

พร้อมรณรงค์ปลูกจิตสำนึก สร้างค่านิยมใหม่ให้ข้าราชการรู้จักประหยัด อดออม ลดการฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย และพยายามเป็นหนี้เท่าที่จำเป็น

ขณะเดียวกันก็เน้นสร้างคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ ให้คนทั่วไปสามารถใช้เป็นต้นแบบในการดำรงชีวิตและการทำงาน ให้สมกับที่เป็นเสาหลัก เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ทำไมต้องหลีกทางให้ รถพยาบาลฉุกเฉิน !!??

ในสถานการณ์ของความเป็นกับความตายบนรถพยาบาลฉุกเฉิน เวลาทุกวินาทีเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นเครื่องชี้ชะตาว่าผู้ป่วยฉุกเฉินจะมีโอการรอดชีวิตต่อไปหรือไม่ ดังนั้นการนำผู้ป่วยฉุกเฉินส่งโรงพยาบาลโดยเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์ฉุกเฉินทุกคนตระหนักถึง แต่ด้วยบางครั้งสภาพการจราจรติดขัดส่งผลให้หลายชีวิตพลาดโอกาสรอดชีวิต หรือบางครั้งบางคราวความเร่งรีบของรถพยาบาลได้ไปสร้างความไม่พอใจให้กับใครหลายๆ คน ดังเช่นเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จนเป็นเหตุทำให้รถพยาบาลฉุกเฉินที่กำลังช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินถูกตามไล่ยิง ดังนั้นถึงเวลาหรือยังที่สังคมไทยจะร่วมกันสร้างจิตสำนึกในการ “หลีกทางให้รถพยาบาล”

นายต่อพงษ์ ส่งศรีโรจน์ ผู้จัดการหน่วยกู้ชีพหงส์แดง กรุงเทพมหานคร หนึ่งในทีมกู้ชีพ ที่มีประสบการณ์การทำงานมากว่าสิบปี เล่าว่า ทุกครั้งที่นำรถพยาบาลออกเหตุเพื่อไปช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินก็ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุฉุกเฉินที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยฉุกเฉินทุกราย โดยเฉพาะการออกเหตุในกรุงเทพมหานครที่มีสภาวะการจราจรติดขัดยิ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเข้าไปช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินให้เร็วที่สุด ซึ่งเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเคยได้ไปช่วยคุณยายที่ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ และต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร็ว แต่ขณะขับรถเข้าไปรับผู้ป่วยในช่วงที่ขับรถเข้าซอยมีรถจำนวนมากที่ไม่หลีกทางให้ จนเกือบทำให้ไปรับผู้ป่วยไม่ทัน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายกรณีในลักษณะเดียวกัน ที่ประชาชนทั่วไปยังไม่เข้าใจในเรื่องการหลีกทางให้รถพยาบาลฉุกเฉิน

“หลายคนตั้งคำถามว่าการออกเหตุแต่ละครั้งมีผู้ป่วยฉุกเฉินจริงหรือไม่ที่อยู่บนรถพยาบาลนั้นๆ ผมขอยืนยันว่ามีผู้ป่วยจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยร้ายแรง อาทิ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน อุบัติเหตุที่รุนแรง หรือไม่ก็เป็นรถฉุกเฉินที่กำลังเร่งไปรับผู้ป่วย ดังนั้นหากประชาชนทั่วไปได้ยินเสียงสัญญาณไซเรนขอทางจากรถพยาบาลฉุกเฉินควรหลีกทางให้ เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบนรถคันนั้นจะเป็นญาติพี่น้องคุณหรือไม่ และควรจะเป็นเรื่องที่เราปฏิบัติทันทีโดยไม่ต้องคิดว่ามีกฎหมายบังคับหรือไม่ แต่ควรปฏิบัติให้กลายเป็นจิตสำนึก”

นายต่อพงษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ประเด็นปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร คือรถพยาบาลฉุกเฉินติดสัญญาณไฟแดง ดังนั้นหากมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยการประสานให้มีการเปิดไฟเขียวเพื่อให้รถพยาบาลสามารถนำผู้ป่วยฉุกเฉินส่งโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที ก็จะทำให้การช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

ขณะที่ นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ในส่วนของ สพฉ. ที่มีบทบาทหลักในการกำหนดมาตรฐานการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นว่าเรื่องนี้ควรมีการรณรงค์อย่างจริงจังให้ประชาชนได้เห็นถึงความสำคัญของการหลีกทางให้รถพยาบาล เพราะการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไหร่ก็จะเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งขณะนี้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้เปิดขึ้นทะเบียนและตรวจสภาพรถพยาบาลและรถกู้ชีพเพื่อให้เป็นไปอย่างถูกต้อง โดยรถกู้ชีพที่จะผ่านมาตรฐานและหลักเกณฑ์ของระบบการแพทย์ฉุกเฉินนั้น จะต้องเป็นรถยนต์ตู้ หรือรถกระบะบรรทุกที่มีทะเบียนยานพาหนะถาวร มีหลังคาสูงเพียงพอที่จะทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ได้สะดวก ห้องคนขับและห้องพยาบาลแยกออกจากกันแต่สามารถสื่อสารกันได้ มีแสงสว่างเพียงพอที่จะทำหัตถการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ที่กระจกหลังต้องมีการติดข้อความชื่อหน่วยปฏิบัติการ หมายเลขโทรศัพท์ 1669 ด้านข้าง และช่วงหลังทั้งสองข้างต้องแสดงตราสัญลักษณ์ของ สพฉ.  ติดแถบสะท้อนแสงด้านข้างรถตลอดแนว ดังนั้นหากประชาชนทั่วไปสังเกตุเห็นรถพยาบาลในลักษณะดังกล่าวและกำลังเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินควรหลีกทางให้ เนื่องจากบนรถคันดังกล่าวมีผู้ป่วยฉุกเฉินหรือกำลังเร่งไปรับผู้ป่วยฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตามสำหรับการทำงานของรถพยาบาลฉุกเฉินเป็นไปตามเงื่อนไขของพระราชบัญญัติการจราจรทางบกมาตรา 75 ซึ่งในขณะที่ผู้ขับขี่รถฉุกเฉินไปปฏิบัติหน้าที่ ผู้ขับขี่มีสิทธิดังนี้ ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบ ใช้เสียงสัญญาณไซเรน หยุดรถหรือจอดรถ ในที่ห้ามจอดรถ ขับรถเกินอัตราความเร็วที่กำหนดไว้ ขับรถผ่านสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรใด ๆ ที่ให้รถหยุดแต่ต้อง ลดความเร็วของรถให้ช้าลงตามสมควรอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะขับรถไปปฏิบัติหน้าที่โดยอาศัยสิทธิตามมาตรา 75 ก็ต้องใช้ความระมัดระวังตามควรแก่กรณีเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นโดยไม่ใช้ความระมัดระวังตามควรแก่กรณีแล้ว ผู้ขับขี่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทได้ด้วยเช่นกัน

ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คอรัปชั่น VS เซ็กซ์ !!??

การคอรัปชั่นถือเป็นสนิมเหล็ก ที่บ่อนทำลายความเจริญของชาติบ้านเมือง องค์กร และทุก ๆ ที่ที่มีสิ่งนี้อยู่ เนื่องจากการทุจริตคอรัปชั่นเริ่มต้นมาจาก "ความขี้โกง" "ความเห็นแก่ตัว" "ความเอาเปรียบ" อีกทั้งยังลามไปถึง "ความโลภ" "ความเห็นแก่ได้" และ "ไร้จิตสำนึกสาธารณะ" อีกด้วย
   
ในอดีตที่ผ่านมา แม้จะมีการทุจริตคอรัปชั่นอยู่มาก แต่ก็ยังเป็นการพยายามหลบซ่อน และมีอยู่เพียงบางหน่วยงานเท่านั้น เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ยังคงมีจริยธรรม ศีลธรรม และรังเกียจสนิมคอรัปชั่นกันอยู่มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การทุจริตคอรัปชั่นกลับกลายเป็นเหมือนเรื่องที่ธรรมดามากขึ้นทุกที
   
สิ่งนี้เท่ากับสะท้อนจิตใจของผู้คนในสังคมที่ตกต่ำ จนถึงกับมีผลโพลสำรวจที่ออกมาว่า คนจำนวนมากที่เห็นว่าขอแค่เก่ง ถ้าอย่างนั้นโกงก็ไม่เป็นไร เท่ากับเป็นการยอมรับ หรือการจำยอมต่อการทุจริต เพียงเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ตกแก่ตนบ้างก็พอ บ้างก็อ้างว่าที่ไหนบ้างไม่มีการทุจริต  การไม่ยอมรับ การไม่กินตามน้ำ การขัดขืน ก็จะกลายเป็นแกะดำ และอยู่ได้ยากในสังคมอันสกปรกเหล่านั้น
   
ด้วยเหตุนี้ การคอรัปชั่นจึงแพร่ลามราวกับเชื้อโรค แทรกซึมอยู่ในทุกองค์กร ตั้งแต่การเมือง ข้าราชการ หน่วยงานเอกชน องค์กรการกุศล องค์กรศาสนา แม้กระทั่งมีความพยายามที่จะแทรกซอนเข้าไปในองค์กรตุลาการอย่างที่เคยปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ให้ได้เห็น
   
เนื่องจากทุจริตคอรัปชั่น เป็นการตอบสนองต่อกิเลสด้านมืดของตน จึงถูกคิดค้นและสรรสร้างสารพัดรูปแบบวิธีขึ้นมา และรูปแบบที่อาจจะไม่ใหม่ แต่ถูกใช้แพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน ก็คือการติดสินบน หรือการคอรัปชั่นด้วย "เซ็กซ์" หรือว่าเรื่องทางเพศนั่นเอง
   
การคอรัปชั่นด้วย "เซ็กซ์" ถือเป็นหนึ่งในความเลวร้ายของสังคม รวมถึงเป็นความผิดในหลายประเทศ เพราะหลายครั้งที่ปรากฏว่ามีการใช้เรื่องเพศ หรือการร่วมหลับนอน หรือส่งคนมาร่วมหลับนอน แล้วทำให้ผู้ที่มีอำนาจรัฐ หรือผู้ที่มีอำนาจในการให้ประโยชน์โดยทางมิชอบต่าง ๆ ใช้อำนาจในมือที่มีอยู่ ในการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ส่งมอบมาปรนเปรอ ซึ่งอาจจะมีเงินด้วยหรือไม่ก็ตาม
   
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านทุจริต ได้ให้คำนิยามของคอรัปชั่นว่า "ผลประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง" ขณะที่หน่วยงานด้านตุลาการของญี่ปุ่น เยอรมนี ได้กำหนดนิยามว่า คอรัปชั่น คือการให้ผลประโยชน์ในสิ่งที่ทำให้คนพึงพอใจ ซึ่งนิยามเช่นนี้ ได้ทำให้ญี่ปุ่นทำการลงโทษในกรณีติดสินบนด้วย "เซ็กซ์" อยู่เสมอ
   
ส่วนในสหรัฐฯ แม้ว่าจะยอมรับเรื่องการใช้ "เซ็กซ์" เพื่อคอรัปชั่น แต่กรณีที่ถูกตัดสินออกมา กลับมีน้อยมาก และมักจะเป็นในกรณีที่ข่าวฉาวออกมา จนทำให้เกิดความอับอายหรือเสียหายต่อองค์กร จนต้องลาออกจากตำแหน่งมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า ในกรณีนี้ เท่ากับมองข้ามความร้ายแรง และยังไม่ถึงขั้นลงโทษต่อกรณีที่ใช้เซ็กซ์เพื่อการคอรัปชั่นอย่างจริงจัง
   
แต่สำหรับประเทศจีน เรื่อง "เซ็กซ์" นอกสมรสนั้น ถือเป็นเครื่องชูรสในการใช้ชีวิตของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้ที่มีตำแหน่งระดับสูง โดยมักจะมีแนวความคิดที่ว่า ถ้าหากเรื่องคาวฉาวโฉ่เหล่านี้ไม่เป็นข่าว และไม่ถูกเปิดโปงจนเป็นเรื่องใหญ่ ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา เห็นได้จากภาพข่าวที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นการสะท้อนว่า จากสิ่งที่ไม่เป็นข่าว ในประเทศที่กว้างใหญ่ขนาดนี้นั้นจะมีมากเพียงไหน
   
ที่สำคัญคือ ข่าวเรื่องการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูง (หรือต่ำ) ของจีน ไปมีเซ็กซ์นอกสมรส นั้นยังแบ่งเป็นการไปหาเศษหาเลยธรรมดา กับการที่ถูกส่งมาเป็นเสมือนเครื่องบรรณาการ เพื่อให้หยิบยื่นผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากหน้าที่การงานที่ตนเองได้รับผิดชอบอยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือการใช้เซ็กซ์เพื่อเป้าหมายในการหาประโยชน์อันมิชอบนั่นเอง
   
จากกรณีที่ปรากฏในจีน ส่วนใหญ่ที่เห็นจะแยกกรณีการลงโทษออกไป เช่น การถูกปลด มักจะมาจากเหตุผลที่ทำให้ตำแหน่ง หรือว่าพรรคเกิดความด่างพร้อย จากนั้นก็มักจะถูกลากไส้ ลงโทษในกรณีทุจริตอื่น ๆ ตามมา หรือหนักหน่อยที่มีหลักฐานการทุจริตร้ายแรง ก็ถึงขั้นประหารชีวิตเลยก็เคยมีปรากฏมาแล้ว
   
ฉะนั้น ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ความผิดในการทุจริตคอรัปชั่น ไม่ใช่ว่าได้อะไรจากการคอรัปชั่น เพราะนั่นเท่ากับเป็นการอาศัยอำนาจของตนในการรับผลประโยชน์อันมิพึงได้ เมื่อใช้อำนาจไปในทางมิชอบ ย่อมเป็นการเบียดเบียนทรัพยากร หรือสิทธิของผู้อื่น
   
ในประเทศไทยซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ ก็ควรจะยิ่งตระหนัก และให้ความสำคัญกับศีลธรรม และความถูกต้อง มิใช่เอาแต่ตามน้ำ คิดว่ามันมีอยู่เต็มไปหมดในสังคม จะเพิ่มเราอีกคนจะเป็นไรไป หรือต้องเลยตามเลยเพราะเกรงกลัวต่ออำนาจอิทธิพลในองค์กรที่ตนเองได้ทำงานอยู่
   
บ้างก็เลยเถิดไปถึงว่า ไหน ๆ ก็มีคนทำกันมากมาย เราจะติดสินบน รับสินบน หรือทุจริตอีกสักคนจะเป็นไร โดยหารู้ไม่ว่าเหตุผลทั้งหมดมันเริ่มต้นมาจากความโลภ และกิเลสของตนเอง และจะแพร่ลามไปถึงสังคมของเด็ก นักเรียน เรียกว่าโกงกันตั้งแต่ในโรงเรียนจนถึงการบริหารประเทศเลยทีเดียว
   
แม้ว่าสังคมทุกวันนี้ จะถูกตราหน้าว่าเป็นสังคมที่ "คนดีอยู่ยาก" และมีตัวอย่างหลายกรณี ที่คนดี คนที่ยืนหยัดต่อต้านคอรัปชั่น ความทุจริต การโกงกิน กลับถูกเล่นงาน กลั่นแกล้ง จากองค์กร หน่วยงาน หรือแม้แต่ภาครัฐ แต่นั่นกลับยิ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันถึงความเข้มแข็งในจิตใจ ที่ไม่ยอมแพ้ให้ความกิเลสฝ่ายต่ำในใจตน
   
ในประเทศไทย แม้ว่าน่าจะมีการนำเรื่องเซ็กซ์มาประกอบการทุจริตอย่างแพร่หลาย แต่ก็ไม่ได้ปรากฏเป็นข่าวมากนัก แต่ก็อย่างที่บอกว่าประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าใช้เงิน หรือใช้เซ็กซ์ แต่อยู่ที่จิตใจใฝ่ต่ำที่ยอมแพ้ให้กับกิเลส เท่ากับขายจิตสำนึกและจิตวิญญาณของความเป็นคนให้กับความโลภและตัณหาไปแล้ว
   
วันนี้ของปิดท้ายด้วยวจนะของบรมครูจอมปราชญ์แห่งจีนอย่างขงจื่อที่ว่า "สัตบุรุษแม้ปรารถนาในทรัพย์ แต่ก็ต้องได้มาอย่างถูกทำนองคลองธรรม"

ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////