--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อัตตาลักษณ์แห่งชาติพันธุ์กับการเมืองเรื่อง "ความเป็นชาตินิยม"

อัฎฮา โต๊ะสาน
สาขาภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ปฏิบัติงานสหกิจ สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

อัตลักษณ์ (identity) เป็นความรู้สึกของบุคคลมีต่อตนเองว่า “ฉันคือใคร” การระบุได้ว่าเรามีอัตลักษณ์เหมือนในกลุ่มหนึ่งและมีความแตกต่างจากกลุ่มอื่นอย่างไร และ “ฉันคือใคร” ในสายตาคนอื่น อัตลักษณ์นั้นเป็นลักษณะที่มีความสลับซับซ้อน และไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงไปในเรื่องใด หรือในลักษณะใดในร่างกายอย่างรัดกุม สำหรับคนๆ หนึ่งแล้วสามารถระบุได้ว่าเป็นมีหลายอัตลักษณ์ภายในคนๆ เดียว

แต่สำหรับอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์แล้วเป็นลักษณะทางชีวภาพไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งในส่วนของแนวคิดเรื่องชาติ ได้ก่อตัวเป็นแนวคิดชาตินิยม ชาตินิยมเป็นกระบวนการในการสร้างอุดมการณ์ให้เกิดการหวงแหน และสำนึกในการรักชาติ เป็นการแสดงถึงอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ ลักษณะของชาตินิยมจากตัวอย่างที่ปรากฏอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มี 2 ลักษณะที่เด่น คือ

1. ชาตินิยมแบบพรมแดน หรือ ชาตินิยมพลเมือง โดยชาตินิยมประเภทได้ให้ความสำคัญต่อประชาชนทุกชาติพันธุ์ภายในประเทศประเทศของตน โดยไม่มีการเน้นถึงกลุ่มชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งในประเทศนั้นๆ ตัวอย่างชาตินิยมประเภทนี้คือ ประเทศอินโดนีเซีย ตัวอย่างเช่น ได้มีการสร้างภาษาขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นภาษากลางที่ใช้ภายในประเทศ

2. ชาตินิยมแบบเน้นชาติพันธุ์ เป็นแนวคิดชาตินิยมที่ให้ความสำคัญเฉพาะกลุ่มของตนเองอย่างเช่น มาเลเซีย พม่า เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ มีความพยายามผลักดันวัฒนธรรมของตนเองให้เป็นวัฒนธรรมกระแสหลักแห่งชาติ

โดยส่วนชาติพันธุ์ได้กลายเป็นปัญหาที่บั่นทอนความมั่นคงภายในประเทศต่างๆ ที่มีความหลากหลายภายในประเทศนั้นๆ สำหรับภาพรวมองปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาทางชาติพันธุ์เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น

1. โลกาภิวัตน์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความเป็นชาติอ่อนแอลง

2. ทุนนิยม ความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องของเศรษฐกิจ และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนชาติพันธุ์หลักของประเทศ

3. ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร เป็นการผูกขาดในการใช้ทรัพยากร ได้นำทรัพยากรตามภูมิภาคต่างๆ มาใช้ประโยชน์ สำหรับผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้กลับไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ แต่เป็นนายทุน และรัฐบาลนำไปพัฒนาเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่ เช่นในกรณีของอาเจะห์ ที่ทางรัฐบาลอินโดนีเซีย ได้นำทรัพยากรที่มีในพื้นที่ตรงนี้ แต่กลับนำไปพัฒนาในอาเจะห์เพียงเล็กน้อย

จึงทำให้เรื่องของชาติพันธุ์ได้กลายเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นคงต่อรัฐบาลในหลายประเทศ โดยปัญหาชาติพันธุ์เป็นเรื่องที่เป็นความขัดแย้ง ตัวอย่างในกรณีของประเทศรวันดา เหตุความขัดแย้งก็เกิดขึ้นจากกลุ่มชาติพันธุ์ 2 กลุ่มที่อาศัยอยู่ภายในประเทศเดียวกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ทุทซี่ กับฮูตู ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนนับล้าน หรือแม้แต่สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาอย่างช้านานเช่น สงครามระหว่างอิสราเอล กับปาเลสไตน์ ก็มีสาเหตุหนึ่งจากความแตกต่างของชาติพันธุ์ปรากฏอยู่ด้วย คือความขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับชาวอาหรับ

นอกจากนี้ปัญหาชาติพันธุ์ภายในประเทศมาเลเซีย จากกรณีของเหตุการณ์ฮินดาฟ ที่มีการประท้วงเรียกร้องการปกครองอย่างเป็นธรรม โดยชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ภายในประเทศ การประท้วงครั้งนี้ได้มีการนำเอาสัญลักษณ์ของประเทศอินเดีย รวมถึงมหาตมะ คานธี นับว่าเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ ที่มีการเชื่อมโยงสู่ประเทศเดิมของบรรพบุรุษตน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสำนึกในการเป็นคนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน แม้นว่าจะอาศัยอยู่นอกพื้นที่ประเทศของตนเองก็ตาม

สำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวันภายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องมองย้อนไปตั้งแต่ยุคที่สังคมไทย เริ่มสร้างแนวคิดใหม่เพื่อการสร้างความเป็นไทยขึ้นมา ความเป็นไทยที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นวัฒนธรรมของคนในชาติ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาจเป็น ความเป็นกรุงเทพฯ ที่นำมาใช้นิยามในลักษณะเช่นนี้ และการสร้างสิ่งที่ใหม่สำหรับกลุ่มอื่นๆ ที่มีวัฒนธรรมเดิมของตนเอง แต่จำต้องรับและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นไทยตามการกำหนดขึ้นของทางรัฐบาล ซึ่งวิธีการเหล่านี้เป็นกระบวนการหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในรัฐสมัยใหม่ ที่บรรจุคนที่มีความหลากหลายเข้าไว้ในเส้นพรมแดนที่เรียกกันว่า รัฐชาติ

โดยเฉพาะในสมัยของ นายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สร้างความเป็นไทยขึ้นมาใหม่ ด้วยการกำหนดนโยบายที่มีความเป็นชาตินิยม และใช้ในการสร้างวัฒนธรรมไทยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเชิดชูในความเป็นไทย รวมถึงการการสร้างความเป็นสมัยใหม่ กระตุ้นให้เกิดกระแสความรักชาติเป็นและได้เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย ซึ่งได้แสดงออกถึงว่าเป็นประเทศของชาวไทย ได้สร้างวัฒนธรรมไทยขึ้นมาตามรูปแบบตะวันตก นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประเด็นอัตลักษณ์ได้กลายมาเป็นข้ออ้างในการก่อการความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการต่อต้านอำนาจจากส่วนกลางมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ในกรณีของชาตินิยมกลับกลายเป็นเรื่องที่ลื่นไหลได้ตลอดเวลาตามการนิยามของผู้คนในช่วงเวลานั้น และได้กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างทัศนคติที่เหยียดหยาม เช่น ในกรณีจาก การสร้างกระแสชาตินิยมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของปราสาทเขาพระวิหาร รวมถึงการระบุถึงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ว่าเป็นคนขายชาติ เพราะมีพฤติกรรมที่ฝักใฝ่กับรัฐบาลกัมพูชา

จากสาเหตุที่ได้กล่าวไปแล้วทั้งหมด จึงเห็นได้ว่าชาตินิยมจึงสัมพันธ์กับกลุ่มความคิดของผู้คนจำนวนมากที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่กลับไปกดทับผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยทำให้ชาตินิยมได้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกดขี่และการบังคับให้ผู้อื่นกระทำตามในสิ่งที่ตนต้องการให้เป็น รวมถึงการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับคนในกลุ่มของตนเองเท่านั้น และชาตินิยมเป็นเครื่องมือในการอำนวยประโยชน์ในทางการเมืองการปกครองเป็นสำคัญ

ดังนั้นแม้ว่าอัตลักษณ์เป็นลักษณะที่ระบุถึงความเป็นคนๆ หนึ่งและนำไปสู่การระบุถึงความเป็นตัวตนว่าตัวเองเป็นใคร ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน ลักษณะดังกล่าวได้สร้างความสูญเสีย เกิดความพยายามที่จะกลายกลืนอัตลักษณ์ของผู้อื่น เพื่อเชิดชูกลุ่มตัวเองให้เหนือกว่า

รากฐานของปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยและสังคมโลกทุกระดับ มีข้อพึงระวัง คือ หากมนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ของตัวเอง ขาดการเคารพอัตลักษณ์ของผู้อื่น จนเกิดการสร้างกระแสความเป็นชาตินิยม เพื่อผลประโยชน์และอำนาจทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนเกินเลยและเกิดความเหลื่อมล้ำ มักจะนำสู่ความขัดแย้งและการใช้ความรุนแรงในการสร้างกระแสต่อต้านจนเกิดความสูญเสียถึงชีวิตในหลายกรณีดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประเทศต่างๆในโลกตลอดมา

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

งาบงบน้ำท่วม ชิงนรกมาเกิด!



รัฐต้องกล้าฉีกหน้ากาก
เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ ว่ายังมีมนุษย์ประเภทที่ฉกฉวยโอกาสบนความเดือดร้อนของผู้อื่น อยู่ในบ้านนี้เมืองนี้

มนุษย์พันธุ์หน้าเนื้อใจเสือ???
มนุษย์พันธุ์ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ???
ทั้งๆที่อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ในรอบนี้ ถือเป็นอีกครั้งของอุทกภัยครั้งใหญ่ในเมืองไทย เพราะมีพื้นที่จังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่า 33 จัหวัด และมีประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 2.5 – 2.8 ล้านคนแล้ว

ที่สำคัญยอดผู้เสียชีวิตนั้นพุ่งขึ้นไปถึง 94 ราย เกือบจะแตะร้อยรายเข้าไปแล้ว!!!
โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า เฉพาะในวันที่ 28 ต.ค. มีผู้ป่วยมารับบริการ 49,195 ราย ยอดสะสมตั้งแต่วันที่ 20-28 ต.ค. รวม 9 วัน พบผู้เจ็บป่วย 229,398 ราย โรคที่พบมากอันดับ 1 คือ น้ำกัดเท้า 110,111 ราย ที่เหลือเป็นไข้หวัดปวดเมื่อยร่างกาย และพบผู้ที่มีอาการเครียดนอนไม่หลับ ใจสั่น วิตกกังวล ร้อยละ 12 หรือประมาณ 25,233 คน

สำหรับผู้เสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 20-28 ต.ค. มีผู้เสียชีวิตรวม 94 ราย 20 จังหวัด มากที่สุดที่จังหวัดนครราชสีมา 18 ราย รองลงมาคือนครสวรรค์ 12 ราย ลพบุรี 11 ราย พระนครศรีอยุธยา 7 ราย บุรีรัมย์ 6 ราย ซึ่งในวันที่ 28 มีเสียชีวิตเพิ่ม 26 ราย คือที่นครราชสีมา 9 ราย นครสวรรค์ 1 ราย พระนครศรีอยุธยา 6 ราย นนทบุรี 2 ราย สุพรรณบุรี 4 ราย กำแพงเพชร 1 ราย และปทุมธานี 3 ราย ส่วนใหญ่จมน้ำเพราะลื่นพลัดตกน้ำ

เป็นความเดือดร้อนสาหัส แต่กลับมีกลิ่นตุๆยิ่งกว่ากลิ่นน้ำท่วมขัง เพราะเป็นกลิ่นของขบวนการเหลือบน้ำท่วม!!!

แม้ว่าตอนนี้อาจจะยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา แต่หากดูพฤติกรรมย้อนหลัง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้มีการออกมาเปิดเผยถึงผลการตรวจสอบการติดตามงบประมาณและสุ่มตรวจ 280 โครงการทั่วประเทศในโครงการป้องกันบรรเทาอุทกภัย ปีงบประมาณ 2552
พบว่ากว่าร้อยละ 88 ที่พบความผิดปกติ หรือจัดซื้อจัดจ้างไม่เป็นไปตามระเบียบราชการ
ทำให้มีแนวโน้มว่าวิกฤตการณ์น้ำท่วมในปีนี้ ที่มีการเบปจ่ายงบประมาณในลักษณะเดียวกัน อาจเป็นโอกาสให้นักการเมืองและข้าราชการเข้ามาหาประโยชน์ได้อีก

เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ทำไม ป.ป.ท. ออกมาพูดในจังหวะนี้ ในจังหวะที่กำลังเกิดภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่พอดี หากไม่ใช่ต้องการออกมากระแอมกระไอให้รู้ว่า มีคนรู้ทันนะ อย่าฉวยโอกาสกอบโกยกันนักเลย
ซึ่งปรากฏว่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะรองประธาน กมธ.กิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ก็ได้มีการออกมาขานรับทาง ป.ป.ท. ว่าการตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ แม้จะยังไม่พบว่ามีการทุจริตเกี่ยวกับการใช้งบประมาณช่วยเหลือประชาชน แต่เรื่องแบบนี้โดยส่วนตัวเชื่อว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ตรวจสอบ ทั้งนี้ตน

ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในประเด็นทุจริตน้ำท่วม และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้

“การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆจำเป็นต้องกระบวนการตรวจสอบสิ่งของ แม้จะเป็นการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษหรือโครงการมีความเร่งด่วนก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสถูกต้อง ไม่เช่นนั้นการช่วยเหลือของรัฐบาลจะซ้ำรอยปลากระป๋องเน่าได้ และนักการเมืองอย่าหาผลประโยชน์บนความทุกข์ของประชาชน”นายไพบูลย์ กล่าว

ขณะที่ นายรักพงษ์ ณ อุบล ส.ว.หนองบัวลำภู ในฐานะเลขานุการคณะ กมธ. กล่าวว่า งบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยปัจจุบันพบว่าผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สามารถเบิกใช้งบประมาณได้ทันที ซึ่งการเบิกจ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนนั้นมองว่ายากที่จะตรวจสอบได้ ดังนั้นเพื่อความโปร่งใสควรนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ ส่วนเรื่องทุจริตโครงการต่างๆของรัฐที่เกี่ยวกับภัยพิบัติ ขณะนี้ทาง กมธ.ยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนเข้ามาให้ตรวจสอบ

ส่วน นายตุ่น จินตะเวช ส.ส.อุบลราชธานี พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) ติดตามงบประมาณการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวเกิดมาจากความไม่โปร่งใสของการใช้งบประมาณที่นำไปใช้จ่าย โดยรัฐบาลได้กำหนดงบประมาณให้ 2 หน่วยงานใช้งบประมาณ คือ ส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดที่สามารถใช้งบฉุกเฉินได้เลยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากหน่วยงานต้นสังกัด

และส่วนของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด

นายอำพล วงศ์ศิริ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท.ตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ พร้อมจัดชุดเฉพาะกิจเคลื่อนที่เร็ว 5 ชุด ตรวจสอบการใช้งบภัยพิบัติของทุกจังหวัดที่ประสพภาวะน้ำท่วมในขณะนี้ โดยเฉพาะในจังหวัดที่ใช้งบแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำนวน 50-100 ล้านบาท ว่าได้ใช้จ่ายถูกต้องตามระเบียบหรือไม่

โดยในการทำงานของชุดเคลื่อนที่เร็วจะลงพื้นที่ตรวจสอบในทางลับทันทีหากได้รับการร้องเรียน
ที่สำคัญจะมีหนังสือไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้แจ้งรายละเอียดการใช้งบภัยพิบัติทำโครงการช่วยเหลือประชาชนที่จังหวัดได้รับปีละ 50 ล้านบาท ให้สำนักงาน ป.ป.ท.รับทราบ
และขอให้ทุกจังหวัดติดประกาศรายละเอียดการใช้งบภัยพิบัติไว้ที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อให้ประชาชนหรือสื่อมวลชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้งบประมาณ

รวมทั้งได้ให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.ทั้ง 4 ภาค เร่งประชาสัมพันธุ์ผ่านวิทยุแห่งประเทศไทย ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการใช้งบภัยพิบัติที่ผิดปรกติทั้งการก่อสร้างถนน สะพาน แหล่งน้ำ ฟื้นฟูพื้นที่การเกษตร หรือโครงการต่างๆ ในชุมชน ให้ ป.ป.ท.เข้าไปสอบสวนดำเนินคดีหากไม่โปร่งใส

นายอำพลระบุว่าป.ป.ท.จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมตรวจสอบในลักษณะคู่ขนานไปด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ เนื่องจากที่ผ่านมาเม็ดเงินงบประมาณถึงมือประชาชนไม่ถึงร้อยละ 10 โดยแนวทางการตรวจสอบจะใช้ฐานข้อมูลเดิม ซึ่ง ป.ป.ท.พบว่าบางจังหวัดมีการทุจริตงบประมาณเกินความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง

โดยในวันที่ 1 พ.ย. จะเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษเพื่อทำความเข้าใจกันก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติการในพื้นที่จริงด้วย

“เบื้องต้นเราได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ว่า มีนายก อบต.บางแห่ง กักตุนของบริจาคไว้เฉพาะกลุ่มหัวคะแนนของตัวเองทำให้ชาวบานเดือดร้อน เตรียมจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป ส่วนความคืบหน้าการดำเนินคดีกับนายอำเภอที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งบภัยพิบัติปี 52 ไม่ถูกต้องในหลายพื้นที่ ได้ทยอยส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงตามกฎหมายแล้ว” รักษาการ ป.ป.ท. กล่าว

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) กล่าวถึงการดูแลงบที่อาจจะรั่วไหลว่า ในแต่ละเงินงบประมาณที่จ่ายลงไปจะมีระบบไปกำกับดูแล เช่น เงินกองทุนบริจาคเราจะใช้เว็บไซต์ ทั้งไทยพลัส พีเอ็ม และสำนักนายกฯ แจ้งให้ทราบ ทั้งตัวเลขเงินเข้าออก

ส่วนตัวเลขที่เกี่ยวกับเงินงบประมาณด้านอื่น เช่น 5 พัน จะใช้หลักฐานสำเนาทะเบียนบ้าน ตรงนี้จะควบคุมได้ง่าย หากเป็นบ้านเช่าจะมีทะเบียนที่ชัดเจน

ส่วนงบที่อนุมัติให้ซื้อของไปนั้น รายละเอียดจะมีการอนุมัติไปสองส่วนที่สำคัญ คือ กรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) 70 ล้าน กับ 238 ล้านตอนหลัง และทุกรายการจะมีกรมบัญชีกลางและสำนักงบกำกับดูแล ขณะเดียวกันในที่ประชุม คชอ.จะมีภาคประชาสังคมที่มากำกับอยู่ด้วย

สำหรับงบกลางในการจัดซื้ออุปกรณ์จำเป็นให้ผู้ประสบอุทกภัย ในส่วนของเงินบริจาค 70 ล้านบาท ทางรัฐบาลได้ดำเนินการจัดเตรียมสุขาลอยน้ำ โดยปล่อยเป็นคาราวาน ส่วนงบประมาณอีก 238 ล้านบาท และเพิ่ม 106 ล้านบาท ให้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งสิ่งที่ประชาชนร้องขอมากที่สุดยังเป็นสุขา ก็พยายามจัดให้อย่างเพียงพอ

สำหรับงบประมาณที่รัฐบาลเตรียมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.เพื่ออนุมัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มีวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะที่การตรวจสอบทุจริตงบภัยพิบัติของ ป.ป.ท.ก่อนหน้านี้มีสรุปผลสอบการใช้งบภัยพิบัติประจำปีงบประมาณ 2552 พบว่าในการสุ่มตรวจสอบโครงการทั้งสิ้น 373 โครงการ มีโครงการที่ส่อใช้งบทุจริตมากถึง 274 โครงการ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากการสุ่มตรวจสอบ 163 โครงการใน 6 จังหวัด พบว่าทุจริตโครงการมีการใช้งบที่ผิดปกติ

ส่วนโรคระบาดหลังน้ำท่วมยังไม่มีการระบาดเกิดขึ้น
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังการประชุม ส.ส.พรรค เรื่องปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดนครราชสีมาและพื้นที่แถบภาคกลาง ว่า มติที่ประชุมได้มอบหมายให้ ส.ส.ในพื้นที่ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและตั้งคณะทำงาน ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องนี้ และจะมีการประสานกับภาครัฐบางส่วนด้วย ขณะที่ประชาชนผู้เดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วม สามารถร้องเรียนมายังพรรคทางโทรศัพท์หรือเว็บไซต์ของพรรคเพื่อไทยได้

โดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะเป็นผู้ประสานกับทุกฝ่ายในเรื่องดังกล่าว ซึ่งกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. จะลงพื้นที่ตรวจสอบในส่วนของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พื้นที่ภาคกลาง จังหวัดสระบุรี และที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมอย่างกว้างขวางอย่างจังหวัดนครราชสีมา
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.ในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานปราบโกง (สปก. 4-01) แถลงว่า พรรคได้มีการประชุมกรรมการบริหารพรรคและส.ส.ของพรรค โดยมีมติให้ส.ส.ของพรรคที่เป็นประธาน และรองประธานสภาฯทุกคณะ คณะติดตามและตรวจสอบรัฐบาล(คตร.) และสำนักงานปราบโกงเตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการบูรณาการข้อมูลเพื่อเตรียมเปิดโปงการทุจริตคอรัปชั่นอย่างเป็นระบบ เพื่อยุติการกู้มาโกง และการโกงชาติโกงแผ่นดิน โดยพรรคได้ย้ำมติให้เป็นนโยบายวาระเร่งด่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของพรรค และได้รีบดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

โดยคาดว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถเปิดโปงการทุจริตคอรัปชั่น การประพฤติมิชอบ และการบริหารราชการแผ่นดินที่บกพร่องผิดพลาดได้ ประมาณกลางพฤศจิกายน

สำหรับรูปแบบการนำเสนอนั้นจะจัดเป็นนิทรรศการและเดินสายชี้แจงกับประชาชน รวมทั้งจะนำข้อมูลการทุจริตของรัฐบาลบันทึกเป็นซีดีและสมุดปกดำ เพื่อแจกจ่ายทั่วประเทศ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ากฎหมายเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการเพื่อเอาผิดกับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องในการทุจริตมาลงโทษตามอาญาแผ่นดินให้ได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันเดินหน้าสางทุจริตทุกหน่วยงาน และยืนยันว่าไม่มีแนวคิดที่จะกู้เงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟู

“และได้สั่งการให้ทุกกระทรวงไปพิจารณาปรับลดงบประมาณ เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการช่วยเหลือฟื้นฟูแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับงบกลางมากจนเกินไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะนำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายนนี้”

ปัญหาก็คือจริงๆแล้ว กรณีทุจริตน้ำท่วมครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ไม่ควรจะแค่ตั้งกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง แต่ควรจะต้องทำความจริงให้ปรากฏ เมื่อปรากฏผลสอบออกมาอย่างไรได้ความอย่างไร ควรนำผลสอบสวนนั้นมาชี้แจงกับประชาชนได้รู้ และเพื่อเป็นการประจานให้รู้กันไปเลยว่าใครบ้างที่คิดร้ายซ้ำเติมผู้คนที่กำลังเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมได้ลงคอ

เพราะมีกระแสว่าการทุจริตครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องฐานเสียงของนักการเมือง เพื่อหวังผลต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย

ถ้าหวังผลแพ้ชนะในการเลือกตั้ง จนทำได้แม้แต่การซ้ำเติมความทุกข์ของผู้อื่นเช่นนี้ ต้องประจานให้เข็ด
คนหน้าเนื้อใจเสือพวกนี้... ปล่อยไว้ไม่ได้!!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์

วิถีคนกล้า?

หมิ่นเหม่เสียเหลือเกินกับขบวนการดึงสถาบันตุลาการเข้ามาคลุกฝุ่นบนถนนสายการเมือง...ทำเป็นเล่นไป!!! หากท่านผู้พิพากษา บางท่านกระทำตัวเลือกข้างจนตราชั่งเอียง.. ที่ว่า “ศาลสูง” นั้น.. วันหนึ่งย่อมกลายเป็น “ศาลเตี้ย” ไปโดยไม่รู้ตัว..

ประเทศใดหากไร้ซึ่งหลัก “นิติรัฐ..” และหลัก “นิติธรรม..” ก็ยากที่จะหาความสงบสุขร่มเย็นให้เกิด ขึ้นภายในบ้านเมือง.. อย่างคดีความทางการเมืองหลายกรณี..มีเสียงบริภาษอย่างกว้างขวาง ว่ามีจอม บงการล็อกพิกัดปักหมุดให้เดินไปตามทางที่วางไว้.. ใช่หรือไม่???

ถนนสายการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475.. กว่า 78 ปี ที่มี ส.ส.ผู้ทรงเกียรติในสภาผลัดใบเข้ามากอบโกยผลประโยชน์แห่งเค้กก้อนโต เปลี่ยนหน้าแปรพักตร์มาแล้วไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น

กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะหัวหงอกหรือหัวดำ.. คงไม่ต้องอรรถาธิบายให้มากความ ก็พอจะทราบกันดีว่า หาทำยาได้น้อยเหลือซะเกิน!!! ครั้นในยามบ้านเมืองวิกฤติ ประเทศคับขัน นักคิด นักเขียน นักวิชาการหัวก้าวหน้า ขันอาสาเข้ามาช่วยผ่าตัดใหญ่ฝ่ายการเมือง.. ก็มักจะมีนักการเมือง “ศรีธนญชัย” บางกลุ่ม กระโดดมาร่วมวงโหนกระแส “ปาหี่ปฏิรูปการเมือง” ในทุกครั้งไป..

หากให้นักการเมืองมาแฝงตัวอยู่เบื้องหลังการ ปฏิรูปการเมือง.. บทสรุปร้อยทั้งร้อยคือทุกสิ่งทุกอย่าง จะยังคงเดิมและไม่มีการเปลี่ยนแปลง.. เพราะจะให้นักการเมืองมาปฏิรูปบ้านเมืองด้วยการเปลือยเปล่าตัวเองให้ชาวบ้านเห็นในสภาพที่ล่อนจ้อน..มันย่อมเป็น ไปไม่ได้!!!

ในโลกแห่งความเป็นจริง..มีที่ไหนที่ “ผู้มีอำนาจ”.. จะออกกฎระเบียบมาลดทอนอำนาจตัวเอง.. คงจะต้อง รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดเสียก่อนกระมัง!!!จะว่าไปแล้ว ดัชนีความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศไทยชั่วโมงนี้.. ถูกฝากความหวังไว้ที่ “สถาบันตุลาการ” เพียงหนึ่งเดียว.. เพราะฝ่ายการเมือง..มาแล้วก็ไป.. ส่วนข้าราชการประจำ โดยเฉพาะหน่วยงาน ต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม..ก็ล้วนทำงานถวายหัว สนองนักการเมืองแบบไม่ลืมหูลืมตา..

ที่สำคัญประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง.. ต้องมีการ “ปฏิรูปการเมือง” อย่างเป็นจริงเป็นจัง.. และผู้ที่จะเป็นตัวหลักในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศก็คือ “สถาบันตุลาการ”..

เพียงแค่ท่านผู้พิพากษาทั้งหลายยึดมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้.. ผิดถูกว่ากันไปตามความเป็นจริง..ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง.. เป็นสถาบันที่มีมาตรฐานเดียว.. สถาบันอันเป็นทางออกประเทศแห่งนี้ ก็จะมีส่วนร่วมในการย่อยสลาย “ขยะสังคม” ฝ่ายการ เมืองลงไปได้อย่างมากมาย..

แต่หากตราชั่งอันศักดิ์สิทธิ์ มีธงอยู่ในใจล่วงหน้า.. หรือมีคำตอบคำพิพากษาไปวางไว้ที่ตราชั่งด้านใดด้าน หนึ่ง หรือแม้กระทั่งการเลือกที่จะหลับตาข้างเดียว เมินกระแสความไม่ชอบมาพากลในสถาบันอันเป็นเสาหลักแห่งกระบวนการยุติธรรม..

อย่างภาพเบลอเจือพิษการเมืองวาง ยาในวิกฤติศรัทธา “ศาลรัฐธรรมนูญ”.. ระวังเถิด!!! ปรากฏการณ์ครั้งนี้มันจะกลาย เป็นสะเก็ดไฟไหม้ลามทุ่ง ที่จะมิใช่ทำให้เสาหลักแห่งตุลาการเสื่อมทรุดลงแต่เพียงสถาบันเดียว.. เพราะนั่นมันจะนำ พาทุกองคาพยพในสังคม ต้องย่อยยับ ลงไปตามทิฐิความอยากอยู่อย่างอยากของตัวท่านด้วย

นักการเมืองเกาหลีผู้ต่อสู้กับ การทุจริตคอร์รัปชั่นมาตลอดชีวิต แสดงความรับผิดชอบด้วยการกระโดดหน้าผาตายเพื่อรักษาเกียรติ หลังภรรยาตกหลุมพราง ฝ่ายตรงข้ามในการเข้าไปมีส่วน กับการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่สำหรับบ้านเมืองนี้คงไม่ถึงขั้นนั้น ซึ่งนั่นก็คงไม่ต้องบอกเช่นกันว่า การยุติปัญหาเพื่อนำพากงล้อยุติธรรมถอยห่างจากหลุมพรางการเมืองควรจะดำเนินไปด้วยวิธีการใด

ด้วยจุดเปลี่ยน จุดหักเหเพียงแค่เท่านี้ มันล้วนมีอานิสงส์ในการนำพา กระบวนการตุลาการภิวัตน์ สลัดหลุดจาก “แผนชั่ว” ของคนบางพวก..นักการเมืองกลุ่ม ที่ต้องการช่วงชิงความได้เปรียบ หรือแม้กระทั่งคิดการใหญ่..“เด็ดดอกไม้ เพื่อให้สะเทือนถึงดวงดาว” ?!?!บนเส้นทางแห่งวิถีคนกล้า.. “ท่านเปาบุ้นจิ้น” ไม่เคยเผาศาลขอรับ!!!

ที่มา:สยามธุรกิจ

***************************************************

ศอฉ. ศาลอาญาโลก และความรับผิด



ในช่วงระยะเวลาอันสั้น คณะกรรมการโอเวลเลี่ยน (กลุ่มเผด็จการอำนาจนิยม) ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ชี้แจงการกระทำของตนเองด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาด นอกจากจะคุมขังนักกิจกรรม นักข่าว และนักวิชาการแล้ว ศอฉ. ยังประกาศว่าแม่ค้าขายรองเท้าแตะที่มีลายพิมพ์หน้าคล้ายนายกรัฐมนตรีเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในประเทศ

ดังนั้น จึงไม่มีมีใครคาดหวังว่าจะได้ยินอธิบายอย่างมีความรับผิดชอบและน่าเชื่อถือจากศอฉ. ในกรณีของการยื่นรายงานเบื้องต้นเพื่อแจ้งต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ถึงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมและการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุม ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม คำอธิบายของศอฉ.อาจจะทำให้กลุ่มคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์รู้สึกประหลาดใจมากขึ้น

ในวันที่ 27 ตุลาคม พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  “ที่ประชุมยังไม่มีการรายงานเรื่องนี้เข้ามา ขณะเดียวกันผมก็ไม่ชัดเจนในข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นที่รับรู้กันว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่ทหารเราไปไล่ฆ่าประชาชน แต่เกิดจากการชุมนุมที่เกินขอบเขตกฎหมาย

นอกจากนี้พันเอกสรรเสริญยังกล่าวว่า “ศาลในประเทศไทยก็วินิจฉัยรัฐบาลเป็นผู้ดูแลความมั่นคงมีอำนาจระงับยับยั้งเหตุการณ์ เพราะได้มีความพยายามต่อรองและได้ดำเนินการอย่างถึงที่สุดด้วยความรอบคอบ (สำหรับการดำเนินการสลายการชุมนุม) การดำเนินการของเจ้าหน้าที่จึงต้องทำด้วยหลักสากล มีการชี้แจงผ่านวิทยุ โทรทัศน์ และผ่านสื่อ รวมทั้งไม่ปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน”

ตามมาด้วยคำชี้แจงของสมาชิกรัฐบาลอย่างนายเทพไท เสนพงศ์ “เหตุการณ์ดังกล่าวต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ในการตัดสินของศาลโลก แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศไทย เป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศ และรัฐบาลไม่ได้มีเจตนาไปเข่นฆ่าประชาชน เป็นเพียงการบังคับใช้กฎหมายที่มีบทบัญญัติกฎหมายรับรอง จึงคิดว่าไม่สามารถนำไปฟ้องดำเนินคดีต่อศาลโลกได้”
หากพิจารณาคำอธิบายของศอฉ.และชี้แจงเหล่านี้ จะพบว่ามีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะแนวความคิดของศอฉ. (ซึ่งเราสามารถตีความได้โดยทั่วไปว่าเป็นความคิดของกลุ่มอำมาตย์) แสดงให้เห็นว่ายังคงมี

ความพยายามที่จะปฏิเสธว่าทหารและตำรวจไม่ได้สังหารผู้ชุมนุม จุดยืนของศอฉ. แสดงให้เห็นถึงพยายามชี้นำสังคมในทางที่ผิดเท่าที่จะสามารถจินตนาการได้ ซึ่งขัดต่อหลักฐานที่ถูกเผยแพร่อย่างแพร่หลายในที่สาธารณะ และความพยายามนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใด รัฐบาลจึงปฏิเสธโอกาสในการเข้าถึงหลักฐานทางนิติเวชและพยายามที่จะปกปิดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และนี่คือตัวอย่างหนึ่งของการกระทำของรัฐบาลทีเราเลือกออกมาจากยุทธศาสตร์สร้างความยุ่งยากในการตรวจสอบเหตุการณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งแสดงในเห็นถึงความพยายามปฏิเสธการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม นั้นคือการที่ศาลปฏิเสธคำร้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 19 คน ในวันที่ 27 สิงหาคม โดยเป็นคำร้องที่ขอดำเนินการชันสูตรศพทั้ง 9ศพที่ถูกสังหารหมู่ ด้วยผู้เชี่ยวชาญของผู้ถูกกล่าวหา

แม้รัฐบาลจะทำการชันสูตรศพดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันรัฐบาลไม่เคยเปิดเผยผลการชันสูตรแก่ผู้ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตไม่ได้ดำเนินพิธีการเผาศพ เพื่อต้องการเก็บรักษาหลักฐาน ด้วยความหวังที่ว่า ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นในที่สุด การปฏิเสธคำร้องดังกล่าวของศาลละเมิดต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามไว้ ICCPR บัญญัติว่า ผู้ถูกกล่าวหาทางอาญามีสิทธิเข้าถึงหลักฐานเช่นเดียวกับกับรัฐบาล เหตุผลเดียวที่ศาลใช้ปฏิเสธคือ อัยการเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจในการร้องขอชันสูตร

เหตุใดจึงพยายามปกปิดผลการชันสูตร? วัตถุประสงค์หนึ่งในการชันสูตรคือ การตรวจสอบทิศทางกระสุน ชนิดกระสุน และระยะทาง เพื่อพิสูจน์ว่าผู้เสียชีวิตเหล่านี้ถูกมือปืนซุ่มยิงทหาร หรือถูกยิงจากระดับพื้นดินโดยบุคคลอื่นตามที่รัฐบาลอ้าง และนี่คือประเด็นที่เจ้าหน้ารัฐล้มเหลวในการชันสูตรพลิกศพ การที่รัฐบาลปฏิเสธคำร้องของผู้ถูกกล่าวหา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามทำลายหลักฐานสำคัญที่จะระบุว่ามือปืนซุ่มยิงทหารได้สังหารประชาชน เพราะเมื่อการชันสูตรเสร็จสิ้นลง ศพเหล่านั้นจะถูกนำไปประกอบพิธีวางเพลิงศพ

และยังเป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลได้จับกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย ก่อนที่จะมีการสอบสวนข้อเท็จจริง หากมีข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาของรัฐบาลที่ว่า มีกลุ่มหัวรุนแรงในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง รัฐบาลควรจะสอบสวนและระบุตัวบุคคลดังกล่าวให้แน่ชัด ก่อนที่จะจับกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย เพราะบุคคลเหล่านั้นเพียงแค่ใช้สิทธิตามกฎหมาย และยังเป็นสิทธิที่รับรองใน ICCPR ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเท่านั้น

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ แกนนำเสื้อแดงถูกปฏิเสธสิทธิในการเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของตนเอง ในวันที่ 27 สิงหาคม แกนนำเสื้อแดงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับฟังการแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งชี้แจ้งและแก้ต่างข้อหาเหล่านั้น นอกจากนี้ ศาลยังได้กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตในเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งต่อไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดบทบัญญัติใน ICCPR ที่ประกันความยุติธรรมในการพิจารณาคดี เพราะการกีดกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสที่จะสื่อสารกับทนายของคนเองในประเด็นที่เกี่ยวกับ ข้อหา/ข้อเท็จจริง/ข้อกล่าวหา และยังส่งผลต่อความสามารถในการตระเตรียมข้อแก้ต่างให้กับตนเองอีกด้วย เหตุผลที่พวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าฟังการพิจารณาคดีคือ ห้องพิจารณามีขนาดคับแคบเกินไป อันแสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของรัฐบาลนี้ในการจัดการกับคดีดังกล่าว (มีที่นั่ง 3 ที่นั่ง สำหรับทนายทั้ง 19 คน ในการพิจารณาคดีวันที่ 27 สิงหาคม) ครอบครัวของผู้ถูกกล่าวหายังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีเช่นกัน ในขณะที่คำร้องขอให้พิจารณาคดีในห้องพิจารณาคดีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถูกปฏิเสธ

หากยังมีคำถามอยู่อีกว่า เหตุใดรัฐบาลจึงต้องลงทุนและพยายามอย่างมากที่จะกีดกันไม่ให้การดำเนินคดีที่แท้จริงเกิดขึ้น อันเป็นการทำลายกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลกลัวคำตอบจากผลการการชันสูตรศพของเหยื่อหลายรายจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ ดูเหมือนว่ากลุ่มอำมาตย์ทหารที่ควบคุมประเทศอยู่ในเวลานี้จะฝากความหวังไว้กับการพยายามปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าการสังหารเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น

เมื่อพิจารณาจุดยืนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในคดีนี้จะพบว่า แทนที่จะแสดงข้อมูลที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตน รัฐบาลกลับพยายามอย่างมากที่จะปัดความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก ข้อเท็จจริงคือ มีฝ่ายหนึ่งที่สนใจให้มีการนำเสนอข้อมูล หลักฐาน การสอบสวนและดำเนินคดีอย่างเปิดเผย และอีกฝ่ายที่กล่าวตนเองเท่านั้นที่มีสิทธิขาดในการพิจารณาตรวจสอบคดี โดยสรุป เรายินดีที่จะพิสูจน์หลักฐานที่ระบุว่ารัฐบาลกระทำความผิดจริงอย่างเปิดเผยในศาลยุติธรรม

จนถึงทุกวันนี้ พันเอกสรรเสริญ นายเทพไท และนายอภิสิทธิ์ รวมถึงบุคคลอื่นๆ ไม่ได้แสดงความมั่นใจต่อจุดยืนของตนเอง แต่กลับพยายามแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความผิดของตนเอง

ที่มา:ประเทศไทย Robert Amsterdam

******************************************************************

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"ไชยยันต์ ไชยพร"เฮ! ศาลพระโขนงตัดสินยกฟ้องคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง 2 เมษายน

ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549    ณ  หน่วยเลือกตั้ง 62 เขตเลือกตั้งที่ 21 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ แขวง-เขตสวนหลวง กทม. เมื่อเวลา 09.30 น. นายไชยยันต์ ไชยพร อายุ 47 ปี หัวหน้าภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บัญชีหมายเลข 96 ได้เดินเข้าคูหาลงคะแนน และกาช่องไม่เลือกใคร ก่อนเดินถือบัตรลงคะแนนออกมาให้สื่อมวลชนดู
    
"ผมขอทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง" จากนั้นจึงฉีกบัตรเลือกตั้ง และยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยเลือกตั้ง สน.ประเวศ 2 นาย เดินมาควบคุมตัวแต่โดยดี ทั้งสองฝ่ายต่างยิ้มให้กันอย่างเป็นกันเอง ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากที่มาใช้สิทธิปรบมือโห่ร้องให้กำลังใจ รวมถึงนายยืนยง โอภากุล หัวหน้าวงคาราบาว ซึ่งมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย

จากนั้น นายไชยยันต์ขออ่านแถลงการณ์ที่เตรียมมาจำนวน 4 แผ่น ให้ผู้สื่อข่าวฟัง โดยตำรวจทั้งสองคนก็ยินยอมแต่โดยดี มีใจความโดยสรุปว่า "ระบอบทักษิณ" ได้ยักยอก และยึดครองประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิงแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการลงมติรับรองผู้นำเผด็จการเท่านั้น การยุบสภาที่เกิดขึ้นทำไปเพื่อประโยชน์ของคนคนเดียวที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบปัญหาคอร์รัปชั่นและผลประโยชน์ที่ทับซ้อนที่ได้กระทำไป ในสถานการณ์เผด็จการจำแลงเช่นนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้เล็งเห็น และให้สิทธิพื้นฐานแก่ชนชาวไทยไว้แล้ว ในมาตรา 65 จึงขอปฏิเสธหน้าที่พลเมืองที่กำหนดไว้ในกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อรักษาสิทธิเสรีภาพโดยฉีกบัตรเลือกตั้ง


"คดีนี้ผมจะเรียนต่อเจ้าพนักงานว่า ผมขอสู้คดีในชั้นศาล โดยจะไม่ยอมรับการเปรียบเทียบปรับใดๆ โดยจะขอต่อสู้คดีนำสืบให้ศาลเห็นถึงการใช้อำนาจยุบสภาโดยบิดเบือนจากวิถีทางในรัฐธรรมนูญเป็นลำดับไป และขอยืนยันว่า ผมไม่ได้ป่วยทางจิต" นายไชยยันต์ระบุ


ผ่านมา 4 ปี  คดีนายไชยยันต์ ไชยพรฉีกบัตรเลือกตั้ง ศาลจังหวัดพระโขนง ได้นัดฟังคำพิพากษา  ในวันที่29 ตุลาคม เวลาบ่าย   โดยก่อนหน้านี้ นายไชยยันต์ ได้ร้องขอความเป็นธรรม ต่ออัยการสูงสุด  แต่ที่สุด อัยการ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพระโขนง เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2553  

ล่าสุด ศาลจังหวัดพระโขนง ได้ตัดสินยกฟ้องนายไชยยันต์ ไชยพร ในคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ซึ่งสร้างความยินดีให้แก่นายไชยยันต์

ก่อนหน้านี้  นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ผมไม่ได้เป็นพยานในคดีดังกล่าว แต่ได้ให้คำปรึกษานายไชยยันต์ ในการสู้คดี สำหรับแนวทางการต่อสู้คดีมี 2 ประเด็น ประกอบด้วย 1) สู้ตามกฎหมายเลือกตั้งว่าไม่มีความผิด เพราะมีแนวฎีกาว่า บัตรเลือกตั้งที่ห้ามทำให้เสียหาย หมายถึงบัตรที่กาลงคะแนนและอยู่ในหีบบัตรเลือกตั้งแล้ว แต่หากยังไม่ลงคะแนน ก็เป็นบัตรของเรา ซึ่งในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีแนวฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยเอาไว้ 2) สู้ว่าเป็นสิทธิที่ทำได้ ตามรัฐธรรมนูญ เพราะการยุบสภาไม่ถูกต้อง การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ถูกต้อง จึงอยู่ในการต่อสู้แบบอารยขัดขืน ไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย "

 แหล่งข่าวในวงการนักกฎหมายมหาชน เปิดเผยว่า  คดีนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในประเด็นกระบวนการยุติธรรมจะเป็น 2 มาตรฐานหรือไม่  เพราะคดีฉีกบัตรเลือกตั้งมีแนวคำพิพากษาที่แตกต่างกันมาก


*******************************************************************************
ที่มา: มติชนออนไลน์

กฎหมายโอเวอร์โหลด

อย่างที่ทราบกันไปแล้วในฉบับก่อนๆ ว่ากฎหมายไทย แม้จะมีหลาย มาตรา แต่บางเรื่องไม่สามารถนำมาใช้ จริง ในขณะเดียวกัน บางเรื่องนำมาใช้ได้จริงเป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นจุดด้อยที่สุดของบ้านเรา

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะบ้านเราให้ สิทธิ์ผู้ที่ปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จมีอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นว่าเล่น นอกจากนั้น ต้องยอมรับด้วยว่า คนมีอำนาจในบ้าน เมืองเรายังดัดจริต ไม่ยอมรับว่าในขณะนั้นๆ เรามีปัญหาอะไร ไม่ยอมรับความ จริง ทั้งที่บางครั้งรู้แก่ใจ และไม่มองว่าอะไรได้เกิดขึ้นกับคนในชาติแล้ว... ถ้าจะบอกจุดบอดให้หมดคงสาธยายไม่พอในคอลัมน์นี้

ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “เรื่องของการพนัน” ที่รู้ทั้งรู้ว่าคนบ้านเรา เล่นหวยกันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เมื่อ มีหวยบนดิน เอาเงินนอกระบบมาเข้า รัฐ กลับถูกยกเลิกเมื่อมีการปฏิวัติ รวมถึงหวยออนไลน์ที่จะออกมาก็ไม่ผ่าน ในขณะที่ “สนามม้า” “สนามมวย” ก็ยังมีการเล่นกันให้เกลื่อน และเป็นที่รับรู้ของสังคมไทย

นี่ยังไม่รวม “โต๊ะบอล” “ตู้ม้า” ที่มีให้เห็นกันทั่วไปตามสถานบันเทิงเกือบทั่วประเทศ ขณะที่คนบางกลุ่มหรือบางหน่วยงานก็ออกมาร้องแรกแหกกระเฌอว่า “การพนันผิดศีล ไม่เหมาะกับสังคมพุทธอย่างประเทศไทย” แต่ถามหน่อยว่า “เคยมีใครคิดบ้างไหมว่าการพนันไม่มีระบุอยู่ในศีลห้า” ในขณะที่สิ่งที่ผิดศีลสำหรับชาวพุทธจริง คือศีลข้อ 5 “สุรา” แต่รัฐกลับเปิดขายเสียเอง

แต่ก็พอเข้าใจว่า บ้านเราเป็นเมือง ท่องเที่ยว หากเรามีกฎหมายห้ามในเรื่องนี้ออกมา ต่างชาติคงไม่มาท่องเที่ยว บ้านเรา ต่อให้มีแหล่งท่องเที่ยวสวยปานสวรรค์วิมานปานใด ก็ออกจะเป็น การบังคับกันเกินไป เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่ง ที่ผู้หลักผู้ใหญ่หรือคนมีอำนาจบ้านเรา ต้องพึงสำเหนียกก็คือ “การออกกฎหมายหรือข้อบังคับใดๆ ต้องไม่ตึงหรือ หย่อนเกินไป”

การที่จะออกกฎหมายใดต้องคำนึงถึงความเป็นจริง และการนำมาใช้ได้จริง โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อคน ส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกัน ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม และต้องไม่กระเทือนต่อรายได้หลักของประเทศ ซึ่งต้องพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว เป็นหลัก

อย่างกฎหมายเกี่ยวกับ “บุหรี่” ที่ยกเลิกโซนสูบบุหรี่ในสวนจตุจักร รวมถึงการไม่พบเห็นห้องสูบบุหรี่ในสนามบินเมืองไทย ทั้งที่ทั่วโลกเขายัง มีอยู่ เรื่องนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวลดลงไปหรือเปล่า คงต้องรออีกระยะหนึ่ง

ล่าสุดทราบว่า “ร่างกฎหมาย ควบคุมแอลกอฮอล์” กำลังเข้าสู่ ครม. หลังผ่านความเห็นชอบจากกระทรวง สาธารณสุข ซึ่งถ้าผ่านความเห็นชอบ จากสภา บ้านเราจะปลอดการจำหน่าย สุราในรัศมี 500 เมตรรอบสถานศึกษา บ้านเราจะไม่มีเหล้าปั่นขาย แถมเรายังจะได้เห็นรูปภาพและข้อความเตือน บนขวดหรือภาชนะเหมือนกับบุหรี่

แต่ถามว่า คนต้นคิดออกกฎหมาย ซึ่งเป็นท่านผู้ดีทั้งหลายที่ถือศีล ครบ 5 ข้อ เคยมองภาพความเป็นจริง บ้างหรือไม่ เคยมองถึงผลกระทบที่จะ เป็นคลื่นใต้น้ำ อันจะกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และอื่นๆ หรือไม่

ยกตัวอย่าง “กรณีปลอดเหล้า 500 เมตร รอบสถานศึกษา จะเป็น ไปได้หรือไม่” เพราะสถานศึกษาบ้าน เรามีกระจายทั่วทุกพื้นที่ อย่างในพื้นที่ เศรษฐกิจทำเลทองของนักท่องเที่ยว อาทิ ถนนข้าวสาร พัทยา เชียงใหม่ เป็นต้น

และที่สำคัญที่สุดคือ ผลกระทบ ต่อการท่องเที่ยว ที่ผมว่าเกิดขึ้นแน่ๆ หากมีการติดภาพและคำเตือนเหมือน กับบุหรี่ ซึ่งเท่าที่ทราบต้องกินพื้นที่ไม่ น้อยกว่า 30% ของขวดหรือภาชนะ ลองนึกภาพการต้อนรับทูตต่างชาติที่ต้องรินแชมเปญที่มีรูปอุบัติเหตุเมาแล้วขับพร้อมด้วยคำเตือนตัวโตๆ งานเลี้ยงวันเกิดแล้วเจอรูปคนตายจากการ ทะเลาะวิวาท นักท่องเที่ยวจะสั่งเบียร์ เหล้า แล้วต้องมาเจอกับภาพต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าฉลากบอกยี่ห้อ

ผมไม่รู้ว่าประเทศไหนทำแบบนี้ แล้วบ้าง แต่บอกตามตรง นักท่องเที่ยว เขาจะหนีไปเที่ยวประเทศที่ไม่มีกฎหยุมหยิม ดื่มแล้วสบายใจ สบายอารมณ์ มีที่สูบบุหรี่เป็นสัดส่วนในสถานที่ต่างๆ และที่สำคัญผลที่ตามมา คือ การลักลอบนำเข้าเหล้าจากต่างประเทศ และเหล้าปลอมก็จะตามมา

สรุปคือ “ผมว่าน่าจะมีการบังคับ ใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้จริงจังมากกว่าจะ ออกกฎหมายใหม่ให้พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะกรณีเมาแล้วขับ ต้องบังคับใช้ ให้จริงจังเหมือนต่างประเทศ ขอถาม คำสุดท้าย บ้านเราถ้า ส.ส.เมาแล้วขับ ตำรวจที่ไหนจะกล้าจับ?”

ที่มา.สยามธุรกิจ
********************************************

นักการเมืองเหนือน้ำ 'ทักษิณ' ร่วมทุนสร้างฉาก เพื่อไทยลุยน้ำท่วมในภาวะแพแตก

กลุ่มก๊วนต่าง ๆ ในพรรคเพื่อไทย ต่างแยกกันเดิน ร่วมกันตี แม้แต่การลงพื้นที่น้ำท่วม ยังต้องรอคำสั่งจาก "ทักษิณ" เหมือนกับการเคลื่อนไหวเรื่องอื่น ๆ

ทันทีที่คำสั่งมาถึงพรรค ต่างคน ต่างก๊ก ต่างแยก "สังกัด" ปฏิบัติหน้าที่

อย่างน้อยก็มีทีมของ "คุณหญิง

สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" ที่แยกไปทำกิจกรรมสร้างแบรนด์ "มูลนิธิไทยพึ่งไทย" ตอกย้ำยี่ห้อข้างถุงยังชีพ ว่าเป็นคนละส่วนกับเพื่อไทย

ส่วนทีมงานน้องเขย-อดีตนายกรัฐมนตรี "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" ก็แยกทีมไปลงพื้นที่กับคณะผู้บริหารพรรคเพื่อไทย ในนามของ "พรรคเพื่อไทย" สร้างแบรนด์ด้วยคำข้างถุงยังชีพ "ด้วยน้ำใจ จากพรรคเพื่อไทย"

อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 "อ้างถึง" อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย ในวาระช่วยชาวบ้านว่า

"ท่านทักษิณบอกให้มาเยี่ยมชาวบ้านเยอะ ๆ และท่านเองก็สนับสนุนอยู่ เบื้องหลัง น้ำท่วมขนาดนี้ พวกเราได้รับความลำบากกันมาก ผมเข้าใจดีบ้านผมเคยน้ำท่วม..."

ในพายุการเมืองของศูนย์กลางอำนาจ ทั้งคลิปตุลาการ และเสถียรภาพพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ ณ

เวลาเดียวกันก็รายล้อมไปด้วยภัยพิบัติธรรมชาติ จากน้ำท่วม ทำให้ "ข่าวคลิป" เงียบเสียงไปได้ชั่วขณะ

ระหว่างที่รัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามอำนาจฝ่ายบริหาร ในส่วนฝ่ายค้านเองก็ไม่ยอมตกขบวนเช่นกัน

วาระใหญ่งานช้างที่ประชาชนเดือดร้อนกันหลายจังหวัด นายสมชาย ลงไปเป็น "ตัวแทน" ของครอบครัวและพรรค โดยมี "ตัวจริง" คือนายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช รอง ผอ.พรรค

เพื่อไทยฝ่ายการเมือง กำกับบทในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ลพบุรี ชัยภูมิ และขอนแก่น

ในพื้นที่น้ำท่วม ถูกจัดให้สมบทบาทอดีตนายกรัฐมนตรี อาทิ ฉากกิจกรรมแอ็กชั่น บริจาคสิ่งของทั้งในที่ลุ่มและที่ดอนท่ามกลางน้ำเชี่ยว

"สมชาย" ยืนเด่นให้สัมภาษณ์กลางสายน้ำท่ามกลางขอนไม้และข้าวของบริจาค

รวมทั้ง ขึ้นเรือเล็กลงพื้นที่ห่างไกลถนนสายหลัก ต้องฝ่าสายน้ำด้วย เพื่อเข้าถึงพื้นที่ "ดอน" สะดวกแก่การจัดเป็นเวทีไฮด์ปาร์ก เพื่อจัดวงปราศรัยย่อย ก่อนพิธีกรรมแจกของ

ร่วมกับนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรี

เลือดเนื้อเชื้อไขคนโคราช พร้อมทั้ง

โฆษกเสด็จพี่ "พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์"

เรียกเสียงกรี๊ดจากแม่ยก

อดีตนายกฯ "สมชาย" บอกกับ

ผู้ประสบภัยว่า "ผมและคณะมาแสดงความเห็นใจพ่อแม่พี่น้องผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม ถ้าไม่ได้มาสบตากัน ก็ไม่รู้ว่าลำบากขนาดไหน ต้องมาเห็นใจกัน

ไม่งั้นไม่ใช่พรรคเพื่อไทย แม้ผมไม่ได้อยู่พรรคเพื่อไทยแล้ว แต่ผมก็ยังรักพรรค

เพื่อไทยอยู่"

ท่ามกลางซากน้ำท่วม ความทุกข์ของชาวบ้าน เสียงโห่ร้องดังขึ้นเมื่อคำปราศรัยประกาศเพื่อไทยขอกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี

"ผมและคณะมีข้าวของติดไม้ติดมือเท่าที่หามาได้ เราใช้เงินส่วนตัวตามมีตามเกิด เราไม่ใช่รัฐบาลที่จะมีงบฯสนับสนุน ผมขอเตือนรัฐบาลว่าท่านทำงานช้าเกินไป ถ้ารัฐบาลทำงานไม่ได้ ผมเสนอให้ท่าน ออกไปครึ่งเดือน ผมจะแก้ปัญหาให้ แล้วท่านค่อยกลับมาใหม่"

แม้ว่าจะมีการออกตัวว่า "ความจริงเราไม่ได้ทำงานเพื่ออำนาจ ไม่ได้ออกมาเพื่อเป็นข่าว แต่มาช่วยเหลือพี่น้อง แม้จะไม่ได้มีงบประมาณเหมือนรัฐบาล"

ชื่อ "ทักษิณ" ยังขลัง แม้น้ำท่วมขัง "สมชาย" จึงต้องอ้างถึง วรรคต่อวรรค คำต่อคำ

"ก่อนเดินทางมาได้พูดคุยกับท่านทักษิณ ท่านบอกให้รีบไปช่วยพี่น้องประชาชน ท่านฝากความห่วงใย หัวใจ อยู่กับเราทุกคน ท่านได้บริจาคเงินผ่านสภากาชาดไทย 5 ล้านบาท เพื่อเป็นศูนย์รวมในการดูแล ท่านมาไม่ได้จึงฝากให้ผมและคณะมาดูแล"

ภัยพิบัติ-โศกนาฏกรรม "สึนามิ"

ถูกนำมาอ้างเป็นโปรไฟล์ส่วนตัวของ "ทักษิณ"

"ขอให้รัฐบาลเร่งมือให้เร็วกว่านี้หน่อย บริหารจัดการให้กระชับกว่านี้หน่อย ขอให้ดูตัวอย่างตอนรัฐบาลทักษิณจัดการกับเหตุการณ์สึนามิ"

แม้คนมาเยี่ยมชื่อ "สมชาย"

แต่ผู้ปราศรัยขอให้ปรบมือถึง "ทักษิณ" และถ้าอยากให้ "ทักษิณ" กลับบ้าน

ต้องเลือก "สมชาย" เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

ขณะที่สายตรงตระกูลชินวัตรฯเดินสายลงพื้นที่ ขึ้นรถ ลงเรือ ลุยน้ำ ก็ปรากฏภาพเจ้าแม่ กทม. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

ยกขบวนแยก ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย ไปขึ้นบกที่นครราชสีมา

ทีมงานเจ้าแม่ กทม.เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นเอกเทศ แยกต่างหากจากพรรคเพื่อไทย

สำหรับนักการเมืองแล้ว ทุกย่างก้าว

มีจังหวะ ทุกจังหวะมีต้นทุนที่ต้องจ่าย

กำไรทางการเมืองจะออกดอกออกผลใน

วันเลือกตั้ง

สำหรับ "ทักษิณ" ห้วงนี้มีแต่ต้อง "ลงทุน" ให้กับเพื่อไทย แม้อยู่ในสภาพคล้าย "แพแตก"

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
******************************************

ได้ดีมาเพราะปาก??

ปากหอยปากปูเขาว่ามา

ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนที่เจริญเติบโตมาทุกวันนี้ฝีไม้ลายมือในการทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองนั้นแทบมองไม่เห็น

แต่ฝีปากและความกล้าที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อรับใช้การเมือง และเพื่อให้ฝ่ายการเมืองพึงพอใจไม่ว่าจะถูกหรือผิดนั้นเกินร้อย

โดยเฉพาะเรื่องปากกระดากเป็นไม่มี

ช่วงนี้หลายปากชักเริ่มจ๋อยเพราะถูกเบรค

ได้ดีเพราะปาก พูดมากๆ ระวังปากพาจนไม่รู้ด้วยนะ???
........................................................................

บางกอกอาย??

ข่าวกรุงเทพมหานครของคุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร ไอเดียกระฉูดจะสร้างกระเช้าลอยฟ้าหรือชิงช้าสวรรค์เพื่อให้เป็นที่ชมวิวเป็นบางกอกอายแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

สนนราคาก็ประมาณสามร้อยล้านบาท

น้ำท่วมซ้ำซากอยู่ทุกปี

ทางที่ดีเอาเงินสามร้อยล้านบาทมาสร้างเขื่อนกั้นน้ำที่ยังสร้างไม่ครบทุกจุดน่าจะดีกว่าไหม???

หรือว่าปล่อยมันอย่างนี้แหละ เพราะน้ำท่วมทีไรก็เกิดคนรวยใหม่ขึ้นมาทุกครั้งไป??
........................................................................

ประชาชนไม่ใช่ไอ้เณรนะ??

ตั้งแต่นั่งเก้าอี้ทรงอิทธิพลลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังพรึ่บพรั่บ

พลเอกประยุทธ จันทรโอชา ผู้บัญชาการทหารบกมาดเข้มขึ้นทุกวัน

เรื่องของประชาชนที่เขาทำกิจกรรมในระบอบประชาธิปไตยปล่อยได้ก็ควรปล่อยไป

เพราะแม้รัฐธรรมนูญยังรับรองการกระทำเหล่านั้นว่าทำได้เลย

ไอ้ห้าวๆ สั่งเปรี้ยงปร้างนอกจากจะไม่ได้ผล ยิ่งจะเหมือนราดน้ำมันใส่กองไฟ

นอกจากไฟไม่ดับกลับจะลุกโพรนขึ้นมากกว่าเดิมอีกต่างหาก

ถ้าประชาชนเหล่านั้นเป็นทหารหรือเป็นไอ้เณรก็ว่าไปอย่าง ..จะสั่งการจะบัญชาอย่างไรก็เชิญว่าไปตามถนัด !!
.........................................................................

โรคซ้ำกรรมซัด ??

ช่วงนี้คนไทยเป็นโรคซึมเศร้ากันมาก

ก็โดนห่ากระสุนจากการกระชับพื้นที่และขอคืนพื้นที่ตายเป็นร้อยเจ็บเป็นพัน

แถมถูกกระหน่ำด้วยลมปากที่ไม่รู้อะไรเจาะมาทำให้ดัชนีมวลรวมของความสุขลดลงเป็นกระบุงโกย

ไม่ทันไรก็เจอกับกระแสน้ำที่ท่วมท้นเกือบครึ่งค่อนประเทศซ้ำเติมเข้าไปอีก

แล้วอย่างนี้ใครจะสดใสเริงร่าอยู่ได้ล่ะ

ว่าแต่ว่า “พวกขี่ช้างกางร่มเป็นพระยา อย่าลืมชาวบ้านชาวนาที่ขี่ความคอนกล้า” ก็แล้วกัน

ฝากพวกเห็นคนไม่เป็นคนเอาไว้ด้วย???
.........................................................................

วันพิพากษา??

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคมนี้ วันเลือกตั้งซ่อม ส.ส.จังหวัดสุราษฎร์ธานีเขต 1

ถ้าเล่นผีก็แบเบอร์ เล่นเฮโลก็เปิดถ้วยแทงว่างั้นเถอะ

“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งประชาธิปัตย์ ดีกรีอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงชนะแหงแก๋

ที่สำคัญ วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ คู่แข่งจากพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนกี่มากน้อยเท่านั้นเอง

ถ้า วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ ได้คะแนนซักครึ่งหรือเกือบครึ่งของ “เทพเทือก” แล้วล่ะก็

ถึงแม้จะได้เป็น ส.ส. แต่ “เทพเทือก” ก็เสียรังวัดไม่ใช่น้อย

อะไรไม่ว่าที่จะเสียดแทงใจก็พวกเดียวกันนั่นแหละพี่น้อง ??
............................................................................
ที่มา:บางกอกทูเดย์
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
*******************************************************

มือดีดึงกระสอบทรายออกน้ำทะลักเข้าหมู่บ้านเมืองเอก

นายสมพงษ์ ศรีอนันต์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลหลักหก ได้รับแจ้งเกิดแนวกระสอบทรายกั้นน้ำที่ทางเทศบาลตำบลหลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี สร้างคันกั้นน้ำเอาไว้ด้วยความสูง 1 เมตร ตลอดทางความยาว 4 กิโลเมตร ริมคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ซึ่งเป็นคลองที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกมือดีดึงกระสอบทรายออกได้รับความเสียหายทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าหมู่บ้านเมืองเอก หมู่ที่ 5 ต.หลักหก อ.เมือง จำนวนมากจึงเดินทางไปตรวจสอบบริเวณสะพานข้ามคลองรังสิตประยูรศักดิ์ หมู่ที่ 5 ต.หลักหก ได้มีกำลังเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลหลักหก นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรังสิตทั้งชายและหญิง กว่า 200 คน และ เจ้าหน้าที่สนามกอล์ฟเมืองเอก และสนามกอล์ฟวินต้า กว่า 100 คน พร้อมเครื่องจักรกลหนัก และรถแบคโฮกำลังช่วยกันสร้างคันดินและเสริมแนวกระสอบทราย หลังมือดีดึงกระสอบทรายที่ทางเทศบาลตำบลหลักหกสร้างเอาไว้เพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าท่วมหมู่บ้านเมืองเอกชั้นใน ออกได้รับความเสียหายเป็นทางยาวประมาณ 10 เมตร ทำให้น้ำจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ไหลเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของหมู่บ้านเมืองเอก

นายสมพงษ์ กล่าวว่า จุดที่ได้รับความเสียหายนั้นเป็นที่มืดริมคลองไม่มีไฟส่องสว่างจึงไม่มีใครเห็นลักษณะการแต่งกายของผู้ก่อเหตุ และหากปริมาณน้ำไหลเข้าท่วมภายในหมู่บ้านเมืองเอกได้นั้นค่าความเสียหายจะมหาศาลมาก เพราะภายในหมู่บ้านเมืองเอกประกอบไปด้วยมหาวิทยาลัยรังสิต หอพักนักศึกษา สนามกอล์ฟเมืองเอก และหมู่บ้านเมืองเอกที่บ้านแต่ละหลังราคากว่า 10 ล้านบาท อาจจมบาดาลได้ เพราะน้ำในคลองรังสิตกับพื้นถนนภายในหมู่บ้านนั้นความสูงต่างกัน 1.60 เมตร และในขณะที่ทางมหาวิทยาลัยรังสิตได้ทราบข่าวจัดส่งนักศึกษาของสถาบันมาช่วยกลอกทรายบรรจุกระสอบ พร้อมแก้ไขแนวกระสอบทรายที่ได้รับความเสียหายจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่ดึงเอากระสอบทรายออก และทางเทศบาลได้ตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมเพื่อดูดน้ำด้านในออกคาดว่าไม่เกิน 2 ชั่วโมงน่าจะเข้าสู่สภาวะปกติพี่น้องประชาชนไม่ต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เทศกิจ ออกตรวจสอบแนวกระสอบทรายกั้นน้ำตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีดึงกระสอบทรายออก และหากผู้ใดพบเห็นและจับกุมได้ให้นำตัวมาส่งมอบให้ตนจะมีรางวัลเป็นสินน้ำใจมอบให้ส่วนสาเหตุนั้นน่าจะมาจากความเครียดของชาวบ้านริมคลองที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมไม่มีที่ขับถ่ายน้ำก็เกิดเน่าเหม็นส่งกลิ่นรบกวนผู้พักอาศัยจึงเป็นเหตุกระสอบทรายถูกดึงครั้งนี้ ส่วนคลองส่งน้ำดิบของการประปานครหลวงที่ทางเทศบาลได้นำกระสอบทรายมาปิดกั้นให้ทางการประปา และที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงได้นำทรายมาเทให้ทางเทศบาลเพื่อสร้างแนวคันป้องกันน้ำไหลเข้าคลองส่งน้ำดิบของการประปานั้นทางชาวบ้านต่างบ่นว่านำทรายมาให้กรอกกระสอบทรายไปตั้งคันแนวให้แต่ไม่ยอมส่งข้าวปลาอาหารที่จะต้องหากินกันสามมื้อนั้นกับไม่มีให้มาเลย แต่วันนี้ทางการประปาได้ส่งน้ำดื่มมาให้เท่านั้นจึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านโกธรจึงมีการมาดึงกระสอบทรายดังกล่าว


ที่มา.เนชั่น

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อดีตผู้นำยอดแย่?



โดย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ใน Foreign Policy
เมื่อไม่นานมานี้ นิตยสาร Foreign Policy ได้นำเสนอเรื่องราวในทางลบเกี่ยวดับอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ทักษิณ ชินวัตร (อดีตผู้นำยอดแย่: 1 ตุลาคม 2553) ในฐานะที่ปรึกษาทางกฎหมายของอดีตนายกรัฐมนตรี ผมขอให้ผู้อ่านพิจารณาอย่างรอบคอบว่า เหตุใดทักษิณยังคงได้รับความนิยมจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในประเทศไทยอยู่

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวแทนของอดีตผู้นำเพียงบุคคลเดียวในประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่มีการเปลี่ยนการปกครองในปี 2475 ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบวาระ 4ปี (2544-2548) นายกรัฐมนตรีทักษิณและพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง โดยเป็นพรรคเดียวที่ได้รับเสียงส่วนมากในสภา จากคะแนนเสียงของประชาชนที่ทักษิณรับใช้อย่างท่วมท้น พรรคไทยรักไทยครองที่นั่งในสภาถึง 75เปอร์เซ็นต์ และในเดือนกันยายน ปี 2549

รัฐบาลของทักษิณถูกยึดอำนาจโดยการทำรัฐประหารที่ผิดกฎหมาย นำโดยเหล่านายพลและสมาชิกเงาของกลุ่มอำมาตย์ ปัจจุบัน 4 ปีหลังจากการทำรัฐประหาร เรายังต้องพยายามแก้ต่างให้กับทักษิณซึ่งถูกป้ายสีจากสื่อที่ไม่มีความเป็นกลาง ตรายางศาล และมติของรัฐสภาอยู่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเครื่องจักรกลไกแห่งการโฆษณาประชาสัมพันธ์

หลักจากที่ถูกใส่ร้่ายป้ายสีมาเป็นเวลานาน ทักษิณยังคงเป็นที่นิยม ทั้งนี้เพราะความสำเร็จอย่างท่วมท้นของรัฐบาลภายใต้การนำของทักษิณ ในการใช้นโยบายบริหารประเทศทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้ประเทศรอดพ้นจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ การนำของทักษิณยังคงทำให้ประชาชนในภาคอีสานรอดพ้นจากยุคมืดศักดินา อันนำไปสู่การได้รับสิทธิพื้นฐานทางพลเรือนมากขึ้น ซึ่งทำให้บรรดากลุ่มอำมาตย์ที่เชื่อว่าคนไทยบางกลุ่มเท่านั้นที่มีสิทธิ์ควรจะได้รับโอกาสมากกว่าคนกลุ่มอื่นในประเทศต่อต้านแนวทางนี้อย่างขมขื่น

นาย Joel Schectman ได้เขียนบทความใน Newsweek เดือนพฤษภาคม ปี 2553 ว่า แม้ทักษิณจะมีข้อตำหนิแต่ “ทักษิณแสดงให้เห็นถึง “จุดสูงสุด” ของระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบในประเทศไทย และความสำเร็จที่สำคัญในการบริหารงานคือ การพัฒนาชนบทและสวัสดิการรักษาพยาบาล ผู้เขียนยังกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2544 ไปจนถึงปี 2549 ทักษิณได้เปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศมีประสิทธิภาพ”

เหมือนกับผู้นำทั่วไป ทักษิณมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยและมีคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ต่างจากฝ่ายตรงข้ามในประเทศทั่วไป ตรงที่ฝ่ายตรงข้ามทักษิณพยายามที่จะหยิบคดีที่ไม่มีมูลมาฟ้องร้องกล่าวหาทักษิณ ข้อกล่าวหาเดียวที่มีคือ ภรรยาของทักษิณเข้าร่วมประมูลที่ดินสาธารณะ แม้ว่าการซื้อขายที่ดินนั้นจะเป็นราคาที่เหมาะสม แต่ทักษิณถูกตัดสินว่ามีความผิดในกรณีของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” เนื่องจากภรรยาของทักษิณไม่ควรที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประมูลที่ดินในขณะที่สามีดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การตัดสินคดีดังกล่าว ไม่ได้ถูกตัดสินโดยศาลที่มีความเป็นอิสระ แต่ถูกตัดสินโดยกลุ่มคนที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร

การกล่าวหาอย่างผิดๆ ถือเป็นกลยุทธ์ของรัฐบาลชุดนี้ เพราะทักษิณไม่ใช่บุคคลเดียวที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ยังมีคนเสื้อแดงอีกนับร้อยที่ถูกคุมขังด้วยข้อกล่าวหาที่น่าสงสัย นอกจากนี้เวปไซต์อีกกว่า 100,000 เวปไซต์ที่ต่อต้านรัฐบาลยังถูกสั่งปิด ในขณะที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน รวมถึงพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในกรณีฉุกเฉินที่ยืดเยื้อยังได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐโอเวลเลี่ยน (รัฐที่ประชาชนถูกควบคุมอย่างมาก)อีกด้วย  เมื่อไม่นานมานี้ ฝ่ายตรงข้ามทักษิณได้สังหารหมู่ผู้ชุมนุมโดยสงบอีกกว่า 80ราย และประชาชนที่มุงดูเหตุการณ์

รวมถึงนักข่าว โดยการใช้มือปืนซุ่มอยู่บนดาดฟ้ายิงประชาชนอย่างไม่เลือกและเกินกว่าเหตุ ตั้งแต่การทำรัฐประหาร เสรีภาพทางการพูด สิทธิพลเรือน และสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทยได้เสื่อมโทรมลงอย่างมาก อาทิเช่น จากการจัดลำดับของการคอร์รัปชั่นในประเทศไทยขององค์กร Transparency International ระหว่างปี 2549 ถึง 2552  ปรากฏว่าประเทศไทยตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 59 จาก 84 และเมื่อวานนี้ กลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนได้จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 153 จากการจัดลำดับ “เสรีภาพของสื่อในโลก” โดยก่อนหน้ารัฐประหาร ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 66 แม้จะทราบข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศไทยมีรากฐานของอำนาจนิยม แต่สื่อต่างชาติบางสำนักยังคงเชื่อว่า ในสมัยทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีและประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยนั้นแย่กว่าในสมัยปัจจุบันมาก

เมื่อพิจารณาถึงวิกฤตการณ์การเมืองไทยและบทบาทของทักษิณแล้ว ผู้อ่านของ Foreign Policy ควรจะต้องจะต้องมองไปไกลกว่าภาพโปสเตอร์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย และจะต้องคำถามว่า เหตุใดรัฐบาลไทยยังคงกลัวเสรีภาพแห่งการพูด และคัดค้านการเลือกตั้งที่แท้จริง

นักวิชาการห่วงคลิปฉาวยุบปชป.ดึงทหารปฏิวัติ

นักวิชาการเผยคนในแวดวงถกเรื่องคลิปอื้อฉาวเกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อย่างกว้างขวาง ส่วนมากเป็นห่วงทำการเมืองถึงทางตัน ส่งผลให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร ระบุหากทำจริงตายหมู่ทั้งประเทศเพราะซัดกันเละแน่ “สมบัติ” ระบุน่าละอายที่ไม่มีตุลาการคนใดแสดงความรับผิดชอบ แถมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เฉลิม” อัดเบี่ยงเบนประเด็นเป็นเรื่องแอบถ่ายกับคนเผยแพร่ผิดกฎหมายโดยไม่คิดชี้แจงข้อเท็จจริง

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ระบุว่า ปัญหาคลิปฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และเรื่องต่างๆของศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกแฉออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และรุกลามไปถึงกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งระบบ

“ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกำลังลามไปยังศาลอื่น ความรู้สึกของประชาชนตอนนี้ไม่ได้คิดว่าศาลเชื่อถือได้หรือเป็นองค์กรศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป” นายสมบัติกล่าวและว่า การที่ไม่มีตุลาการคนใดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องคลิปฉาวที่มีออกมาเป็นเรื่องน่าอายมาก เพราะท่านถูกแก้ผ้าออกมากลางถนนแล้ว ส่วนตัวคิดว่าที่บรรดาตุลาการไม่แสดงสปิริตเป็นเพราะว่าการได้มาซึ่งอำนาจไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน และยังอยู่ในสถานะพิเศษที่ได้รับการปกป้อง ตรงนี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปรับเปลี่ยนเรื่องที่มาของตุลาการเพื่อให้หลุดพ้นจากการเมือง

นายสมบัติเชื่อว่าหากยังเป็นอย่างนี้ในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่ไม่ได้ หากวันใดมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องถูกยุบแน่นอน เพราะมีหลายเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้ เช่น กรณีนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการ ไปสอนหนังสือมีค่าตอบแทน ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไปสอนทำกับข้าวออกโทรทัศน์จนต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นลูกจ้างขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่กรณีของนายจรัญกลับทำเงียบ ทั้งที่ควรหยิบมาพิจารณาในมาตรฐานเดียวกันว่ากระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ยังมีคุณสมบัติเป็นตุลาการอยู่อีกหรือไม่

ผศ.ดร.ธวัชชัย สุวรรณพานิช อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เปิดเผยว่า ในวงนักวิชาการมีการพูดถึงเรื่องคลิปอื้อฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างมาก

“เรื่องนี้ถือเป็นปฏิบัติการดับดวงตะวัน หากจะจุดประกายขึ้นมาใหม่มีทางเดียวคือการรัฐประหาร เพราะปัญหาของการเมืองตอนนี้ได้เดินมาถึงทางตันแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าทหารทำรัฐประหารอีกครั้งเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนตาสว่างกว่าเก่า เพราะจะมีคนมาแก้ผ้าให้เราดูกลางตลาด แต่ผมคิดว่าทหารคงไม่กล้าทำ เพราะถ้าทำต้องกอดคอกันตายทั้งประเทศ” ผศ.ดร.ธวัชชัยกล่าวและว่า มีนายทหารคนหนึ่งพูดให้ฟังว่า ถ้ามีการปฏิวัติขึ้นจริงไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น โดยเฉพาะในกองทัพที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ประเด็นสำคัญเรื่องคลิปไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนเผยแพร่ แต่อยู่ที่เนื้อหาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและพรรคประชาธิปัตย์ต้องชี้แจงว่ามีการพูดคุยกันจริงหรือไม่ เรื่องอะไร ทำไมแนวทางการต่อสู้คดีของพรรคประชาธิปัตย์จึงสอดคล้องกับเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป

“สมัยพรรคพลังประชาชนถูกยุบมีคลิปที่กระทรวงกลาโหม พรรคประชาธิปัตย์หัวเราะชอบใจบอกว่าใครแอบถ่ายไม่สำคัญแต่อยู่ที่เนื้อหาสาระ มาวันนี้กลับเฉไฉและกลบข้อเท็จจริง” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ที่ปรึกษา (สบ 10) หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีคลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหลังการประชุมร่วมกับทีมสอบสวนเป็นครั้งแรกว่า ได้กำหนดแนวทางการทำงานและมอบหมายงานให้แต่ละคนไปรับผิดชอบในประเด็นต่างๆ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน โดยนัดประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าทุกวันจันทร์

“จุดเริ่มคงต้องไปดูจากคลิปก่อน โดยจะตรวจสอบจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่ามีใครเกี่ยวข้อง วัน เวลา และสถานที่ที่ปรากฏในคลิป ก่อนที่จะไปดูเรื่องการนำมาเผยแพร่” พล.ต.อ.เอกกล่าวและว่า จะเรียกคนที่ปรากฏในคลิปมาสอบสวนหรือไม่อยู่ที่ดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนว่าจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีหรือไม่

“คดีนี้เป็นคดีอาญา ประเด็นหลักคือหากมีการตัดต่อต้องสืบหาว่าใครเป็นคนตัดต่อ ใครเป็นคนนำมาเผยแพร่ เรื่องนี้ไม่หนักใจเพราะทำตามหน้าที่” พล.ต.อ.เอกกล่าว


จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้**********************************************************************

รัฐสวัสดิการเฉลี่ยความเป็นธรรม

ลดเหลื่อมล้ำ

“หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่มอภิวัฒน์ประเทศ” ฉบับส่งท้ายเดือนตุลาคม ขอนำเสนอมุมมอง “บุญส่ง ชเลธร” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐสวัสดิการ และอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ หรือ “13 ขบถรัฐธรรมนูญ” ที่ถูกจับในข้อหาคอมมิวนิสต์ และปลุกปั่นต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้น เป็นเหตุให้ต้อง เดินทางไปพำนักพักพิงในประเทศสวีเดนถึง 30 กว่าปี ก่อนจะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย

โดยอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ ได้อรรถาธิบาย ถึงมิติ ทางการเมืองอันเกี่ยวเนื่อง กับพัฒนาการ และการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน รวมไปถึงแนวทางรัฐสวัสดิการหรือสวัสดิการ สังคม ที่กำลังเป็นเงื่อนไขใหม่ที่รัฐบาลประกาศใช้เป็นกุญแจ สำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคม

>> พัฒนาการในการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน

“การชุมนุมการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในอดีต อย่างเช่นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 16 หรือ 6 ตุลาคม 19 ผู้เข้าร่วมชุมนุมทั้งนิสิตนักศึกษาและ ประชาชนจะไม่สลับซับซ้อน ประชาชนจะเคลื่อนอย่างเป็นเอกภาพในการต่อสู้กับเผด็จการรัฐบาลทหาร และที่สำคัญ จะเป็นไปโดยสันติวิธี แต่ในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวค่อนข้างมีความสลับซับซ้อนสูง ส่งผลให้ประชาชนไร้เอกภาพ มีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องมาก อันเกี่ยวข้องไปถึงนักการเมือง ที่ต้องการครองอำนาจ รวมไป ถึงองค์กรอิสระ หรือแม้กระทั่ง บทบาทข้าราชการ ปัจจัยเหล่า นี้ ทำให้การชุมนุมเป็นไปโดยปราศจากสันติวิธี และมีแนวโน้มเป็นได้สูงว่า อาจจะถูก ล้อมปราบ ตอนนี้โลกมันเปลี่ยน ไปเยอะ สมัยก่อนเราต่อสู้กับเผด็จการทหาร ต่างกับปัจจุบัน ที่นักการเมืองมีอำนาจมาก ข้าราชการก็หันไปรับใช้นัก การเมืองมากกว่าที่จะทำหน้าที่ ของตัวเอง ความซับซ้อนในการต่อสู้จึงมีสูงมาก”

>> แนวทางแก้ไขเพื่อพัฒนาจิตสำนึกการชุมนุม

“ตรงนี้ขอยกตัวอย่างใน ประเทศสวีเดน กรอบกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมของเขาแข็งแกร่งมาก เขาจะมีการ กำหนดที่ชัดเจนลงไปถึงแผน การชุมนุม ต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่รัฐให้ชัดเจนไปเลยว่า จะชุมนุม ที่ไหน ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ สถานที่แบบไหนไม่ควรก้าวข้าม รั้วเข้าไป จะมีการต่อรองกันได้ ระหว่างภาครัฐและเอกชน มีความเป็นระเบียบมากกว่าบ้าน เรามากนักเพราะประชาชนเขาเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก การประท้วงจึงไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน คือประชาชนของเขามีสำนึกต่อสังคมสูง จึงไม่มี ปัญหาที่นำไปสู่ความรุนแรง ในส่วนประเทศไทยตอนนี้ ผมเห็น ว่าควรต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้ชัดเจนถึงขอบข่ายการชุมนุม และบังคับใช้อย่างเป็นธรรม”

>> แนวทางปรองดองเพื่อลดความขัดแย้งที่กำลังดำเนิน ณ ปัจจุบัน

“การปรองดองที่พูด กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีลักษณะ ที่ไม่มีความเป็นรูปธรรม เพราะหากคิดจะปรองดองกันจริงๆ จะต้องทำกันอย่าง มีแบบแผน มีหลักการ ไม่ใช่แค่การเดินสายไปพูดคุย กันในวงแคบๆ เพราะหากถือธงปรองดองไปคุยกับคน นั้นคนนี้ เขาก็ยินดีปรองดอง กันทุกคนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีสักคนเลยที่จะมานั่งพูดคุยถึงเรื่องแบบแผนและหลักการที่จะเดินแผนปรองดองไปข้างหน้า”

>> ข้อบริภาษเรื่อง 2 มาตรฐานจะมีผลต่อแผน ปรองดองหรือไม่

“อันที่จริง หากจะมอง ถึงมาตรฐานในสังคมไทยที่มักจะถูกกล่าวอ้างว่ามี 2 มาตรฐาน ผมเห็นว่าเรื่องแบบนี้มีมานานแล้วในสังคม บ้านเรา แต่หากจะพูดกันให้ถูกต้องจริงๆ คือ มันไม่เคยมีมาตรฐานใดเลย เพราะการตัดสินใจว่าอะไรคือ มาตรฐานอยู่ที่ผู้มีอำนาจ เด็ดขาดเท่านั้น ผู้รักษากฎหมายเองก็ไม่ได้ทำงานตาม หน้าที่ เพราะยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายปล่อยให้เกียร์ว่าง ซึ่งเรื่องแบบนี้ควรแก้ที่นักการเมืองมากกว่า”

>> แนวคิดรัฐบาลเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการที่จะใช้ลดความเหลื่อมล้ำ

“ก่อนอื่นต้องระบุก่อนว่า คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) จะใช้แนวทางสวัสดิการสังคม แต่ผมมองว่า สวัสดิการสังคมหรือรัฐสวัสดิการ ตามเงื่อนไขและความหมายนั้น มันเหมือนกัน คราวนี้เราต้องรู้จักกับคำว่า รัฐสวัสดิการก่อน ว่าอะไรคือรัฐสวัสดิการ ที่ทำได้ และอะไรที่ต้องทำ สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำกันมากการมีรัฐสวัสดิการก็เพื่อเป็นการเฉลี่ยความเป็นธรรม ในสังคมเพื่อแก้ปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้”

“สำหรับการดำเนินงานในเรื่องนี้ ของรัฐบาลปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าทำไปได้ หลายเรื่องแล้วแต่ยังขาดความเป็นเอกภาพในการทำงาน เพราะแต่ละกระทรวง ต่างคนต่างทำ ไม่มีการประสานงานที่เหมาะสม ที่สำคัญในเรื่องของความจริงใจ รัฐบาลเองก็ไม่ได้มีชัดเจนว่า เป็นแค่การหาเสียงหรือต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่แท้จริง”

“ในส่วนที่ผมเป็นห่วงคือการที่ รัฐบาลทำให้รัฐสวัสดิการเป็นของฟรี จะทำ ให้สังคมเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องสามานย์ อย่างเช่น น้ำ ไฟฟรี หรือรถเมล์ฟรีเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะจะเกิดความเข้าใจผิด ในเรื่องของรัฐสวัสดิการ และจะเสียนิสัยใน ที่สุดเพราะอะไรๆ ก็ฟรีไปหมด เพราะฉะนั้น ควรจะมีการแบ่งเจ้าภาพให้ชัดเจนว่างานนี้รัฐเป็นผู้จัดสรรให้ได้ เรื่องแบบนี้ผู้รับบริการต้องดูแลเองหรือแม้แต่นายจ้างก็ต้องมีส่วนร่วม ซึ่งการจะทำรัฐสวัสดิการต้องทำให้มีแบบแผน มีระบบไม่ทำงานแบบทับซ้อนรัฐบาลต้องกำหนดนโยบายให้ ชัดเจน”

>> มุมมองเกี่ยวกับสวัสดิการด้านการศึกษาที่เป็นปัจจัยหลักในการพัฒนา องค์ความรู้ประชาชน

“สำหรับเรื่องการศึกษาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมเป็นอย่างมาก ในสหภาพ ยุโรปหลายต่อหลายประเทศสนับสนุนเรื่อง นี้มากในบางประเทศถึงกับเปิดโอกาสให้เรียนฟรีจนจบดอกเตอร์ แต่สำหรับบ้าน เราเปิดโอกาสให้เรียนฟรี 15 ปี แม้จะถือ ว่าไม่น้อย แต่ก็น่าจะมีการยกระดับให้สูงขึ้น เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้มีความหลากหลายและกว้างขวางขึ้นไปกว่านี้”

“อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุด ที่รัฐบาล ควรให้ความสนใจ คือเรื่องของคุณภาพการศึกษา รัฐบาลต้องมีการพัฒนาให้มีมาตรฐาน เท่ากันทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อลดการหลั่งไหลของนักเรียนที่เดินทางเข้า มาแออัดในเมืองหลวง หรือแม้แต่ในกรุงเทพฯ เอง ก็ยังมีค่านิยมการแย่งกันเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ไม่กี่แห่ง ซึ่งปัญหาก็มาจากมาตรฐานการศึกษาที่เหลื่อมล้ำกัน นั่นเอง”

>> ข้อห่วงใยเรื่องงบประมาณสนับสนุนการทำรัฐสวัสดิการ

“ในด้านของงบประมาณในการดำเนินงานรัฐสวัสดิการแน่นอนว่าจำเป็นต้องมาจากเงินภาษีอากร ซึ่งในเบื้องต้นอาจยังไม่จำเป็นนัก แต่ในอนาคตก็เป็นเรื่องที่จำเป็นแน่นอน ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ประชาชนเต็มใจที่จะยอมจ่ายภาษี ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีความเป็นรัฐสวัสดิการอย่างเต็มรูปแบบ เขามีการเก็บภาษีกันสูงมากถึง 50% หรืออาจถึง 80% แต่ที่เขาจ่ายเพราะเชื่อมั่น ว่าเงินที่จ่ายไปจะต้องได้รับการคืนกลับมา ในรูปของสวัสดิการสังคม”

“ต่างจากบ้านเราที่ยังขาดความน่า เชื่อถือในเรื่องนี้มาก ปัญหาการคอร์รัปชั่น เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไม่อยากที่จะ ยอมเสียภาษี เพราะไม่เชื่อในเรื่องกลไก รัฐว่า เงินที่จ่ายไปจะกลับคืนมาสู่สังคม แต่หากเรามีการจัดระบบการเก็บภาษีที่รัดกุม ป้องกันการรั่วไหลของรายได้รัฐ และ ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ กับนักการเมืองได้อย่างเด็ดขาด ก็จะสามารถ เรียกศรัทธาจากประชาชนได้ และเขาจะยอมเสียภาษีในที่สุด เพราะเชื่อแน่ว่าเงินเหล่านั้นไม่ได้ตกหายไปไหน แต่จะกลับมา ในรูปแบบของรัฐสวัสดิการ อีกส่วนหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือต้องมีการพัฒนา คนในชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพราะเงื่อนไขตรงนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญของ รัฐสวัสดิการ อย่างไรก็ดี หากนักการเมือง ไม่เลิกโกงกินไม่รู้จักหน้าที่ชาติก็ล่ม รัฐสวัสดิการก็ไม่เกิด”

นั่นคือมุมมองอันแหลมคมของ “บุญส่ง ชเลธร” อดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ อันเกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ซึ่งทับซ้อนไปถึงข้อพิพาทเรื่องเลื่อมล้ำ 2 มาตรฐาน และทอดยอดไปถึงแนวทางรัฐสวัสดิการ ที่ ณ ปัจจุบันนี้ ได้กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ” ต้องขบให้ แตก เพื่อประโยชน์สุขและความสมานฉันท์ ในสังคมไทย

ที่มา.สยามธุรกิจ
************************************************************

ตร.ล่าตัวจอมบงการคลิปยุบปชป. รู้"พสิษฐ์"พบใครที่ฮ่องกง มติตุลาการรธน.ฟ้องคนให้ข่าว ฟันมือแพร่ในยูทูบ

ตุลาการรธน.มีมติสั่งฟ้องคนให้ข่าว ฟันอาญามือแพร่ 5คลิปใน"ยูทูบ" ตั้งกฎไม่ตอบโต้ ตร.เล็งออกหมายจับคดีคลิปยุบปชป.สัปดาห์หน้า รู้"พสิษฐ์"พบใครที่ฮ่องกง วงจรปิด"สุวรรณภูมิ"จับภาพคนรับ-ส่ง ศาลรธน.แจ้ง"บัวแก้ว"ถอนพาสปอร์ตประเภทราชการ พท.จี้สอบเนื้อหา-ตุลาการในคลิป ชี้ตั้งลูกหลานเป็นเลขาฯส่อผิดกฎหมายป.ป.ช.มาตรา 100
 
"ตุลาการรธน."ให้สำนักงานเตรียมฟ้องหมิ่นผู้ให้ข่าวศาลรับใบสั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.30 น.วันที่ 27 ตุลาคม สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกเอกสารข่าวสำนักงาน เรื่องการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันเดียวกันนี้ โดยที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายนจนถึงปัจจุบัน มีผู้ให้ข่าวทางหนังสือพิมพ์ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเปิดเผยคลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้องกับการประชุมพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นลำดับ ดังนี้

1.เมื่อวันที่ 28 กันยายน ได้มีบุคคลข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญว่า มีคลิปที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ และได้ให้ข่าวกับ
หนังสือพิมพ์ข่าวสดว่า “ทราบว่า เวลานี้รังสีอำมหิตได้ส่งไปช่วยไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์” 
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน “พี่น้องประชาชนจะได้เห็นคลิปที่แสดงให้เห็นถึงความหายนะของกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญและคนไทยจะต้องตกตะลึงกับคลิปดังกล่าว ก็คือมีบุคคลคนหนึ่งไปรับงานเพื่อไม่ให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับมีการบันทึกภาพเอาไว้ได้”
“ค่อยดูกันความลับไม่มีในโลก เราเชื่อว่า หากไม่มีใบสั่งใด ๆ พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบไปนานแล้ว"

ต่อมาได้มีการเผยแพร่คลิปภาพนิ่ง ของประธานองค์มนตรี นั่งอยู่กับประธานศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะที่ทำให้สาธารณชนหลงเข้าใจผิดไปว่าได้มีใบสั่งไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ศาลในการพิจารณาหรือพิพากษาคดีอันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 139 และมาตรา 198 

พ่วงฟ้องอาญาคนนำคลิป5 ตอนแพร่ยูทูบ

2. เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ได้มีบุคคลไม่ทราบชื่อ นำคลิปวีดีโอจำนวน 5 คลิป โพสต์ไว้บนเว็บไซต์ยูทูบซึ่งในคลิปที่เปิดมีอยู่ 3 คลิปเป็นความลับการประชุมพิจารณาคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีผู้นำคลิปไปเผยแพร่ในเว็บไซด์จึงเป็นการนำความลับในราชการไปเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับ ซึ่งสอดคล้องกับที่มีบุคคลได้กล่าวข่มขู่ศาลไว้ดังกล่าวข้างต้น อันถือได้ว่า เป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 164 การกระทำของบุคคลที่ถ่ายคลิปในห้องประชุมของตุลาการดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 164 และมาตรา 323 

นอกจากนั้น ยังมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิด โดยดูหมิ่นและหมิ่นประมาทศาล โดยการให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์อีกหลายครั้งด้วยกัน

ถอนพาสปอร์ตข้าราชการ "พสิษฐ์"

ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ มอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น  และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินประเภทราชการ (Official Passport) ของนายพสิษฐ์  ศักดาณรงค์ เนื่องจากปัจจุบัน นายพสิษฐ์ได้พ้นจากตำแหน่งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

ย้ำห่วงบ้านเมืองไม่หวังตอบโต้คู่กรณีฝ่ายใดหากจำเป็นทำตามกฎหมาย

ในการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ยังได้แสดงความเป็นห่วงต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการดำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกลไกสำคัญของประเทศในฝ่ายอำนาจของตุลาการจึงได้กำหนดเป็นหลักการเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในกรณีที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยให้ยึดมั่นในหลักการของการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความมั่นคง หนักแน่น ในการดำรงรักษาความยุติธรรม ตามภาระหน้าที่ทางตุลาการของสถาบันศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ ไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการใดๆ อันเป็นการมุ่งตอบโต้หรือเป็นคู่กรณีกับฝ่ายใด หากจำเป็นต้องดำเนินการในเรื่องใดก็จะคำนึงถึงกระบวนการขั้นตอนตามหลักกฎหมาย เป็นที่ตั้ง

ดังนั้น เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว และเพื่อให้สาธารณชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากมีความจำเป็นต้องแจ้งข่าวสารใดให้ทราบ จะได้ทำการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน  เมื่อมีมติเป็นอย่างใดก็จะแถลงหรือมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้ทราบเป็นครั้ง ๆ ตามลำดับต่อไป

ปธ.กก.สอบคลิปเผยขีดเส้นสอบคลิปใน 15 วัน เร่งลงลึกในรายละเอียด

ก่อนหน้านี้ เวลา 17.30 น. วันเดียวกัน นายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบคลิป กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการที่ใช้เวลาการประชุมกว่า 4 ชั่วโมงว่า จากนี้ไปคณะกรรมการจะมีการประชุมให้ถี่ขึ้น เพื่อที่จะลงลึกในรายละเอียดตามกรอบอำนาจที่วางไว้ แต่คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดให้สื่อทราบได้ว่ามีผู้เกี่ยวข้องบุคคลใด เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดีได้

ทั้งนี้คณะกรรมการได้ยืนยันว่าจะสรุปการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่ 20 ตุลาคมตามที่กรอบที่กำหนดไว้ และไม่ควรที่จะขยายเวลาการตรวจสบอออกไปอีก และเมื่อสรุปข้อเท็จจริงเสร็จแล้วจะรายงานผลให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับทราบก่อนเสนอให้คณะตุลาการต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการจะเร่งสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็วและในวันพรุ่งนี้ (28 ตุลาคม) ก็จะมีการประชุมอีกครั้ง โดยหลังจะติดตามว่ากรรมการแต่ละคนมีความพร้อมที่จะประชุมอีกเมื่อใดซึ่งจะสามารถเรียกประชุมได้ในทันที 

ปัดสอบวิ่งเต้นโยนหน่วยงานอื่นจัดการ ยันกก.โปร่งใส

ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการสอบเรื่องเนื้อหาคลิปว่ามีการล็อบบี้วิ่งเต้นนั้น นายสนิท กล่าวว่า คงไม่สามารถตรวจสอบถึงเจตนาและเนื้อหาของคลิปดังกล่าวได้เพราะเป็นเรื่องที่หน่วยงานอื่นทำอยู่แล้วที่จะดำเนินการเอาผิดได้ แต่คณะกรรมการจะดูเพียงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะตุลาการว่ามีวิธีการอย่างไรที่ทำให้การประชุมตุลาการถูกเล็ดลอดออกไปภายนอกได้

เมื่อถามถึงพรรคเพื่อไทยการกล่าวหาว่าในคณะกรรมการตรวจสอบมี 4 คนที่พัวพันการทุจริตจัดซื้อรถประจำตำแหน่งตุลาการนั้น นายสนิทยืนยันว่าไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ เพราะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างนั้นไม่มีที่ไหนที่ถ้าคนทำสุจริตแล้วมาบอกว่าไม่สุจริต ยืนยันเรียกได้เลยว่าคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว


เล็งออกหมายจับคดีคลิปฉาว

คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธาน ได้เชิญตัวแทนคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนกรณีคลิปลับคดียุบ ปชป. ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ประกอบด้วย พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พล.ต.ต.สุรพล หอมชื่นชม ผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) และนายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีคลิปวิดีโอการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง เข้าชี้แจง เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม

พล.ต.ต.ปัญญาชี้แจงว่า เบื้องต้นหลังจากรวบรวมหลักฐาน และพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ว่าด้วยการดูหมิ่นศาล หรือขัดขวางการพิพากษาของศาล การนำข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ การแอบถ่ายตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร เชื่อมั่นว่า การสืบสวนน่าจะกระจ่างแน่นอน เนื่องจากผู้กระทำผิดทิ้งร่องรอยไว้เยอะ และน่าจะออกหมายจับคนร้ายได้ภายในสัปดาห์หน้า

พบหลักฐานสาวถึงคนทำผิด

พ.ต.อ.ศิริพงษ์ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดที่นำคลิปออกมาเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูบได้ แต่ขึ้นอยู่กับพยานและหลักฐาน จะใช้การสืบสวนโดยอาศัยบริบทแวดล้อม รวมถึงกระบวนการที่ทำให้เกิดคลิปวิดีโอ ทั้งวันที่ถ่าย วันที่อัพโหลด โดยได้ติดต่อไปยังเว็บไซต์ยูทูบ ซึ่งเป็นของบริษัทกูเกิล แต่ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา เพราะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน และรักษาข้อมูลของลูกค้า

ด้าน พ.ต.อ.สุพิศาลชี้แจงว่า คนร้ายทิ้งร่องรอยไว้เยอะ ตำรวจพบไอซีซี-ไอดี (หมายเลขที่กำหนดให้ใช้เฉพาะแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในโทรศัพท์มือถือ) จำนวน 20 ตัว ที่สามารถพิสูจน์คนทำผิด ซึ่งซุกอยู่ในระบบ visual computer ของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด โดยจะตามร่องรอยจากจุดนี้เพื่อสาวไปถึงตัวผู้กระทำผิดให้ได้ ทั้งนี้ เรื่องหลักฐานจากเว็บไซต์ยูทูบ จะใช้ "เอ็มแลบ" คือการร่วมมือทางอาญา ซึ่งจะใช้ช่องทางในการสืบสวนหรือได้พยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายโดยผ่านช่องทางกองการต่างประเทศ ร้องขอไปยังหน่วยงานสืบสวนกลางหรือเอฟบีไอ เพื่อให้ช่วยขอหมายศาลจากศาลสูง เพื่อขอข้อมูลจากบริษัทกูเกิล

รู้"พสิษฐ์"ไปพบใครที่ฮ่องกง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กมธ.หลายคนได้สอบถามถึงการเอาผิดกับผู้ที่มีเจตนาเอาคลิปมาเผยแพร่ได้หรือไม่ รวมถึงจะเชิญนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ในฮ่องกง มาสอบสวนได้หรือไม่ ซึ่ง พ.ต.อ.สุพิศาลชี้แจงว่า กรณีความผิดที่มีคนเอาเรื่องคลิปมาพูดก่อน ทางกองปราบปรามจะเก็บบรรยากาศของการสร้างเจตนาของบุคลที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งสำคัญต้องสอบพยานที่ได้มีการคุยเรื่องคลิปก่อนที่จะมีการเผยแพร่ รวมทั้งสอบถามว่า คลิปได้มาอย่างไร โดยจะนำให้ศาลพิจารณา หากเข้าข่ายก็จะให้ศาลออกหมายจับ

"กรณีนายพสิษฐ์ที่เดินทางไปฮ่องกง เจ้าหน้าที่รู้ตั้งแต่วันที่เดินทางออกไป โดยชุดสืบสวนได้เก็บภาพที่สนามบินสุวรรณภูมิไว้แล้ว ว่าใครไปส่ง ใครไปรับ หรือมีใครมาพบบ้าง โดยฝ่ายสืบสวนได้เก็บรายละเอียดไว้หมดแล้ว ส่วนที่เดินทางไปฮ่องกง ก็ได้เก็บข้อมูลไว้แล้วว่า ไปพบใคร หากออกหมายจับแล้ว จะขอความร่วมมือไปยังต่างประเทศเพื่อดำเนินการจับกุม" พ.ต.อ.สุพิศาลกล่าว

พท.จี้สอบตุลาการรธน.ในคลิป

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมนายเกียรติ์อุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พท. ในฐานะผู้ร้องร่วมกับนายทะเบียนพรรคการเมืองในคดียุบ ปชป. จากการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท เข้ายื่นหนังสือถึงนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านสำนักอำนวยกิจการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตรวจสอบว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญคนใดเป็นผู้พูดหรืออภิปรายในเนื้อหาของคลิป

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เนื้อหาที่ปรากฏเป็นคำพูดในคลิปของตุลาการ ถือเป็นสาระสำคัญที่ควรต้องตรวจสอบว่าตุลาการรัฐธรรมนูญผู้ใดเป็นผู้พูดหรืออภิปราย จะสอบเพียงแต่ที่มาของคลิป ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงขอให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง ได้สอบเนื้อหาและตุลาการผู้ที่ได้ปรึกษาหารือเรื่องดังกล่าวในคลิป เพื่อให้เกิดความกระจ่างกับสังคมที่สนใจติดตามเรื่องนี้ทราบต่อไป

ชี้ตั้ง"ลูกหลาน"ส่อผิดม.100

นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนได้แต่งตั้งบุตรและหลานเข้ามาเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการว่า พท.ได้รับหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา พบว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน ได้แต่งตั้งบุตรและหลานเข้ามาทำหน้าที่เป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ ก่อนที่ตนจะเปิดเผยก็มีตุลาการบางคนตอบโต้ว่า สามารถตั้งใครก็ได้มาเป็นเลขานุการ จึงอยากตั้งคำถามกลับไปว่า ถ้ามีบุตรหลานหรือเครือญาติของตุลาการไม่มาทำงาน แต่รับเงินเดือนทุกเดือน จะถือเป็นความผิดตามกฎระเบียบของทางราชการหรือไม่ และจะมีบทลงโทษอย่างไร หากบุตรหลานทำให้งานราชการเสียหาย จะมีใครกล้าออกคำสั่งลงโทษหรือไม่ และในกรณีที่บุตรหลานอาจมีการทุจริตด้วยการไปรับงานหรืออามิสสินจ้างในการวิ่งเต้นคดี ตุลาการรัฐธรรมนูญจะกล้าลงโทษบุตรหลานด้วยการกล่าวโทษดำเนินคดีทางอาญาหรือไม่

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐร่วมกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 วรรคท้าย ได้บัญญัติให้การพิจารณา สรรหา กลั่นกรอง หรือแต่งตั้งบุคคลใด จะต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวด้วย ดังนั้น การแต่งตั้งบุตรหลาน หรือคนรู้ใจมาเป็นเลขานุการหรือผู้ช่วยเลขานุการ จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรมและจริยธรรม ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะต้องทำสัญญาจ้างบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ดังกล่าว ทำให้สัญญาดังกล่าวส่อเป็นสัญญาในลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ตามมาตรา 100 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

"ชมรมกฎหมายภาคประชาชนจะไปยื่นเรื่องดังกล่าวให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ป.ป.ช. ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นจะมีการเปิดเผยชื่อของตุลาการรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งบุตรและหลานมาเป็นเลขานุการอีกครั้ง" นายพร้อมพงศ์กล่าว

ไล่บี้จัดซื้อรถประจำตำแหน่ง

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า การจัดซื้อรถยนต์ยี่ห้อเล็กซัส จำนวน 10 คัน ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า เป็นการจัดซื้อของตุลาการรัฐธรรมนูญชุดก่อน ถือเป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เนื่องจากที่ผ่านมาได้เคยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้และมีการชี้มูลว่า น่าจะไม่ถูกต้องและส่อไปในทางทุจริต โดยมีเจ้าหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน น่าจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ประกอบกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เคยเข้ามาตรวจสอบและทำหนังสือมาถึงสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า เมื่อมีมูลความผิดก็ควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนทางวินัย ซึ่งขณะนี้เวลาก็ผ่านมาประมาณ 3-4 เดือน แต่ยังไม่มีดำเนินการอะไร จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า ได้มีการต่อรองในเรื่องนี้กันหรือไม่ และอยากเรียกร้องไปยังนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่าการ สตง. ควรทำความจริงในเรื่องนี้ให้ปรากฏอีกครั้ง และควรทำหนังสือทวงถามทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้มีความคืบหน้าอย่างไร

"เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถ ทราบมาว่า มีถึง 4 คน ที่ได้มาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคลิปที่มีการแอบถ่ายในห้องประชุมตุลาการ ที่มีคณะกรรมการทั้งหมด 7 คนด้วย ซึ่งการที่ตั้งคนที่ยังมีปัญหามาตรวจสอบเรื่องสำคัญเช่นนี้ แล้วจะสามารถหาความจริงโดยปราศจากความกดดันได้อย่างไร ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการพูดว่า พวกผมมีต้นทุนต่ำในสังคม แต่ในวันนี้เรากำลังนำความจริงมาพูดให้สังคมได้รับรู้"นายพร้อมพงศ์กล่าว

สตง.ตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายพร้อมพงศ์ พร้อมคณะเข้ายื่นหนังสือพร้อมคลิปวิดีโอที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับคดียุบ ปชป. ถึงนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยระบุว่า นายอภิชาตจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเป็นผู้เสียหาย ควรดำเนินการเอาผิดผู้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวด้วย อีกทั้งในคลิป นายอภิชาตเป็นผู้ที่ถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าวพาดพิงถึง นายอภิชาตจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น นายอภิชาตจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง

ขณะที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส กล่าวถึงปัญหาการจัดซื้อรถประจำตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยี่ห้อเล็กซัส ว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ย้อนหลัง หลังได้รับรายงานเบื้องต้นว่า สตง.เคยมีการเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อดูว่ามีความคืบหน้าอย่างใดบ้าง และมีผลการสอบสวนออกมาอย่างเป็นทางการหรือยัง เท่าที่ทราบเกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อรถยนต์ดังกล่าว ยืนยันได้ว่า ขั้นตอนการดำเนินการไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันแต่อย่างใด เป็นการดำเนินการของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดเก่าที่พ้นวาระไปแล้ว


ปชป.สรุปคำแถลงปิดคดียุบ

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หนึ่งในคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบ ปชป. เปิดเผยภายหลังการประชุมทีมกฎหมายที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษา ปชป. เป็นหัวหน้าทีม ว่าที่ประชุมได้สรุปคำแถลงปิดคดีในคดีกล่าวหา ปชป.ช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์แล้ว โดยได้เพิ่มเอกสารที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจากเดิม 108 หน้า เป็น 115-119 หน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มรายละเอียดข้อมูล เพื่อให้มีน้ำหนักในสำนวนมากขึ้น และจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายในเช้าวันที่ 28 ตุลาคมนี้

"นายชวนและนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ ต่างแสดงความพอใจต่อการทำงานของคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ซึ่งนายชวนมีสีหน้ายิ้มแย้งแจ่มใส และได้กำชับให้ทีมกฎหมายลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย"นายวิรัตน์กล่าว

นายวิรัตน์กล่าวว่า ที่ประชุมไม่ได้หารือกันถึงกรณี พท.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบเนื้อหาในคลิป แต่เรื่องนี้ ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ซื้อได้ ก็ซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ก็ทำลาย กระบวนการรอบนี้จึงมุ่งทำลาย ซึ่งคลิปที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายต่อสถาบันองคมตรี และตุลาการ เป็นการกระทำอย่างน่าละอาย แต่ยืนยันว่าการเผยแพร่คลิปดังกล่าว จะไม่มีผลต่อรูปคดียุบ ปชป.
ที่มา:มติชนออนไลน์
****************************************************************

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คนเรานี่ก็แปลก...

ตอนเป็น“คนธรรมดาๆ” ไม่มี “ตำแหน่งอะไร” หรือมี “หัวโขนใดๆ” จะทำตัวดีน่าคบหาไปหมด...เจอใครที่รู้จักก็ทักทายกันตามประสาว่า “รู้จักกันดี” มาก-น้อย...เพียงใด

แม้แต่โทรศัพท์...ยังถือเอง...รับสายเอง โดยไม่เห็นต้องมี “เลขาฯ หน้าม้า” มาคอย “เสนอหน้า” แทน แต่พอ “มีอำนาจ” เมื่อไหร่...ผมเห็นมาหลายคนหลายวงการแล้วว่า... เปลี่ยนไปจริงๆ

เพราะจากการสัมผัสด้วยตัวเอง...จากบรรดา ก๊วนเพื่อนฝูงที่นั่งเฮฮา...หารือกันสารพัดเรื่องราว... ที่แต่ก่อน “ใครอาวุโสน้อยกว่า” ก็จะอ่อนน้อมถ่อม ตน...ทักทาย “คนที่มีอาวุโสมากกว่า”...อันถือเป็น เรื่องปกติธรรมดาในสังคมไทย ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่... อาทรกันและกัน

แต่ระยะหลัง...ที่ไปตามงานสังคมตามงานสังสรรค์ต่างๆ กลับได้เห็นถึง “วิวัฒนาการ” ในการเปลี่ยนแปลงของ “หลายคน” ที่เปลี่ยนจาก “หน้ามือ” เป็น “หลังมือ” จนทำให้อดนึกไม่ได้ว่า... “อำนาจ” มันทำให้คน...เหลวไหลได้ถึงเพียงนี้... เชียวหรือ???

เพราะเจอหน้ากัน...แทนที่จะทักทายกันปกติ เหมือนก่อน...“แต่พอมีอำนาจบาตรใหญ่” กลับไม่เห็นหัว “เพื่อนฝูง” เหมือนแต่ก่อน...โทรศัพท์ก็ถือเองไม่เป็น...นัดหมายอะไรแต่ละที...ก็ยุ่งยาก เสียจริงๆ ยิ่งได้ยินได้ฟัง...พรรคพวกมาเล่าสู่กันฟัง... ถึงปูมหลังแต่ละคนที่ “ใหญ่โต” ในเวลานี้...ก็ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่

ที่พูดนี้...เหมารวมทั้งแวดวงธุรกิจ-การเมือง-การทหาร...ที่ “แต่ละคน” ทั้งที่ผมรู้จักดี-เคยรู้จัก...และแสดงออกมาให้ได้เห็น...ทั้งผ่านเพื่อนฝูง-ญาติมิตร...และแม้กระทั่งได้เห็น “ด้วยตัวเอง”... แบบไม่ต้องให้ใครมา “บอก” หรือมา “ฟ้อง”

ที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “นักการเมืองไทย” นี่เอง...หลายคนไม่ว่าจะอยู่ฟากไหน-ซีกไหน-พรรคไหน-กลุ่มไหน...พอยัง “ไร้อำนาจ” ก็ทำตัวน่ารัก-น่าคบหา-น่าทะนุถนอม แต่พอมีอำนาจมีตำแหน่งใหญ่โตแล้ว...ก็หยิ่งผยอง... นัดหมายอะไร ก็ยุ่งยาก แถมยัง “จองหอง” โชว์ให้ “คนรู้จัก” กันได้เห็นธาตุแท้อีกด้วย

แต่ที่ตลกก็คือ “คนเหล่านี้” พอไร้อำนาจไร้วาสนาทางการเมืองแล้ว...ก็หันกลับมาเป็น “คนเดิมๆ” ที่เคยได้เห็น...โดยที่ไม่มีอาการเคอะ เขิน...ว่าตัวเองเคยทำตัว “คางคกขึ้นวอ” มาก่อน!!!

หรือว่านี่คือ “สันดานของนักการเมืองพันธุ์แท้” ที่หากอยากจะเป็น “คนการเมือง ตัวจริง” ก็ต้องทำตัวเยี่ยงนี้...และต้องทำตัวให้ดูเหมาะสมกลมกลืน...ตามสถานการณ์ที่ตัวเอง “มีอำนาจ” หรือ “ไม่มีอำนาจ” โดยไม่สนใจ คนอื่นๆ ที่ต้องมาคอยรับรู้รับอารมณ์...ของเขา เลย...ว่าเห็นแล้ว “มันสุดแสนจะสมเพช” และ “เวทนา” ขนาดไหน...

ทุเรศจริงๆ...ขอบอก!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
*************************************************

ส.ส.ในพื้นที่น้ำท่วม หลังน้ำลดเจอศึกน้ำลาย

โดย : บายไลน์ Resercher & Rewriter

ขานชื่อส.ส.โซนน้ำท่วม ใครเป็นใคร..ในวันวิกฤต หลังน้ำลดเจอ"ศึกน้ำลาย"

อุทกภัยในต้นฤดูหนาว พ.ศ.นี้ ขยายวงกว้างเกินกว่าที่คาดคิด ทั้งที่ราบสูง และที่ราบลุ่ม ข้อมูลล่าสุด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สรุปรายงานสถานการณ์ในช่วงวันที่ 10 - 23 ต.ค. 2553 พบว่า มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 30 จังหวัด 196 อำเภอ 1,419 ตำบล 9,365 หมู่บ้าน ปัจจุบันอุทกภัยคลี่คลายแล้ว 2 จังหวัด

ภาครัฐ ทั้งในส่วนฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการ ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การบริหารจัดการในภาวะวิกฤติมีปัญหา ไม่ทันท่วงที และไม่ประสานงานกัน

สำหรับนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน ทั้งฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้าน ไม่สู้จะมีข่าวคราวว่าได้แสดงตัวตนช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่อย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงขอขานชื่อ ส.ส. 10 จังหวัด ที่จมบาดาลหนักที่สุดสิบกว่าจังหวัดดังนี้

นครราชสีมา ถึงขั้นประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทั้งจังหวัด น้ำท่วม 31 อำเภอ 376 ตำบล 2 ,158 หมู่บ้าน
พื้นที่น้ำท่วมส่วนใหญ่ เป็นอำเภอในเขตเลือกของ ส.ส.เขต สังกัดพรรคร่วมรัฐบาลคือ พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา และ พรรคภูมิใจไทย
เขต 1 วัชรพล โตมรศักดิ์ รวมชาติพัฒนา นายประเสริฐ บุญชัยสุข พรรครวมชาติพัฒนา นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล พรรครวมชาติพัฒนา
เขต 2 ประนอม โพธิ์คำ เพื่อแผ่นดิน ,จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล เพื่อแผ่นดิน ,พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ เพื่อไทย
เขต 3 บุญเลิศ ครุฑขุนทด เพื่อไทย, ลินดา เชิดชัย เพื่อไทย, ประเสริฐ จันทรรวงทอง เพื่อไทย
เขต 4 ทัศนียา รัตนเศรษฐ รวมชาติพัฒนา, ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เพื่อแผ่นดิน, อนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ เพื่อแผ่นดิน
เขต 5 ภิรมย์ พลวิเศษ ภูมิใจไทย, สมชัย ฉัตรพัฒนศิริ รวมชาติพัฒนา เขต 6 พลพีร์ สุวรรณฉวี เพื่อแผ่นดิน

ชัยภูมิ เป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรองลงมาจากโคราช น้ำท่วม 16 อำเภอ 113 ตำบล 1,305 หมู่บ้าน
ส.ส.เขตเกือบทั้งจังหวัดเป็นฝ่ายค้าน มี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลอยู่เพียงคนเดียว
เขต 1 เชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ ชาติไทยพัฒนา,เจริญ จรรย์โกมล เพื่อไทย,มานะ โลหะวณิชย์ เพื่อไทย
เขต 2 สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ เพื่อไทย,ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ เพื่อไทย
เขต 3 ปาริชาติ ชาลีเครือ เพื่อไทย, สุนทรี ชัยวิรัตนะ เพื่อไทย

ลพบุรี เป็นจังหวัดในที่ราบลุ่มภาคกลางที่โดนหนักที่สุดใน น้ำท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ 120 ตำบล 1,012 หมู่บ้าน
เขตเลือกตั้งที่เจอภัยธรรมชาติหนักหนาสาหัส จะเป็นพื้นที่ของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล
เขต 1 มัลลิกา จิระพันธ์วาณิช ชาติไทยพัฒนา, ผ่องศรี ธาราภูมิ ประชาธิปัตย์,สุชาติ ลายน้ำเงิน เพื่อไทย
เขต 2 อำนวย คลังผา เพื่อไทย,นิยม วรปัญญา เพื่อไทย

พระนครศรีอยุธยา เจอภาวะน้ำเอ่อล้นจาก 3 แม่น้ำคือ เจ้าพระยา, ลพบุรี และแม่น้ำน้อย ท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ 54 ตำบล 297 หมู่บ้าน กรุงเก่าเป็นพื้นที่ ส.ส.เขตค่อนจังหวัด เหลือเพียงหนึ่งเดียวคือชาติไทยพัฒนา
เขต 1 สุรเชษฐ์ ชัยโกศล เพื่อไทย, พ้อง ชีวานันท์ เพื่อไทย, เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ชาติไทยพัฒนา
เขต 2 สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล เพื่อไทย, วิทยา บุรณศิริ เพื่อไทย

สระบุรี เป็นที่ราบภาคกลางอีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งเจอน้ำทะลักจากเขื่อนป่าสัก และน้ำล้นจากทางด้านอยุธย น้ำท่วมในพื้นที่ 13 อำเภอ 111 ตำบล 973 หมู่บ้าน
พื้นที่น้ำท่วมเป็นเขตเลือกตั้งของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด
เขต 1 กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ประชาธิปัตย์,ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ภูมิใจไทย
เขต 2 วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ ประชาธิปัตย์, องอาจ วงษ์ประยูร ประชาธิปัตย์

ชัยนาท น้ำท่วมพื้นที่ 7 อำเภอ 40 ตำบล 342 หมู่บ้าน
ส.ส.เขตมี 2 คน แยกกันอยู่คนละพรรค เขต 1 ชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง เพื่อไทย,พรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ภูมิใจไทย

สุพรรณบุรี น้ำท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ 61 ตำบล 304 หมู่บ้าน
ดั่งที่ทราบกัน เมืองสุพรรณเป็นฐานที่มั่นของพรรคชาติไทยพัฒนา หรือ "บรรหารยกจังหวัด"
เขต 1 นพดล มาตรศรี, นิติวัฒน์ จันทร์สว่าง, ชาญชัย ประเสริฐสุวรรณ เขต 2 เจรจา เที่ยงธรรม, พัชรี โพธสุธน

อ่างทอง น้ำเจ้าพระยาไหลเข้าท่วมพื้นที่ 7 อำเภอ 52 ตำบล 215 หมู่บ้าน
ในทางการเมือง ก็เป็นพื้นที่ของพรรคชาติไทยพัฒนาเหมือนกัน ส.ส.เขต จึงมีนามสกุลเดียวกันคือ ภราดร ปริศนานันทกุล และภคิน ปริศนานันทกุล

นนทบุรี ปลายน้ำที่กำลังอ่วมจากน้ำเหนือและน้ำหนุน เข้าท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ
ส.ส.เขตก็แบ่งกันไป ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
เขต 1 อุดมเดช รัตนเสถียร เพื่อไทย,นิทัศน์ ศรีนนท์ เพื่อไทย,มานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์ ภูมิใจไทย
เขต 2 ณรงค์ จันทนดิษฐ ประชาธิปัตย์,ทศพล เพ็งส้ม ประชาธิปัตย์,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เพื่อไทย

ปทุมธานี น้ำท่วมซ้ำซาก เพราะเจอน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ,เขื่อนป่าสัก และเขื่อนท่าด่าน
จังหวัดนี้ "เพื่อไทยยกจังหวัด" ทั้งเขต 1 สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล, สุทิน นพขำ เขต 2 พรพิมล ธรรมสาร, ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี, ชูชาติ หาญสวัสดิ์ พรรคเพื่อไทย

บุรีรัมย์ กลายเป็นเมืองทางผ่านของน้ำที่ไหลมาจากโคราช ทำให้ท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ
แม้ ส.ส.เขตอาจจะมีบางพรรคแทรกเข้ามา แต่โดยส่วนใหญ่ ก็อยู่ในสังกัด "บ้านใหญ่ชิดชอบ" โดยเฉพาะพื้นที่ลำปลายมาศ ของ โสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม

ส่วนที่เหลือเกือบ 20 จังหวัด น้ำท่วมกระจายตัว ได้รับผลกระทบไม่หนักเท่ากับจังหวัดที่กล่าวมาข้างต้น
ว่ากันว่า "น้ำท่วม" หรือ "แล้งเข็ญ" ล้วนเป็นวาทกรรมที่ "นักเลือกตั้ง" ใช้ประโยชน์ในทางการเมืองได้ทั้งสิ้น

น้ำท่วม-ตอผุด


โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


หาย นภัยน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายมโหฬาร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงว่ามีพื้นที่การเกษตรเสียหายไปแล้ว 4 ล้านไร่ ยังมีพื้นที่เขตเมืองที่ถูกน้ำท่วมอย่างหนักอีกหลายแห่ง ที่กล่าวขวัญกันมากคือโคราชจมน้ำไปทั้งเมือง (และจะตามมาด้วยเมืองอื่นตามลำน้ำมูล กว่าที่น้ำจะไหลลงแม่น้ำโขงได้) เมืองใหญ่ในลุ่มเจ้าพระยาได้สร้างพนังกั้นน้ำไว้แล้ว จึงอาจไม่จมทั้งเมืองอย่างโคราช แต่ชนบทที่รายรอบเมือง รวมทั้งเมืองเล็กที่ไม่มีพนังกั้นน้ำ ก็จะเผชิญกับการเอ่อล้นของแม่น้ำเจ้าพระยาในอนาคตอันใกล้นี้

คำอธิบายภัยธรรมชาติครั้งนี้คือ ปรากฏการณ์ลานิญามาเร็วกว่าที่เคย ทำให้ปลายฤดูฝนกลับมีฝนตกชุกอย่างที่ไม่เคยเป็นมา ผลก็คือน้ำบนภูเขาทะลักลงมาอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะรับมือทัน


คำอธิบายนี้คงไม่ผิดในตัวเอง แต่ไม่ได้ตอบปัญหาความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะฝนมากและถี่อย่างเดียวไม่เพียงพอจะอธิบายได้ ส่วนใหญ่ของความเสียหายเกิดจากการจัดการ ไม่ใช่เกิดจากน้ำ ความล้มเหลวในการจัดการนั้นไม่เฉพาะแต่การจัดการน้ำเท่านั้น แต่รวมถึงการจัดการอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำอีกมากมายหลายอย่าง

ที่พูดกันมากก็คือ น้ำท่วมเกิดจากความสูญเสียพื้นที่ป่า ซึ่งจะสามารถซับน้ำให้ไหลลงจากภูเขาช้าลง (ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของป่าในแง่นี้ยังถกเถียงกันอยู่ในวงวิชาการ เพราะมีบางทรรศนะที่เห็นว่าป่าไม่สามารถทำหน้าที่ซับน้ำในลักษณะนี้ได้เลย) แต่การสูญเสียพื้นที่ป่า ไม่ได้เกิดจากผู้คน (ทั้งนายทุนและชาวบ้าน) เข้าไปบุกรุกป่าเท่านั้น แท้จริงแล้วดูจะเป็นนโยบายของรัฐที่จะส่งเสริมโดยทางอ้อมให้เกิดขึ้นด้วย

พืช เศรษฐกิจซึ่งทำเงินหล่อเลี้ยงการพัฒนาในระยะต้นนั้น จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ป่าและจำนวนมากเป็นพื้นที่ "ชายขอบ" ของการเกษตร เพราะกำไรจากการปลูกพืชเศรษฐกิจมีน้อยมาก จนเกินกว่าใครอยากจะลงทุนกับปัจจัยการผลิตคือที่ดินมากนัก ฉะนั้นผู้คนจึงบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ "ป่า" โดยจับจองหรือซื้อต่อจากรายอื่นในราคาไม่แพงนัก ในที่สุดก็สูญเสียที่ดินนั้นไปให้แก่ผู้อื่น เพราะความผันผวนของราคาพืชผล และการถูกเอาเปรียบในทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถตั้งตัวกับพืชเศรษฐกิจได้ บ้างก็รุกป่าต่อไป บ้างก็หันเข้าเมืองเพื่อหาอาชีพรับจ้าง

นโยบายของรัฐในระยะหลังคือ การปลูกพืชเศรษฐกิจที่คาดว่าสามารถทำกำไรได้ดี โดยเฉพาะยางพารา ผลคือพื้นที่ไร่ซึ่งโค่นถางป่าจนเรียบราบไปแล้ว ถูกเปลี่ยนมาปลูกพืชเชิงเดี่ยวกันมากขึ้น แม้เป็นไม้ใหญ่ แต่พืชเชิงเดี่ยวที่หยั่งรากลงดินในระดับเดียวกัน ทำให้เกิดดานที่ราบเรียบเสมอกันใต้พื้นดิน เมื่อโดนฝนกระหน่ำลงเป็นเวลานาน ดินผิวหน้าก็เลื่อนไหลลงจากดานกลายเป็นดินถล่ม สร้างความเสียหายแก่พื้นที่เบื้องล่าง ซึ่งมักเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยอย่างหนัก

ในขณะเดียวกัน รัฐก็ปล่อยให้การถือครองที่ดินเป็นการเก็งกำไรทางเศรษฐกิจที่มั่นคงปลอดภัย และคุ้มทุนที่สุด ทำให้คนมีทรัพย์นิยมที่จะลงทุนถือครองที่ดิน อาจใช้ประโยชน์ในธุรกิจท่องเที่ยว หรือถึงไม่ทำอะไรเลย ก็คาดหวังได้ว่าจะทำกำไรในตอนขายได้มาก

ตราบเท่าที่นโยบาย การเกษตรและการจัดการที่ดินยังเหมือนเดิม ป่าก็ต้องสูญเสียพื้นที่ต่อไป ไม่ว่าจะกวดขันให้เจ้าหน้าที่ที่ดินและป่าไม้เข้มงวดสักเพียงไร และปรากฏการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง, ภาคกลางและภาคอีสานก็จะเกิดขึ้นเป็นประจำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เขื่อน และอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อตอนจะสร้างก็มักให้เหตุผลไว้ข้อหนึ่งว่า ป้องกันน้ำท่วม แต่น้ำท่วมทุกครั้งรวมทั้งครั้งนี้ พิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ ในครั้งนี้ เขื่อนหลายต่อหลายแห่งต้องรีบปล่อยน้ำลงมาซ้ำเติม เพราะเสี่ยงที่จะเกิดเขื่อนแตก (และเขื่อนเอกชนของสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งก็แตกจริงๆ ด้วย ก่อความเสียหายแก่ชาวบ้านอย่างหนัก แต่จนบัดนี้ยังไม่สามารถเอาเจ้าของเขื่อนมารับผิดชอบได้) บางท่านอาจจะกล่าวว่า เพราะเขื่อนไม่รีบพร่องน้ำไว้ก่อน ทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำฝนหนักในปลายฤดูได้ แต่กระบวนการตัดสินใจพร่องน้ำ พร่องมากน้อยเพียงไร พร่องช่วงไหน ฯลฯ นั้น เป็นอย่างไร มีข้อมูลหรือประสิทธิภาพเพียงใด ไม่มีใครทราบ แต่ที่แน่นอนก็คือขาดการประสานความรู้ของหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง

อันที่จริง เขื่อนจำนวนมาก ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อจัดการน้ำ แต่สร้างขึ้นเพื่อกำเนิดพลังงาน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานเท่ากับที่อ้างไว้ในแผน เขื่อนเหล่านี้นอกจากสร้างความเสียหายให้แก่ระบบนิเวศอย่างหนัก จนทำให้ไม่คุ้มทุนในการก่อสร้าง ยังเป็นตัวระบายน้ำลงมาซ้ำเติมในขณะที่เกิดฝนชุกอีกด้วย บางครั้งก็เพิ่มพลังการผลิตโดยไม่แจ้งล่วงหน้าแก่ประชาชนท้ายเขื่อน

แต่ เขื่อน - ไม่ว่าจะสร้างเพื่อจัดการน้ำ หรือกำเนิดพลังงาน - เป็นโครงการที่ทุจริตได้ง่ายที่สุด ฉะนั้นจึงมีเสน่ห์ดึงดูดให้นักการเมืองและข้าราชการร่วมมือกันผลักดันการ สร้างเขื่อนอยู่ตลอดมา หมดพื้นที่ในประเทศไทยที่จะสร้าง ก็ย้ายไปสร้างในประเทศเพื่อนบ้านคือลำน้ำสาละวินและโขง

นโยบาย จัดการน้ำและพลังงานที่มุ่งจะป้อนน้ำและพลังงานให้แก่ภาคอุตสาหกรรมต่างหาก ที่ทำให้น้ำท่วมหนัก

อีกด้านหนึ่งของความเสียหายจากน้ำท่วม ซึ่งสื่อบางชนิดเฝ้าติดตามมาอย่างต่อเนื่อง คือระบบเตือนภัย แม้ว่าน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้เกิดภัยพิบัติอย่างหนักถึงขั้น "ตายหมู่" แต่ระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพก็สามารถบรรเทาความเสียหายที่เกิดแก่ชาว บ้านได้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงความทุลักทุเลของหน่วยงานบางแห่ง เช่น โรงพยาบาล เป็นต้น

หลายชุมชนทั้งในเมืองและนอกเมืองประสบภัยน้ำท่วมครั้งนี้ อย่างแทบไม่รู้เนื้อรู้ตัว บางชุมชนถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิงเพราะอพยพหลบภัยไม่ทัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกี่ยวข้องและสื่อมักจะมองความไร้ประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยที่ เทคโนโลยี สิ่งนั้นขาด สิ่งนี้ขาด หากมีเครื่องมือพร้อม ทุกอย่างก็จะดำเนินไปได้ด้วยดี

แต่ความบกพร่องของระบบเตือนภัยไม่ได้ อยู่ที่เทคโนโลยียังไม่พร้อม ที่สำคัญกว่านั้นคือการจัดการต่างหาก เช่นเดียวกับการจัดการทุกอย่างในประเทศไทย ระบบเตือนภัยธรรมชาติของเรามีลักษณะรวมศูนย์เช่นเดียวกัน แม้มีการตั้งมิสเตอร์เตือนภัยขึ้นในบางชุมชนที่ถือว่าเป็นชุมชนเสี่ยง แต่การประสานงานภายในชุมชนเองกลับไม่ช่วยให้มิสเตอร์ทำงานอย่างได้ผล เพราะชุมชนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในการจัดระบบเตือนภัยของตนเอง เป็นความคิดและจัดการของราชการฝ่ายเดียว

ยิ่งกว่านี้ หากพิจารณากรณีน้ำท่วม ย่อมเห็นได้ว่าเป็นภัยธรรมชาติที่ระบบเตือนภัยควรมีเครือข่าย กล่าวคือแจ้งเตือนกล่วงหน้าแก่ชุมชนอื่นๆ ได้ตลอดเส้นทางน้ำ เครือข่ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้จากการจัดการของชาวบ้านเอง ไม่ใช่คำสั่งของราชการ

ระบบบริหารรัฐกิจของไทย ไม่เฉพาะแต่เรื่องของภัยธรรมชาติ แต่ทุกเรื่อง มีลักษณะรวมศูนย์อย่างแทบจะหาประเทศใดมาเทียบได้ยาก ระบบเช่นนี้เป็นระบบที่ไร้ประสิทธิภาพ และเอื้อต่อการทุจริตฉ้อฉลในทุกรูปแบบ น้ำจะท่วมเมืองไทยไม่เลิก ตราบเท่าที่เรายังรวมศูนย์การบริหารเช่นนี้

มองให้เลยไกลไป จากน้ำ ก็จะเห็นความบกพร่องของระบบที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ภัยธรรมชาติทำความเสียหายให้แก่ผู้คนได้ระดับหนึ่ง แต่ภัยสังคมต่างหากที่ทำให้ความเสียหายนั้นขยายตัวอย่างไร้ขีดจำกัด และบั่นทอนพลังของสังคมที่จะฟื้นตัวได้ในเวลาอันสมควร

จำเป็น ต้องกล่าวด้วยว่า สื่อมีส่วนอย่างมากในการทำให้สังคมไทยไม่มองน้ำท่วมมากไปกว่าน้ำ, ลานิญา และพายุฝน ดังนั้น เมื่อน้ำลด "ตอ" ซึ่งคือตัวความบกพร่องของระบบก็กลับจะจมหายลึกลงไปในความไม่ใส่ใจของสังคม รอน้ำระลอกใหม่ที่จะไหลลงมาท่วมท้น จนทำให้สื่อไม่ต้องสนใจ "ตอ" อีกตามเดิม

ไม่มีสังคมใดในโลกที่ไม่เคยผิดพลาด แต่ทุกสังคมควรมีสมรรถภาพที่จะแก้ไขตัวเองได้ ส่วนหนึ่งที่สังคมไทยไร้สมรรถภาพในแง่นี้ ก็เพราะเรามีสื่ออย่างที่เรามีอยู่ในขณะนี้

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก

ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก
หมายเหตุ: คัดลอกจากเรียงความของนักเรียน ป.4 คนหนึ่ง ซึ่งเขียนส่งอาจารย์เป็นการบ้านวิชาสังคมศึกษา

ถ้าฉันเป็นนายกรัฐมนตรี ในประเทศที่กำลังมีภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี
กินพื้นที่กว่า 30 จังหวัดหรือเกือบครึ่งประเทศ
ผู้คนเดือดร้อนหลายล้านคน
เป็นเวลายาวนานเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็ม
…. ฉันจะ

ฉันจะสั่งทำถุงยังชีพ ให้ข้างถุงเขียนว่า “มาจากภาษีประชาชน” ไม่ต้องให้ใครได้ “เอาหน้า” เพราะประชาชนเป็นคนทำงานเสียภาษีให้รัฐทุกปีอยู่แล้ว
ฉันจะจัดตั้ง “ศูนย์กลางแก้วิกฤติ” อย่างด่วนที่สุด ไม่รอให้เนิ่นช้ากว่า 7 วัน ไม่ปล่อยให้ “รัฐบาล” ซึ่งกินภาษีประชาชน ทำงานเชื่องช้ากว่าประชาชนด้วยกันเอง

ฉันจะเอา “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ศอฉ.” นั่นแหละมาปัดฝุ่นแล้วลุยงานเลย เพราะฉันเชื่อว่า “น้ำท่วม” ก็เป็นเรื่อง “ฉุกเฉิน” ของชาติเช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะภารกิจปราบม็อบเสื้อแดงเท่านั้นที่ฉุกเฉิน

ฉันจะตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าศูนย์ เพราะฉันคือผู้นำประเทศ และนี่คือช่วงเวลาที่ประเทศต้องการผู้นำ
ฉันจะไม่ตั้งที่ปรึกษาฯของฉันซึ่งไม่มีอำนาจอะไรทางกฏหมาย เป็นหัวหน้าศูนย์ โดยเฉพาะหากที่ปรึกษาคนนั้นเคยต้องลาออกจากตำแหน่งการเมืองด้วยเรื่องอื้อฉาวในอดีต

ฉันจะเอาข้อมูลทั้งหมดมาประมวลในภาพกว้าง ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่า “น้ำ” ที่ท่วมหนักที่สุดในรอบ 50 ปีนั้นมาจากไหน มาอย่างไร มาเมื่อไหร่ แล้วมันแตกต่างจากน้ำในปีก่อนๆอย่างไร และทำไมถึงต่าง
ฉันจะต้องรู้ด้วยว่าพื้นที่ไหนบ้างที่เดือดร้อนไปแล้ว พื้นที่ไหนกำลังเดือดร้อนในตอนนี้ และ พื้นที่ไหนที่น้ำจะท่วมต่อไปในวันพรุ่งนี้
และที่สำคัญคือ เมื่อไหร่ทุกอย่างจะคลี่คลาย
พื้นที่ไหนกำลังเดือดร้อน ฉันจะจัดแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ (แดง เหลือง เขียว) ฉันอยากรู้ด้วยว่าในพื้นที่แต่ละแบบนั้นมีประชาชนอยู่กี่คน จุดไหนบ้าง พื้นที่ไหนเป็นสภาพเมือง พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่การเกษตร ฉันจะได้ส่งการช่วยเหลือไปอย่างเหมาะสม

ฉันจะกำหนดให้ศูนย์กลางแก้วิกฤติเป็นมากกว่า “คนประสานงาน” ระหว่างหน่วยงานราชการที่เชื่องช้า
ศูนย์กลางของฉันจะต้องทำหน้าที่ “บริหารทรัพยากร” ที่มีอยู่ให้ใช้ไปอย่างถูกที่ ถูกเวลา ด้วย
เงินทองที่เบิกจ่ายต้องโปร่งใสรวดเร็ว
ประมวลข้อมูลจากภาคสนามอย่างทันท่วงที
และประสานรับ “น้ำใจ” จากภาคเอกชนอย่างเป็นระบบ

ดังนั้น ศูนย์ของฉันจะมีข้อมูลรายละเอียดว่าวันนี้ อำเภอไหนบ้างที่ขาดไฟฉายเข้าขั้นวิกฤต
ตำบลใดรับข้าวสารไปหุงกินเองได้ ตำบลใดต้องการอาหารสำเร็จรูปมากกว่า
เส้นทางไหนต้องใช้เรือ ใช้กี่ลำ มีคนติดอยู่แถวนั้นกี่คน
ฉันจะรู้ด้วยว่าถึงนาทีนี้ข้าวสาร น้ำดื่ม ทั้งที่จัดซื้อมาเอง และประสานกับภาคเอกชนนั้น มีกี่ขวด
แจกจ่ายไปจุดไหนบ้างแล้ว ไปถึงที่หมายช้าเร็วแค่ไหน
มีใครได้เกินความจำเป็นหรือไม่ มีใครที่ขาดแคลนอย่างหนักแต่ยังไม่ได้หรือเปล่า
เงินบริจาคทุกบาทจะต้องทำบัญชี แสดงที่มาที่ไป หน่วยงานไหนรับบริจาคมาเท่าไหร่ ต้องแสดงให้ชัดเจน เพราะมันจะมีผลต่อการกล่าวอ้างเพื่อยกเว้นภาษี อีกทั้งป้องกันไม่ให้เกิดการฉ้อฉลโดยใช้ความเดือดร้อนของคนร่วมชาติเป็นเครื่องมือ
อ้อ .. ฉันจะแจ้งให้กลุ่ม “ชาตินิยม” ทั้งหลายทราบด้วยว่า ตอนนี้แหละคือเรื่องของ “ชาติ” จริงๆ เพราะมันคือเรื่องของคนตัวเป็นๆที่อยู่ในประเทศเดียวกัน ไม่ใช่ที่ดินผืนน้อยที่มีปัญหามาแต่โบราณ ใครอยากกู้ชาติ อยากพลีชีพ เชิญได้เต็มที่ในครั้งนี้ อย่ามัวแต่ไปต่อแถวกินโดนัท
ฉันจะต้องรู้ด้วยว่า “พื้นที่ปลอดภัย” ในแต่ละอำเภอ แต่ละจังหวัดนั้นมีที่ไหนบ้าง จุดไหนที่สามารถอพยพผู้คนเข้าไปได้ จุดไหนยังเสี่ยง

ฉันจะจัดทำแผนอพยพที่ชัดเจน จะไปเส้นทางใด ใช้พาหนะใด ใช้เวลาเดินเท่าไหร่ และที่สำคัญ วันนี้ปลอดภัยแล้วพรุ่งนี้จะปลอดภัยไหม ข้อมูลวิทยาศาสตร์ทำนายว่าอย่างไร
ดังนั้นหากรู้ว่า น้ำกำลังไหลจาก อำเภอ ก. ไป อำเภอ ข. ภายใน 12 ชั่วโมง ฉันจะได้สั่ง “อพยพ” ผู้คนได้ล่วงหน้า ทันเวลา ไม่ใช่เพียงแต่ทำงาน “ตามปัญหา”

ด้วยความที่ฉัน (และศูนย์กลางของฉัน) มีข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน เห็นภาพกว้างที่สุด ฉันจะสามารถ “ประสาน” แนวทางการทำงานของแต่ละกลุ่ม ทั้งส่วนราชการต่างๆ หรือส่วนเอกชนอย่างอาสาสมัครกู้ภัย หรือกระทั่งสื่อมวลชน

ทุกคนจะได้ทำงานไปใน “ทาง” เดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน และได้ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ซ้ำซ้อน ลักลั่น ไร้ทิศทาง

ฉันเชื่อว่าในสภาวะวิกฤติเช่นนี้ การส่งทรัพยากรอันจำกัดไปให้ถูกที่ ถูกเวลา นั้นสำคัญมาก – ใครขาดน้ำดื่มต้องได้น้ำดื่ม ใครขาดอาหารแห้งต้องได้อาหารแห้ง ใครป่วยต้องได้ถูกเคลื่อนย้ายออกมาทันที – เพราะการใช้ทรัพยากรไปหนึ่งครั้ง มันมีค่าเสียโอกาสอยู่ด้วย
เรือที่ออกไปแจกข้าวสาร สามารถใช้ไปรับคนป่วยได้เช่นกัน
เราเพียงต้องรู้ให้ชัดว่าเมื่อไหร่ควรใช้อะไร ทำอะไร เพื่ออะไร
ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ มันต้องมีข้อมูลมุมกว้าง และต้องตัดสินใจอย่างจากภาพรวม
สำหรับพื้นที่ไหนที่น้ำยังไปไม่ถึง ฉันจะสั่งให้รีบ “เตรียมตัว” รับมือ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเอากระสอบทรายมา “กั้น” น้ำเพียงอย่างเดียว แต่ต้องหมายถึงการเตรียมทางหนี ทีไล่ ระบบแจ้งเตือน จัดพื้นที่ปลอดภัยไว้รอรับปัญหา จัดอาหาร ยารักษาโรค ไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน

พื้นที่ไหนน้ำเริ่มลดแล้ว ฉันจะเร่งช่วยเหลือประชาชน ซึ่งไม่ได้หมายถึงการ “แจกเงิน” อย่างมักง่ายเพียงอย่างเดียว เพราะฉันรู้ดีว่าเงินมีจำกัด และในสภาวะฉุกเฉินนั้น เงินอาจไม่ต่างจากกระดาษปึกหนึ่ง ที่อาจเอาไปซื้ออาหารมากินได้ไม่กี่มื้อ

ฉันจะเร่งช่วยเหลือประชาชนในช่องทางอื่นด้วย เช่น อาจได้เวลาปล่อยสต๊อกข้าวในยุ้งของรัฐ อาจประสานงานกับภาคเอกชนว่าต้องการ “สินค้าเกษตร” เป็นของบริจาค และ อาจเอางบประมาณฉุกเฉินมา “จ้างงาน” ผู้ประสบภัยให้ “ทำอาหาร” แจกจ่ายคนอื่นๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยประชาชนได้ถึงสองต่อ (มีงานทำ ได้เงิน มีกิน) – ฉันหวังว่าไอเดียแบบเด็ก ป.4 ของฉันจะไม่ไร้เดียงสาเกินไปนัก
ฉันจะทำงานด้วยสำนึกในกะโหลกว่า “ผู้นำ” ประเทศมีหน้าที่รับทราบข้อมูล ประมวลผลในภาพกว้าง กำหนดกลยุทธ์ แนวทาง เป้าหมาย และ “ตัดสินใจ” ในทางเลือกสำคัญๆ

ผู้นำประเทศไม่ได้มีหน้าที่เพียง “รับฟัง” แล้วปล่อยให้ลูกน้องทำงานไปวันๆตามมีตามเกิด
ฉันรู้ดีว่าแนวทางเช่นนี้สำคัญมากในการ “บริหารวิกฤติ” และในฐานะ “นายกฯมือใหม่” ฉันจะตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด
เพราะจะว่าไป “น้ำท่วม” อาจเป็นภัยพิบัติที่ “เบา” ที่สุดแล้ว หากเทียบกับ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ หรือ ไวรัสระบาด

ฉันจะไม่ออกเดินทางพร่ำเพรื่อ หรือหากจะออกภาคสนาม ก็จะใช้ทรัพยากร (เช่น เจ้าหน้าที่ หรือ ยานพาหนะ) อย่างน้อยที่สุด เพราะสิ่งเหล่านั้นควรถูกนำไป “แก้ปัญหา” มากกว่ามาดูแลฉัน
ฉันจะพูดให้น้อย ทำงานให้มาก พูดเฉพาะเรื่องสำคัญๆ
เพราะรัฐบาลของฉันมีโฆษกกินเงินเดือนอยู่แล้ว
ฉันไม่อยากไปแย่งงานเขา ….

ที่มา:  http://www.roodthanarak.com/2010/10/pm-flood/

"ดร.นันทวัฒน์"ข้องใจกรณีวิ่งเต้นยุบปชป.คนแต่งตั้งเลขาฯควรแสดงความรับผิดชอบ?"ภูมิใจไทย"นายกฯกล้าไหม!

ต้นสัปดาห์นี้ ศ.ดร.นันทวัฒน์  บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บรรณาธิการเว็บไซต์ www.pub-law.net แสดงความเห็นผ่าน บทบรรณาธิการเรื่อง "ถามหาความรับผิดชอบ" ทั้งจากกรณีเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปมีส่วนพัวพันกับปัญหาการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นหลายเรื่องในรัฐบาล  ดังนี้

@ ถามหาความรับผิดชอบ กรณีเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ
  

มีผู้สื่อข่าวหลายคนสอบถามความเห็นของผมเกี่ยวกับกรณีที่เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปมีส่วนพัวพันกับปัญหาการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมก็ไม่ได้ให้ความเห็นอะไรทั้งนั้นเพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของ “ข้อเท็จจริง” ที่ผู้กล่าวอ้างและผู้ถูกกล่าวอ้างมีหน้าที่ต้องพิสูจน์  

 
แต่อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าควรต้องให้ความสำคัญกับคำว่า “ความรับผิดชอบ” กันบ้างเพราะ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนพูดเรื่องความรับผิดชอบกันเท่าไรนัก ทำผิดแล้วเงียบหรือไม่ก็เถียงเอาชนะ !! 

บทบรรณาธิการครั้งนี้ผมขอพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบโดยจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อไม่กี่วันมาดูกันเล่น ๆ สักสองเรื่องเพื่อ “ถามหาความรับผิดชอบ” จากผู้เกี่ยวข้อง เรื่องแรกคือ การแต่งตั้งบุคคลให้เข้ามาดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องใหญ่และส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลาย ๆ อย่าง การคัดสรรคนเข้ามารับตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นเลขานุการหรือที่ปรึกษานั้น เท่าที่ผมทราบก็คือไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว เป็นดุลพินิจของผู้ดำรงตำแหน่งแต่ละคนที่จะตั้งใครมาก็ได้
 
ในส่วนตัวผมเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งในช่วงของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ทำให้ทราบว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงไม่กี่คนที่ตั้ง “นักวิชาการ” เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลืองานด้านวิชาการและให้คำปรึกษาทางวิชาการ ส่วนคนอื่นตั้งใครมาก็ไม่ทราบ ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน 


 แต่จากข้อมูลที่ได้รับทราบ คนเหล่านั้นมีบางคนที่เป็น “เครือญาติ” บางคนก็มีความสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ เมื่อตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งก็มีเงินค่าตอบแทน บางคนเอาลูกหลานตัวเองมาเป็นเลขานุการก็เคยมีมาแล้ว ไม่ทราบว่าในปัจจุบันยังมีผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญองค์กรใดยังทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่ คงต้องหาทางเอาข้อมูลเหล่านี้มาเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบเพราะการตั้งคนมาเป็นเลขานุการหรือเป็นที่ปรึกษาคนระดับผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น

 @   ผู้แต่งตั้งควรแสดงความรับผิดชอบ !!!

 แม้จะไม่มีหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้ง แต่ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ควรจะต้องมี “สำนึก” ว่าจะต้องตั้งคนที่มีความรู้ความสามารถและเคยมีประสบการณ์ในการทำงาน ลักษณะดังกล่าวมาแล้ว เมื่อบุคคลใดได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแล้วก็จะต้องรับทราบสถานะของคนที่ตนจะต้องมาทำงานด้วยและต้องประพฤติตน ดำรงตน ไม่แตกต่างไปจากผู้แต่งตั้งครับ
  

ส่วนตัวผู้แต่งตั้งนั้น จริงอยู่ที่บุคคลที่เป็นที่ปรึกษาหรือเลขานุการ แม้ในเชิงโครงสร้างจะไม่ได้มีอำนาจอะไร แต่ก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าในสังคมอุปถัมภ์ การแต่งตั้งคนสนิท คนใกล้ชิด หรือเครือญาติมาเป็นที่ปรึกษาหรือเลขานุการ ถึงจะไปบอกบุคคลอื่นว่าไม่มีอำนาจ ถามจริง ๆ ใครจะเชื่อครับ !!!

  เพราะฉะนั้น จึงขอฝากไปยังสื่อมวลชนทุกประเภทด้วยว่าช่วยกรุณาตรวจสอบผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามา “ช่วย” ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นใครกันบ้าง มีความสามารถอย่างไร ได้ค่าตอบแทนเท่าไร เปิดมาดูกันให้หมดจะได้รู้กันไปเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร

ส่วนบุคคลที่มีปัญหาที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้น แม้วันนี้จะถูกปลดออกไปแล้วก็ตาม แต่ก็ควรมีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทราบว่า คน ๆ นั้นเป็นใคร มีที่มาอย่างไร ชำนาญการเป็นเลขานุการมากแค่ไหน ได้ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นอย่างไรบ้างและที่สำคัญก็คือในช่วงเวลาที่ผ่านมามีบทบาทอย่างไรในศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเท่าที่ได้ยินมานั้น “ไม่เบา” เลยครับ !!!  

 นอกจากนี้ ก็อยากฝากเป็นคำถามไว้กับสังคมไทยของเราด้วยว่า การใช้ดุลพินิจตั้งคนที่ไม่เหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่ง ต่อมาบุคคลดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ผู้แต่งตั้งควรแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง จริงอยู่แม้ในทางกฎหมายจะไม่มีการกำหนดให้ผู้แต่งตั้งต้องรับผิดชอบ แต่ในทางจริยธรรมและในระบบการบริหารราชการที่ดีนั้น ผู้แต่งตั้งจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบซึ่งก็คงไม่ใช่เพียงแค่ “ขอโทษ” แล้วจบกันนะครับ 

 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเพราะ “ระดับ” ความรับผิดชอบของแต่ละคนไม่เท่าเทียมกันครับ บางคนเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ ปล่อยให้เรื่องผ่านไปโดยตัวเองก็ยังคงมีงานทำ มีเงินใช้ต่อไป สบายกว่าลาออกเป็นไหนๆ ครับ!!!
                
เรื่องต่อมา สืบเนื่องจากบทบรรณาธิการครั้งที่แล้วที่ผมได้กล่าวถึงนายกรัฐมนตรีว่าไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงเนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่มาร่วมรัฐบาล วันนี้ นายกรัฐมนตรีมาในมาดใหม่แล้วครับ จากคำให้สัมภาษณ์ที่ได้อ่านพบในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ว่า หากรู้สึกอึดอัด ขอให้บอกมาอย่างเป็นทางการจะปรับออกให้ ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าอยู่ด้วยกันต้องทำตามกติการ่วมกันของรัฐบาล ทำให้รู้สึกว่า นายกรัฐมนตรีพยายามที่จะเรียกความถูกต้องคืนมา เพราะที่ผ่านมาเกือบสองปีนั้น มีข่าวคราวของการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เองและในส่วนของพรรคภูมิใจไทย 


 ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีความพยายามในการแก้ปัญหา เช่น ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของบางคนที่มี “เรื่องอื้อฉาว” แต่การปรับเปลี่ยนก็ยังไม่ใช่คำตอบที่สังคมต้องการรับทราบเพราะเรื่องอื้อฉาวดังกล่าวมีหลายกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน 

 ทุกครั้งนายกรัฐมนตรีก็จะพูดเหมือน ๆ กันคือ เรื่องนี้ต้องมีคำตอบ เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ แต่จนกระทั่งปัจจุบัน เราก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นกรณีปลากระป๋องเน่า กรณีโครงการชุมชนพอเพียง กรณีทุจริตงบไทยเข้มแข็ง ก็ไม่ทราบว่าจะต้องรอคำตอบกันไปอีกนานแค่ไหนสำหรับกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นจากคนของพรรคประชาธิปัตย์ครับ
     

@ ทำไมสังคมจึงตั้ง “ข้อสงสัย” กับพรรคภูมิใจไทย           
กลับมาดูในส่วนของพรรคภูมิใจไทยกันดีกว่า ผมชอบใจคำถามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ถามนักข่าวและก็เป็นข่าวไปทั่วว่า อะไรที่เกี่ยวกับภูมิใจไทยถึงเป็นเรื่องที่ไม่โปร่งใสไปเสียหมด น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่นักข่าวคนนั้นเพราะถ้าผมเป็นนักข่าวคนนั้นผมจะต้องตอบกลับไปว่า ผู้ที่ตอบคำถามดังกล่าวได้ดีที่สุดก็คือผู้ถามนั่นเองครับ
             
 ทำไมสังคมและสื่อมวลชนจึงตั้ง “ข้อสงสัย” กับพรรคภูมิใจไทยกันมากในเรื่องของการกระทำที่ไม่โปร่งใส เราคงไม่ต้องย้อนไปดูในรายละเอียดกันว่า พรรคภูมิใจไทยเกิดขึ้นได้อย่างไร ประกอบด้วยใครบ้างและแต่ละคนมี “ประวัติความเป็นมา” อย่างไรเพราะอาจทำให้เกิด “อคติ” มากกว่าที่มีอยู่ก็เป็นได้ ผมคิดว่าเราน่าจะจำกัดการมองพรรคภูมิใจไทยอยู่ที่ “ผลงาน” ตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาลจะดีกว่า
               
เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าพรรคภูมิใจไทยดูแลรับผิดชอบกระทรวงสำคัญ ๆ อย่างเช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทั้ง 3 ถือได้ว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของประเทศ เป็นกระทรวงที่ต้องการผู้ที่มีความรู้ความชำนาญที่สุดในแต่ละด้านเข้ามาทำงานเพราะความเจริญของประเทศขึ้นอยู่กับกระทรวงทั้ง 3 แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า บุคคลทั้ง 3 ที่พรรคภูมิใจไทยส่งมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทั้ง 3 นั้น เป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญที่สุดในแผ่นดินไทยหรือไม่ 


 ผมคงไม่ต้องตอบหรืออธิบายอะไรในเรื่องนั้นครับ เพียงแต่คิดง่าย ๆ ว่าประเทศชาติไม่ใช่ห้องทดลองหรือสถานที่ฝึกงานของคนแค่นั้นเอง ส่วนที่มีปัญหาจริง ๆ ก็คือ การทำงานของกระทรวงทั้ง 3 ที่จะว่าไปแล้วก็มีข่าวออกมาอยู่เรื่อย ๆ ตลอดเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ข่าวดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่คาบลูกคาบดอกกับการทุจริตคอร์รัปชันและการใช้อำนาจโดยมิชอบ โดยกระทรวงมหาดไทยก็มีเรื่องเกี่ยวกับ “การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ” ที่วันนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนว่ามีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพราะคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมได้สั่งให้ยกเลิกการแต่งตั้งนายอำเภอ 41 ตำแหน่ง

@ จาก 41 นายอำเภอถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ....งามหน้าไหม 


เนื่องจาก “คำสั่งแต่งตั้งมาจากกระบวนการคัดเลือกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา” งามหน้าไหมครับ !!! ก็ต้องดูกันต่อว่าเรื่องนี้จะมีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบกันบ้างหรือจะรอให้มีการ “ลากคอ” ผู้กระทำความผิดมาลงโทษก็ไม่ทราบ ส่วนเรื่อง “การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย” ก็ใช่ย่อย เมื่อวันอังคารที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 และ 31 สิงหาคม 2553 ให้การแต่งตั้งอธิบดีกรมพัฒนาชุมชนเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยแทนอธิบดีกรมการปกครองที่ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อไม่ขอรับตำแหน่งดังกล่าว ผมรับทราบเรื่องดังกล่าวจากการอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ทราบว่ามติคณะรัฐมนตรีเป็นลักษณะนั้นจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ต้องขอให้บรรดาผู้รู้ทั้งหลายช่วยอธิบายหน่อยว่า ข้าราชการขอไม่รับตำแหน่งที่ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งได้ด้วยหรือครับ ผมเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ 

 ตอนที่มีการแต่งตั้งตำรวจคนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญแต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลต่างชาติแสดงความไม่เห็นด้วย ก็มีข่าวว่าตำรวจคนนั้นขอไม่รับตำแหน่งเช่นกันครับ !!! 

จริง ๆ แล้วเรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความไม่โปร่งใสในโครงการประมูลเช่าคอมพิวเตอร์ของกระทรวงมหาดไทยในวงเงิน 3,490 ล้านบาท ที่ขณะนี้ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนขึ้นมาดำเนินการค้นหาความจริงแล้วครับ เพราะฉะนั้น เรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยจึงเป็นเรื่องใหญ่มากที่คณะรัฐมนตรีต้องให้ความระมัดระวังว่าหากจะแต่งตั้งใครสักคนขึ้นมาดำรงตำแหน่งก็จะต้องทำการตรวจสอบคุณสมบัติให้ถูกต้องเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดอาการแบบนี้คือ ตั้งแล้วเปลี่ยนซึ่งเป็นการทำลายระบบราชการอย่างมาก 

  @ โชคดีที่เป็นรัฐบาลนี้ทำเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา

 โชคดีที่เป็นรัฐบาลนี้ทำเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา ถ้าเป็นรัฐบาลทักษิณคงถูกนำมาโจมตีและโยงไปถึงเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้วเพราะเท่าที่ทราบจากข่าวได้มีการเสนอแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่เข้าสู่กระบวนการไปแล้ว เข้าใจว่ารอโปรดเกล้าฯ อยู่แล้วก็คงมีการถอนเรื่องออกมา รัฐบาลคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้
                
 
กระทรวงคมนาคมของพรรคภูมิใจไทยก็เช่นเดียวกัน การเช่ารถเมล์ 4,000 คันที่แพงกว่าซื้อเป็นเรื่องที่เข้า ๆ ออก ๆ การประชุมคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง เป็นเรื่องที่หลาย ๆ ส่วนของสังคมตั้งข้อสงสัยใน “ความโปร่งใส” แล้วก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจน เข้าใจว่าเรื่องนี้คงยังไม่จบง่าย ๆ ล่าสุดที่เป็นข่าวดังไปทั่วก็คือ เรื่องลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิที่น่าอดสูใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องที่คาดว่าจะตามมาที่เพิ่งอ่านเจอในหนังสือพิมพ์คือ หลังน้ำท่วมกระทรวงคมนาคมต้องใช้งบอีกพันล้านบาทเพื่อซ่อมแซมถนนและทางรถไฟที่ได้รับความเสียหาย ส่วนกระทรวงพาณิชย์นั้นก็มีข่าวออกมาตลอดในหลาย ๆ เรื่อง เช่น เรื่องการขายข้าว เป็นต้น ผมคงไม่สามารถนำทุกเรื่องมากล่าวไว้ได้หมดในที่นี้ครับ                 

รวมความแล้ว 3 กระทรวงสำคัญที่พรรคภูมิใจไทยรับผิดชอบมีข่าวคราวในเรื่องความไม่โปร่งใสออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากพรรคภูมิใจไทยสงสัยว่าทำไมมีข่าวดังกล่าวก็คงต้องให้ความกระจ่างกับสังคมนะครับ คงต้องตอบคำถามกันอย่างเป็นทางการ เป็นระบบ ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ใช่ตอบคำถามแบบแปลก ๆ ดังเช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
               
 รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชันมากที่สุดก็เพราะระหว่างที่เป็นรัฐบาล กระบวนการตรวจสอบภายในรัฐบาลเองทำได้ไม่เต็มที่ เมื่อพ้นจากตำแหน่งจึงมีการขุดคุ้ยกันออกมามากมายหลายเรื่อง ทำให้ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีบางคนต้องรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวและคณะรัฐมนตรีก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบในบางเรื่องด้วย ตัวอย่างดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่รัฐบาลนี้ต้องพึงระลึกถึงอยู่เสมอ
   

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ วันข้างหน้าหากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อยู่ในรัฐบาล โอกาสที่จะถูก “เอาคืน” มีอยู่สูงมาก และในวันนั้นอาจมีหลายคนที่ต้อง “รับโทษ” เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ผ่าน ๆ มาก็เป็นได้                 


กลับมาสู่คำถามที่นายกรัฐมนตรีต้องตอบก็คือ กล้าแค่ไหนที่จะจัดการกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นอยู่ในวันนี้ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อประเทศมากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ การตัดสินใจอะไรจึงควรยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ความรับผิดชอบดังกล่าวต้องนำมาวางไว้บนตาชั่งด้านหนึ่งเสมอครับ !!!                
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*****************************************************************