--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จาตุรนต์แฉ2มาตรฐานโจ่งครึ่มไม่ยุบปชป. ยกกรณี2พรรคแบบเดียวกันเป๊ะแต่กลับไม่ขาดอายุความ

ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยมาแล้ว อย่างน้อยใน 2 กรณีของ 2 พรรคการเมือง ทำนองเดียวกัน โดยถือว่า วันที่ความปรากฎต่อผู้ร้องหรือนายทะเบียนคือวันที่ผู้ร้องพิจารณาและเห็นชอบให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่กรณีคดีพรรคประชาธิปัตย์นั้น กลับแตกต่างจากการพิจารณาคดีอื่น ปัญหาสองมาตรฐานอย่างน้อยๆที่สุดก็เห็นอยู่ตรงเรื่องนี้

 ที่โรงแรมเรดิสัน พระราม 9 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงข่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องคดียุบพรรค - คดีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์

โดยรายละเอียดมีดังนี้

คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมานี้ ในการสู้คดีโดยตลอดก็ปรากฏว่า ทีมทนายของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ต่อสู้ในข้อเท็จจริงเท่าไร ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ได้กระทำผิดกฎหมายและสมควรแก่การยุบพรรค แต่ว่าได้สู้ด้วยวิธีการพยายามดิสเครดิต หรือพยายามลดความน่าเชื่อถือของผู้ร้อง หรือพยานฝ่ายผู้ร้อง พยานฝ่ายตรงข้าม

ในตอนท้ายๆปรากฏว่า ทีมทนายของพรรคประชาธิปัตย์ได้พยายามล็อบบี้คนของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังได้ปรากฏหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอ ทั้งภาพของการล็อบบี้ดังกล่าว และการที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน ได้พูดจาหารือกัน เพื่อที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นจากการถูกยุบพรรค

คลิปวีดีโอนี้ทำให้เชื่อได้ว่า มีความพยายามที่จะล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญ และมีความพยายามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นจากการถูกยุบพรรค

มีเสียงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพิสูจน์ว่าคลิปวีดีโอนั้นจริงหรือไม่จริงอย่างไร ใครทำอะไร ใครพูดอะไร ปรากฎว่า จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการตรวจสอบพิสูจน์และสอบสวนว่า มีความพยายามล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญหรือมีความพยายามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์จริงหรือไม่

เรื่องดังกล่าว ผมเคยให้ความเห็นไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า หากศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน ศาลรัฐธรรมนูญย่อมขาดความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่พิจารณาคดีใดๆ รวมถึงที่จะทำหน้าที่ตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

จนถึงบัดนี้ จนถึงวันตัดสิน และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการตรวจสอบ ยังไม่มีการพิสูจน์ใดๆทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นในความเห็นของผมซึ่งได้พูดมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังมีความเห็นอย่างเดิมว่า ในขณะที่ตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะนี้ ก็ไม่มีความชอบธรรมอยู่แล้ว

ต่อมาเมื่อมีคำวินิจฉัย ก็ต้องบอกว่าการที่วินิจฉัยไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดคาด ผมเองก็เคยเขียนบทความไว้ก่อนหน้านี้ เสนอว่าประชาชนควรทำอะไร ถ้าไม่มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ

ยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ยุบ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญอยู่ที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีความเสื่อมเสียและไม่น่าเชื่อถือมาก่อนแล้ว

ที่น่าเป็นห่วงก็คือว่าจากคำวินิจฉัยนั้นเกรงว่าจะเกิดความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญหนักยิ่งขึ้นไปอีก

ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตั้งขึ้นเพื่อที่จะวินิจฉัยนี้มีทั้ง 5 ข้อ แต่สุดท้าย 4 ข้อไม่ได้วินิจฉัย วินิจฉัยไปข้อเดียว คือกระบวนการร้องของผู้ร้อง

จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนทั่วไป ทั้งคนที่เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ผิดหรือเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ผิด ทั้งสองฝ่ายนี้ก็เลยไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆแล้วผิดหรือถูก ต้องเป็นไปตามความเชื่อของแต่ละคนแต่ละฝ่าย คงผิดหวังไปตามๆกัน เพราะอุตส่าห์ติดตามการพิจารณาคดีมาตั้งนานเป็นหลายๆเดือน และสุดท้ายไม่มีการวินิจฉัยเลย ใน 4 ประเด็นนั้น

ก็คงจะมีแต่แฟนพันธุ์แท้ของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่ดีใจ ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องถูกยุบ ด้วยเหตุของการที่บางคนใช้คำว่าคนร้องแพ้ฟาวล์ไปทำนองนั้น

ซึ่งก็เป็นคำถามตามมาอีกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ เหตุใดจึงไม่วินิจฉัยไปก่อนเลยว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องแล้วเพราะเกินเวลาไปแล้ว

แต่ว่าที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาสำคัญที่จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือ ทำให้คนเคลือบแคลงสงสัยต่อไปก็คือ ในคำวินิจฉัยนั้นมีปัญหา มีคำถามซึ่งก็ต้องถามต่อสังคมไทยด้วย ถามต่อนักกฎหมาย ถามต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเอง เป็นคำถามและปัญหาในเชิงข้อกฎหมาย ตรรกะ เหตุผลและสามัญสำนึก

คือ คำวินิจฉัยนี้บอกว่ากระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะยื่นคำร้องหลังพ้นระยะเวลา 15 วันตามที่กฎหมายกำหนด ระยะเวลา 15วัน ก็คือ 15 วันนับจากความปรากฏต่อนายทะเบียน

ปัญหามีว่า ความปรากฏต่อผู้ร้องในฐานะนายทะเบียนนี้นับอย่างไร ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องนี้ไว้อย่างไรหรือไม่ วินิจฉัยเรื่องทำนองเดียวกันนี้ไว้อย่างไร แล้วกรณีนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ความจริงก็มีกรณีตัวอย่างหลายกรณี การยุบพรรคหลายพรรคที่เข้าข่ายทำนองเดียวกัน ขอยกตัวอย่าง 2 พรรคก็คือ กรณีพรรคไท ในคำวินิจฉัยซึ่งเขามีประเด็นทำนองเดียวกันว่า มีการสู้ว่าเรื่องมีมาตั้งนานแล้วผู้ร้องเพิ่งมาร้อง เลยเวลามาแล้วเพิ่งมาร้อง

ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ คดีพรรคไทบอกว่า วันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 27กันยายน 2545 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งมีบันทึกรายงานผู้ร้องจ่ายเงิน ก็คือ ถือเอาวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้อง

พอมาในกรณีของพรรคพลังธรรม พรรคพลังธรรมก็สู้ว่าเลยเวลามาแล้ว ผู้ร้องถึงจะมาร้อง ไม่มีอำนาจแล้ว ฝ่ายกกต. ฝ่ายนายทะเบียนพรรคการเมือง สู้ความว่า ได้มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 28 ตุลา 2546 เรื่องนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้สั่งยุบพรรคไทว่า วันที่ปรากฎต่อนายทะเบียนนั้น คือวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หมายความว่าเขาอ้างกรณีพรรคไท แล้วเขาก็มาสู้ในกรณีพรรคพลังธรรม คนที่สู้ความนี้ ในนามประธานกกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองคือนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมืองปัจจุบันเคยสู้ความมาแล้ว
และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในคราวนั้นว่า เห็นว่าวันที่ความปรากฎต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองนั้นคือวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และก็มีความต่อไป ก็คือข้ออ้างของผู้ถูกร้องข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น


หมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยมาแล้ว อย่างน้อยในสองกรณีของ2 พรรคการเมือง ทำนองเดียวกัน โดยถือว่า วันที่ความปรากฎต่อผู้ร้องหรือนายทะเบียนคือวันที่ผู้ร้องพิจารณาและเห็นชอบให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ทีนี้มาในกรณีนี้ กรณีของพรรคประชาธิปัตย์นี้ ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าในวันที่ความปรากฎต่อนายทะเบียนคือวันที่ 17 ธันวาคม ซึ่งกกต.มีมติเสียงข้างมากให้ไปดำเนินการ เพราะฉะนั้นพอมายื่น ในวันที่ 26 เมษาก็เลยเกิน 15 วัน

ข้อเท็จจริงก็ปรากฎว่า วันที่ 17 ธันวาคม ที่มีมติกัน ไม่ใช่เป็นมติให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายทะเบียนไม่ได้ทำความเห็นก็หมายความว่านายทะเบียนยังไม่ได้พิจารณาเห็นชอบให้ร้อง ส่วนนายทะเบียนพอไปเป็นประธานกกต.ก็ลงมติว่าไม่เห็นชอบให้ไปยุบพรรค กกต. 3 คนเป็นเสียงข้างมาก บอกให้ส่งนายทะเบียนไปทำความเห็น

คนที่มีความเห็นให้ยุบพรรคมีคนเดียวคือ คุณวิสุทธิ์ โพธิแท่น

เมื่อเป็นอย่างนี้นายทะเบียนพรรคการเมืองก็ไม่มีอำนาจและไม่มีหน้าที่ที่จะไปร้อง ส่วนตัวเข้าก็ไม่เห็นชอบให้ร้องอยู่แล้ว จะนับจากวันที่ 17 ธันวา มันก็ไม่น่าจะถูก จะนับต้องมานับวันที่ 21 เมษา เมื่อทั้งนายทะเบียนพรรคก็เสนอให้ยุบ ในฐานะประธานกกต.และกกต.ทั้งคณะก็เห็นร่วมกันให้ไปส่งศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการตามมาตรา 93 ในตอนวันที่ 17 ธันวาที่พิจารณาก็พูดมาตรา 95 ซึ่งไม่ใช่มาตราที่ว่าด้วยการไปส่งศาลรัฐธรรมนูญ

เพราะฉะนั้นการที่วินิจฉัยว่า วันที่เริ่มมีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญนั้นคือวันที่ 17 ธันวา จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

และอีกอย่างหนึ่ง ที่สำคัญคือไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยในกรณียุบพรรคอื่นๆมาแล้ว ปัญหาสองมาตรฐานอย่างน้อยๆที่สุดก็เห็นอยู่ตรงเรื่องนี้ ที่เป็นความแตกต่างในการพิจารณาคดีนี้กับการพิจารณาคดีอื่น

เวลานี้ก็มีเสียงเรียกร้องว่า ถ้าอย่างนี้แสดงว่าเป็นความบกพร่องของกกต. เป็นความบกพร่องของนายทะเบียน หรืออย่างไร ซึ่งผมคิดว่านายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.ทั้งคณะก็คงจะต้องชี้แจง

แต่ว่าถ้าคิดแทนนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต. นายทะเบียนพรรคการเมืองคือคุณอภิชาติ เคยสู้ความมาแล้ว และเคยสู้ด้วยประเด็นว่า ความปรากฎต่อนายทะเบียนต้องนับจากวันที่นายทะเบียนพิจารณาและเห็นชอบให้ร้อง ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยตามนั้น คุณอภิชาติในฐานะนายทะเบียนก็ย่อมจะต้องเห็นว่านี่เป็นบรรทัดฐานที่กกต.จะต้องปฏิบัติตาม

มาถึงเวลาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิชาติพิจารณาแล้วยังไม่เห็นชอบให้ร้อง กกต.ก็ไม่ได้มีมติให้ร้อง เขาก็ยังไม่ไปดำเนินการร้อง รอต่อมาจนกระทั่งในฐานะนายทะเบียนและกกต.ทั้งคณะเห็นตรงกัน ให้ร้อง เขาจึงไปดำเนินการในเวลาต่อมา

เพราะฉะนั้นจะไปโทษกกต. ผมก็ดูแล้วไม่น่าจะถูก แต่ว่าถ้ามีเสียงเรียกร้องกกต.ก็ควรจะชี้แจงว่าเห็นด้วย แต่ผมยังคิดว่าประเด็นอยู่ที่การวินิจฉัย ประเด็นที่เป็นปัญหาน่าจะอยู่ที่การวินิจฉัย

ที่นี้ก็อยากจะวิเคราะห์ต่อไปถึงผลที่ตามมา ผลที่ตามมาจากกรณีอย่างนี้จะโดยเจตนาอย่างไรก็ตาม มันมีคำถามตามมามากมายทั้งในแง่ อย่างที่ว่าคือ ตรรกะ เหตุผล สามัญสำนึก ข้อกฎหมาย

ผลที่ตามมาก็คือ ถ้าไม่มีการชี้แจงให้ดี เรื่องนี้จะมีปัญหากระทบต่อความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเองมากยิ่งขึ้น เพราะว่าอย่าลืมว่าศาลรัฐธรรมนูญเดินเข้าสู่การตัดสินในขณะที่ผู้คนสงสัยว่า ที่คุยกันในคลิปวีดิโอนั้นจริงหรือไม่จริงอยู่แล้ว พอตัดสินออกมาเป็นประเด็นที่คนไม่คาดคิดด้วย

กรณีที่วินิจฉัยไปว่า มาร้องเมื่อเลยกำหนดมาแล้ว แม้แต่ทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด ก็ไม่ได้สู้ประเด็นนี้ ไม่ได้สู้เพื่อประเด็นนี้เลย

ประเด็นนี้เมื่อมาไล่ข้อเท็จจริงเทียบกับของเดิมจะกระทบความน่าเชื่อถือ ผลที่ตามมาก็จะกลายเป็นว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นความพยายามเจตนาดีที่จะรักษาพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของระบบปัจจุบันเอาไว้ แต่ขณะเดียวกันก็กลับจะกระทบต่อระบบในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น กระทบยิ่งกว่าถ้าจะยุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำ

นอกจากนั้นจะทำให้ยังทิ้งปัญหาค้างไว้คือความไว้วางใจต่อกกต. ซึ่งเกิดปัญหานี้ขึ้นในขณะที่จะมีการเลือกตั้งขึ้นในปีหน้าแล้ว
เพราะฉะนั้นผลที่ตามมาก็จะเกิดเป็นความวิกฤตต่อความน่าเชื่อถือ ผู้คนจำนวนไม่น้อยอาจจะไม่หวังขึ้นระบบ จะนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมและวิกฤตในสังคมหนักหน่วงยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์อย่างนี้ก็จะเห็นว่า ตรงกันข้ามกับสิ่งที่นักธุรกิจและวิชาการบางส่วนได้ออกมาให้ความเห็นว่าไม่ยุบน่ะดีแล้ว รัฐบาลจะได้มีเสถียรภาพ การเมืองจะได้มีเสถียรภาพ แต่ว่าผมยังเห็นว่าเรื่องมันจะเป็นตรงกันข้าม รัฐบาลอาจจะอยู่ต่อไปได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ แต่เมื่อมีวิกฤตความน่าเชื่อถือ คนไม่เชื่อถือระบบ คนไม่หวังพึ่งระบบ วิกฤตการเมืองของประเทศจะยิ่งหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้น และก็ยากต่อการแก้ปัญหามากยิ่งขึ้น

ในอนาคตก็จะเป็นปัญหาต่อธุรกิจเอง

เพราะฉะนั้นก็ยังอยากจะเสนอเป็นข้อเสนอต่อประชาชน ต่อผู้ไม่เห็นด้วย และผู้ที่ต้องการให้เกิดความยุติธรรมทั้งหลายว่า ถึงอย่างไรก็ตามก็ควรจะมีการศึกษาคำวินิจฉัย วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและเห็นปัญหาความไม่ถูกต้อง

เพื่อจะไปหาทางสร้างความยุติธรรมโดยสันติวิธีต่อไป ไม่ควรจะไปหันหน้าเข้าหาวิถีทางอื่นใด แต่ว่าพยายามที่จะสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น

ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ในระยะยาวถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญก็คงจะต้องไปแก้ศาลรัฐธรรมนูญให้มีที่ไปที่มาที่ถูกต้องกว่านี้ และสามารถจะตรวจสอบได้มากกว่าปัจจุบัน

อยากให้มุ่งไปในทิศทางนี้ มากกว่าที่จะหมดหวังกับการหาทางออกให้กับสังคม

ที่มา.โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
--------------------------------------------------------------------------------

เกาะท๊อปบู๊ต แน่นยิ่งกว่า “ปลิง”!!

ถ้าก้าวเป็น “บุรุษหมายเลขหนึ่ง” ของประเทศไทย ต้องอาศัย “พาวเวอร์สีเขียว” หยั่งงี้, น่าอับอาย ขายหน้า “ผู้หญิง”??

เป็นหญิงแกร่ง ดอกไม้เหล็ก..ที่จะก้าวสู่การเมือง บนถนนประชาธิปไตย ด้วยเสียงเรียกร้องของประชาชน.. โดยไม่อิงกองทัพ ให้เสียราคา

ตบมือกราวใหญ่ ..ให้กับ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน (ชินวัตร) ณ. ป้อมเพ็ชร สนองตอบกลับแรงศรัทธา

ข่าวว่ายามนี้ “คุณหญิงอ้อ” ปลีกวิเวก สงบใจ ใฝ่ธรรม ละสันโดษ ใจนิ่งและเย็น..พร้อมที่ลงเลือกตั้ง เป็นนักการเมืองที่สมศักดิ์ศรี!!

เป็นผู้หญิงอกสามบอก...โดยไม่ต้องใช้ทหารเป็นหัวหอก?...หลอกประชาชน ในการเป็นนายกรัฐมนตรี???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“อัจฉริยะ” ติดมากับตัว!!!

สมองเป็นเลิศ... ที่ใครมองข้าม “ยี้ห้อย” เนวิน ชิดชอบ นายใหญ่ภูมิใจไทย จะเสียใจนะทูนหัว???

รากฐาน การสร้างมวลชน “เนวิน” ยังเป็นที่หนึ่ง

กองเชียร์ ทีมบอลปราสาทสายฟ้า “บุรีรัมย์” ยอดเยี่ยมติดท็อปเทน จนใครก็คาดไม่ถึง

“เนวิน” ยังเป็นมฤตยูตัวอันตราย ที่กุมหัวใจมวลชนได้เป็นปึกแผ่น...ซึ่งเหมือนกับ “ทักษิณ ชินวัตร”, “สนธิ ลิ้มทอง

กุล” ,พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ที่รู้หัวอกชาวบ้านเป็นอย่างดี..แต่ท้ายที่สุด ก็โดนเชือดตายคาเขียง!!!

เหลือเพียง “เนวิน” คนเดียว....จะรอดไปได้สักกี่เสี้ยว..เดี๋ยวท่านก็เดี้ยง???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใช้ “ความดี” ซื้อใจ “สส.งูเห่า”!!!

เอาคุณธรรม ความจริงใจ แบออกให้กันอย่างนี้...สุดท้ายแล้ว “คุณพี่เผดิมชัย สะสมทรัพย์” คีย์แมนพรรคเพื่อไทย ก็เสียใจเปล่า ๆ ????

เพราะทำตัวเป็น “ชาวนาผู้แสนดี” อุ้ม “งูเห่าพิษร้าย” หวังว่าเมื่อไม่ขับไล่ออกจากพรรค คงมีความซื่อสัตย์ ให้กันมั่ง

แต่งูเห่าเชื้อร้าย.. ไม่เคยมีสำนึกซักครั้ง

“สส.เผดิมชัย” จึงเสียใจอย่างสุดซึ้ง กล่าวขอโทษต่อสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ “งูเห่า”ก่อกบฏให้กับพรรค อย่างต่อเนื่อง!!!

คงได้ประจักษ์เสียที..งูเห่าพวกนี้...ปรนเปรออย่างนี้ ก็เลี้ยงไม่เชื่อง???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ทักษิณ”ชั่ว..ตัว “สนธิ” ก็เลว!!!

“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ด่าคนอื่นเป็นไฟ ด้วยการเท้าสะเอว???

ทีเลวทีชั่วไร้ตะกั่วปน ล้วนเป็น “คนดี” ที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เคยมีไมตรีทั้งนั้น

“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ใครหนอไปกล่อม เชิญชวนให้มาอยู่ในพรรค มิใช่พรรคนี้หรือท่าน

“สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่กระชุ่นด่าว่าเลวนักเลวหนา...ใครกันหว่า เคยใช้บริการ ให้ล้มรัฐบาลประชาธิปไตย ของ “อดีตนายกฯทักษิณ” จนชาติบ้านเมืองเดือดร้อน!!

ด่าคนอื่นเค้าไปทั่ว...แต่ลืมนึกตัวตัว?...ว่าเกลือกลั้ว กับเขามาก่อน???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทางเลือก “ประเทศไทย”!!

ถ้าประมุขทำเนียบไทยคู่ฟ้า เป็น ของ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ทุกคนก็รับไม่ได้??

ครั้นจะให้ “ชวน หลีกภัย” เป็นชายสามโบสถ์ ยกประโยชน์ให้มาเป็น “นายกรัฐมนตรี” รอบที่ ๓ ทหารเขาก็รับ ไม่ลง

สั่งซ้ายหันขวาหัน อย่าง “อภิสิทธิ เวชชาชีวะ” ไม่ได้ .. มีหรือที่เขาจะเสริมส่ง

ฉะนั้น,ถ้าจะมี “รัฐบาลแห่งชาติ” ให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นแหละดีที่สุด..เพราะจะเป็น “ไม้ค้ำยัน” ให้ชาติได้เป็นอย่างดี!!!

ได้ “บิ๊กป้อม” ขึ้นมา...ยังเป็นตัวช่วย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”...ไม่มีใครกล้าแซะเก้าอี้ ด้วยหละพี่?????


คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร,บางกอกทูเดย์
*************************************************************

ชีวิตไพร่

“ขังลืมเสื้อแดง แต่ลืมขังเสื้อเหลือง”

ป้ายข้อความของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมเรียกร้องเพื่อแสดงให้เห็นถึงการใช้นิติรัฐ 2 มาตรฐาน รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยุบศูนยอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และปล่อยตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวนักโทษการเมืองทั้งหมด

เพราะวันนี้กว่า 6 เดือนแล้วที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน และคนเสื้อแดงถูกคุมขังในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และข้อหาก่อการร้าย ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายจากกรณียึดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อค่ำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 แต่ให้ประกันตัว และยังไม่มีการส่งฟ้องใดๆ

แม้ พธม. จะอ้างว่าไม่ได้ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ แต่การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท) เป็นผู้สั่งปิดเอง แต่แถลงการณ์ พธม. ฉบับที่ 26/2551 วันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 มีข้อความระบุว่า

“พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับการชุมนุม และเพิ่มมาตรการอารยะขัดขืน โดยการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อยื่นคำขาดผ่านพี่น้องประชาชนทั่วประเทศและทั่วโลกไปยังนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และคณะรัฐบาล ให้ลาออกจากตำแหน่งโดยทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข”

ขณะที่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษอำมหิต” ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 91 ศพและบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน คนเสื้อแดงที่เป็นฝ่ายถูกกระทำกลับมีแนวโน้มถูก “ขังฟรี ตายฟรี และเจ็บฟรี” ส่วน “คนสั่งฆ่ายังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล”

และยิ่งน่าสลดหดหู่เมื่อพบว่ามีการจับกุมแบบเหวี่ยงแห ทรมานและบังคับให้คนเสื้อแดงที่ถูกจับสารภาพอีกด้วย ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งไม่ได้กระทำความผิด ทั้งยังมีการจับกุมนักศึกษาที่เพียงแค่ออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองซึ่งตรงข้ามกับรัฐบาลและ ศอฉ.

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้ต้องหาคดีร่วมกันวางเพลิงเผาศาลากลางจังหวัดมุกดาหารเกิดอาการเครียดที่ไม่ได้รับการประกันตัว จึงตัดสินใจดื่มน้ำยาปรับผ้านุ่มหลังกล่าวลาภรรยาที่ไปเยี่ยม

ขณะที่นักสิทธิมนุษยชนได้รับการร้องเรียนจากทนายผู้ต้องขังคดีหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 กฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เกือบทุกรายจะถูกซ้อมทรมานในเรือนจำ

ดังนั้น ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่มีความยุติธรรมและ 2 มาตรฐาน ก็ไม่มีวันที่จะเกิดความปรองดอง ทั้งยังอาจจะเห็นมิคสัญญีครั้งใหญ่อีกด้วย


ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************

"คมสันตราดามุส" เผยเคยชี้แล้วคดี29ล้าน กกต.ตกหลุมกฎหมายแน่ ฟันธง"คดี258ล้าน"ซ้ำรอยเดิม

อจ.นิติศาสตร์ มสธ. ชี้เป็นหลักสากลถ้ากระบวนการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงผิดแต่ต้น ก็ไม่จำเป็นต้องดูข้อเท็จจริง วิเคราะห์คดี "258ล้าน" ไม่พ้นซ้ำรอยเดิม เหตุ กกต.ฟ้องผิดข้อ กม.

หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปปัตย์ กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ด้วยการยกคำร้องตามมติ 4:2 นั้น นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ผู้ซึ่งเป็นนักกฎหมายคนแรกๆ ที่เคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบเพราะกระบวนการในการดำเนินคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) ผิดพลาดแต่ต้น

นายคมสัน ให้สัมภาษณ์ ว่า ตนเคยเสนอว่ายุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เพราะว่ากระบวนการของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประเด็น

1.การใช้กฎหมาย โดย กกต.ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งอันที่จริงควรใช้กฎหมายของปี 2541 เนื่องจากเป็นการกระทำในอดีต
2.อำนาจการวินิจฉัย เป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ใช่ กกต.
3.นายทะเบียนพรรคการเมืองเคยชี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ผิด แต่ กกต.ก็กลับหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้งไม่ได้


เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ กกต.ผิดพลาดเอง ซึ่งก็เคยแนะนำไปแล้วว่าจะทำให้เกิดการผิดพลาดได้ เมื่อขึ้นสู่ศาลก็ต้องถูกยกฟ้องแน่นอน เรื่องนี้ตนก็พูดมาตลอด

นักวิชาการรายเดิม กล่าวต่อว่า ศาลได้พิจารณาโดยตัดประเด็นในแง่ของข้อเท็จจริงออกไป เนื่องจากว่าโดยหลักสากลแล้วกระบวนการยุติธรรมนั้นจะต้องพิจารณาด้วยว่ากระบวนการอันได้มาซึ่งข้อเท็จจริง การสอบสวน การยื่นคำร้องเหล่านี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลจึงจะพิจารณาต่อในขั้นของข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งหากการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมายก็จะขัดต่อหลักนิติรัฐ

"อันนี้มันเป็นหลักสากลอยู่แล้วทั่วโลกเค้าทำกัน คือขั้นแรกต้องพิจารณาในแง่กฎหมายว่าถูกต้องตามกระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ ถึงจะมาพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริง ยกตัวอย่างเหมือนในหนังต่างประเทศที่เราดูกัน ก่อนที่ตำรวจจะดำเนินการจับกุมคนร้าย จะต้องแจ้งสิทธิที่ผู้ต้องหาพึงจะได้เสียก่อน หากดำเนินการจับกุมไม่ถูกขั้นตอนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็แพ้คดีตั้งแต่ต้น โดยไม่จำเป็นต้องไปพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริงเลย" นายคมสันกล่าว และว่า เมื่อศาลพบว่ากระบวนการของ กกต.บกพร่องหลายประการ มีปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย ยื่นคำร้องล่าช้าก็ดี ไม่ถูกต้องด้วยกระบวนการก็ดี สามารถตัดการพิจารณาข้อเท็จจริงไปได้เลย อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่ทั่วโลกทำกัน

เมื่อถามว่า มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อศาลเห็นว่ากระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ผิดแต่ต้นเหตุใดจึงนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี นักวิชการรายเดิม กล่าวว่า เป็นไปได้ที่ว่าในชั้นของการยื่นคำร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ แต่มาปรากฏในชั้นของการไต่สวนก็เป็นได้ ซึ่งเมื่อศาลเห็นตรงจุดนี้จึงนำมาสู่การตัดสินในที่สุด

"อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นไปได้อีกในแง่การเมืองที่ว่ากระแสสังคมกดดันหนัก ศาลจึงต้องการที่จะให้เกิดความกระจ่างแจ้ง เป็นไปได้ที่ว่าอาจจะปล่อยให้กระบวนการไต่สวนมันครบถ้วนกระบวนความ นำคู่กรณีมาไต่สวนงัดข้อเท็จจริงต่างๆ มาตีแผ่ผ่านศาล สมมุติว่าศาลเห็นประเด็นนี้ (กระบวนการ กกต.ผิดแต่ต้น) อยู่ก่อนแล้ว แต่ครั้นจะให้ยกคำร้องทันที ตั้งแต่ที่ กกต.ยื่นมาโดยที่ไม่มีการไต่สวน ก็เกรงว่าอาจจะถูกครหาก็ได้ว่า 2 มาตรฐาน หรือจะถูกครหาว่าไม่ฟังความใดๆ เลย ยังไม่ทันฟังคำชี้แจงหรือข้อเท็จจริงอะไรเลย จู่ๆ ให้ยกคำร้องเสียแล้ว อันนี้ก็เป็นไปได้ที่ทำให้ศาลตัดสินใจปล่อยให้มาถึงกระบวนการพิจารณาถึงขั้นนี้ แต่ตรงนี้เป็นเพียงการคาดเดาของตนเท่านั้น" นายคมสัน กล่าว

อจ.นิติฯ มสธ. กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าศาล รธน.ดำเนินการถูกต้องตาม Proceed of Law คือการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงของผู้ร้องจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน จึงจะพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริง

เมื่อถามว่ากับคำพิพากษาตรงนี้จะมีผลอย่างไรต่อไปกับคดีการบริจาคเงิน 258 ล้านหรือไม่ นายคมสัน กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าจะมีผลให้ยกคำร้องในคดีนี้ แต่ต้องดูที่เงื่อนไขเวลาว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องคดี 258 ล้านนี้ ก่อนหรือหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2552 (เป็นวันเดียวกับที่ กกต.ยื่นคำร้องยุบ ปชป. ในคดี 29 ล้าน) ถ้ายื่นหลังก็หมดสิทธิแน่นอนเข้าข่ายล่าช้า 15 วัน แต่ถ้าวันเดียวกันก็เป็นไปได้ที่จะมีชะตากรรมในแบบเดียวกัน

"แต่ถ้ายื่นหลัง ผมก็ยังเห็นว่ามีโอกาสหลุดอยู่ดี เพราะว่าฟ้องผิดข้อกฎหมายคือ กกต.ยื่นฟ้องในลักษณะที่ว่าเมซไซอะเป็นนอมินีรับเงิน ปชป. ซึ่งมันไม่ใช่ แต่ควรจะตีในประเด็นที่ว่า รับเงินบริจาคแล้วไม่แจ้ง อาจเรียกได้ว่า กกต.ฟ้องข้อหาที่หนักเกินกว่าความเป็นจริง เปรียบไปก็เหมือนกับไปยัดข้อหาเค้า ซึ่งเท่าที่ผมดู กกต.ชุดนี้จัดว่ามีปัญหาในแง่ของข้อกฎหมายเยอะ แพ้คดีมาหลายครั้ง แม้แต่กับกรณีของนายเรืองไกร (ลีกิจวัฒนะ) ก็ตาม ซึ่งจะว่าไปแล้ว กกต.ชุดนี้ก็มีอดีตผู้พิพากษาหลายคน จนเกิดคำถามว่าทำไมจึงพลาดง่ายๆ ได้"

เมื่อถามว่าหาก กกต.ยื่นก่อน 15 วัน มีโอกาสหรือไม่ที่ ปชป.จะชนะ นักวิชาการรายเดิม กล่าวว่า อันที่จริง กกต.ก็ชี้ไปหลายครั้งแล้วว่าเค้าไม่ผิด แต่จู่ๆ ก็ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่ ซึ่งอาจจะด้วยแรงกดดันของเสื้อแดง สังคม หรืออะไรก็ตาม ก็มีการชี้หลายครั้งแล้ว คือมาตรฐานไม่มีเลย

เมื่อถามว่ากับคดียุบพรรคไทยรักไทย (ทรท.) และพลังประชาชน (พปช.) ต่างกันอย่างไร นายคมสัน กล่าวว่า ต่างกันโดยสิ้นเชิง กรณีของ ทรท.คือมีการจ้างพรรคเล็กลงสมัครและเปลี่ยนแปลงฐานบัญชีรายชื่อผู้สมัครเพื่อให้สามารถลงแข่งในการเลือกตั้งได้ จนนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาล ตรงนี้เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวิถีประชาธิปไตย ในมาตรา 68 ส่วน พปช.นั้นเป็นกรณีที่ กก.บห.ซื้อเสียงทุจริตการเลือกตั้งไม่เหมือนกันเลย คือไม่ใช่เรื่องของ 2 มาตรฐานอย่างแน่นอน
ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ที่สุดในโลก

นับตั้งแต่หลังเกิดเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค. เป็นต้นมา

บวกเข้ากับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่ได้บรรเทาเบาลงอย่างที่รัฐบาลชุดนี้พยายามโหมโฆษณา

ทำให้ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับสูงขึ้นในแง่ความเป็นดินแดนที่มีความเสี่ยงอันตรายชั้นนำของโลก

กลางเดือนที่ผ่านมา บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงภัยก่อการร้ายทั่วโลก สำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เผยผลการศึกษาดัชนีวัดความเสี่ยงภัยก่อการร้ายใน 196 ประเทศทั่วโลก

อ้างอิงข้อมูลความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์ อาทิ ภัยจากการโจมตีประเภทต่างๆ บวกความสูญเสียที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เดือนมิ.ย.2552 ถึงเดือนมิ.ย.2553

พบว่าไทยอยู่อันดับ 7 สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่อันดับ 9

ไม่รู้เกี่ยวกันหรือไม่กับกรณีนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยกเลิกแผนเดินทางพักผ่อนในประเทศไทยช่วงคริสต์มาส

เหตุการณ์การสลายม็อบเดือนเม.ย.-พ.ค.

ยังส่งผลให้องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน หรืออาร์ เอสเอฟ จัดให้ไทยอยู่อันดับที่ 153 จากทั้งหมด 178 ประเทศ ในการจัดอันดับเสรีภาพสื่อประจำปี 2553

ในรายงานระบุสาเหตุเสรีภาพสื่อในไทยร่วงลงไปถึง 23 อันดับ จากปีก่อนในอันดับที่ 130 มาอยู่อันดับ 153 ซึ่งเป็นอันดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี

เป็นผลจากการขอคืนพื้นที่การชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.

ซึ่งมีนักข่าวต่างประเทศ 2 รายถูกยิงเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บอีกราว 15 คนทั้งสื่อเทศสื่อไทย

ในรายของสื่อไทย นายไชยวัฒน์ พุ่มพวง ช่างภาพเดอะ เนชั่น

ถูกยิงด้วยปืนทาโวร์ บาดเจ็บกลายเป็นคนขาพิการ

อันเป็นที่มาของการจัดตั้ง'กองทุนเพื่อเพื่อน' ช่วยเหลือช่างภาพสื่อมวลชนไทยที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติหน้าที่

ล่าสุดเรื่องของสื่อกับการทำข่าวเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดง

ยังมีอยู่ว่า นักข่าวและช่างภาพอิสระชาวอเมริกันชื่อ นายโรเจอร์ อาร์โนลด์ ได้รับรางวัลเกียรติยศ 'โรรี่ เพ็ก นิวส์ อวอร์ด'ประจำปี ของกองทุนโรรี่ เพ็ก ซึ่งมีสำนักงานอยู่กรุงลอนดอน

จากผลงานการเสี่ยงชีวิตบันทึกภาพเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงทางการเมืองช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.2553

พร้อมยกระดับให้กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย

เป็นพื้นที่อันตรายที่สุดในโลก

ข่าวสดรายวัน-เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กกต.เตรียมทบทวนบทบาทการทำงาน

นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยของคดีดังกล่าวออกมาในลักษณะเช่นนี้ ทุกฝ่ายก็คงต้องยอมรับคำวินิจฉัยของศาล เนื่องจากถือเป็นที่สิ้นสุด สำหรับในส่วนของนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.ถือว่า ได้ทำในส่วนที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ แม้ว่าศาลจะไม่ได้มีคำวินิจฉัยในส่วนของข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ออกมาก็ตาม อย่างไรก็ตาม กกต. ได้ส่งสำนวนที่เกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ไปที่ศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 2 คดี คือ คดีความผิดเกี่ยวกับใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ไม่ตรงกับรายงานความเป็นจริงและคดีความผิดเกี่ยวกับเงินบริจาค 258 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ขณะนี้ยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาล

ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน เห็นว่า หากศาลจะตัดสินเช่นนี้ก็ไม่น่าจะเสียเวลาสืบพยานเป็นปี ทำให้ขาดโอกาสที่จะได้รับฟังว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความผิดตามคำฟ้องหรือไม่ ซึ่งผลจากการพิจารณายอมรับว่า กกต. ต้องกลับมาทบทวนบทบาทการทำงาน โดยในการประชุม กกต. วันอังคารนี้ น่าจะมีการหยิบยกเรื่องนี้มาหารือว่าเกิดกรณีเช่นนี้ได้อย่างไร.

ที่มา.สำนักข่าวไทย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อำนาจการเมืองเปลี่ยนความจริง89ศพจะปรากฏ!

นายชัยธวัช ตุลาธน ถือเป็นผู้ประสานงานสำคัญคนหนึ่งของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ทำหน้าที่ดูแลและให้ความช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต จึงรู้ดีว่าทำไม 6 เดือนที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าคดี 89 ศพที่เกิดจากการ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” ขณะที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลับถูกจับและขังฟรี

มุมมองของนายชัยธวัชจึงน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะการตรวจสอบคดีที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ไม่มีความคืบหน้าและมีความล่าช้า กว่าดีเอสไอจะขยับทำอะไรก็เลยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานมาก ดีเอสไอให้ความสำคัญกับการฟ้องร้อง นปช. หรือคนเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้ายเป็นหลัก

พฤติกรรมประหลาด

ขณะเดียวกันการสอบสวนการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง ศปช. พบว่าดีเอสไอยังไม่ทันสอบสวนแต่กลับระบุสาเหตุของการตายว่าเป็นอย่างไร และนำมาฟ้องแกนนำ นปช. ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย โดยอ้างการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตรงนี้ถือเป็นลักษณะแปลกประหลาดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว

“มันขัดกันเอง เพราะดีเอสไอยังไม่มีคำตอบเลยว่าคนที่เสียชีวิตนั้นเกิดจากอะไร แต่กลับบอกว่าคนเสื้อแดงบางส่วนเป็นผู้ที่ทำให้เสียชีวิตแล้ว”

การคลี่คลายการเสียชีวิต 89 ศพของดีเอสไอจึงค่อนข้างสับสน อย่างรัฐบาลถูกกระแสกดดันจากสังคมมาก็บอกว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน แต่พอครบ 45 วันก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าการชันสูตรพลิกศพและคดีจะเสร็จเมื่อไร อย่างไร

โดยเฉพาะปฏิกิริยาล่าสุดของดีเอสไอที่ทำตัวลุกลี้ลุกลนแถลงความคืบหน้าการชันสูตรพลิกศพซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 โยนไปให้คนชุดดำ กลุ่มที่ 2 การเสียชีวิตของประชาชนและสื่อมวลชนต่างประเทศอาจเกิดจากการนำกำลังทหารเข้ากระชับพื้นที่ แต่ก็ใช้คำที่คลุมเครือและระมัดระวังมาก โดยไม่ได้บอกตรงๆว่าเป็นการเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ และกลุ่มที่ 3 ไม่มีความคืบหน้าที่จะสามารถระบุกลุ่มคนร้ายได้

“ดังนั้น รายละเอียดที่ดีเอสไอแถลงแสดงว่าคดี 89 ศพยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย แม้แต่กรณีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวญี่ปุ่น ดีเอสไอเคยระบุว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าเสียชีวิตจากฝ่ายไหน เพราะไม่มีพยานมาให้ปากคำ แต่เท่าที่ทราบไม่แน่ใจว่าดีเอสไอโกหกหรือต้องการปกปิด เพราะดีเอสไอน่าจะมีข้อมูลและมีพยานที่ให้ปากคำแล้ว นอกจากความล่าช้าของดีเอสไอแล้วยังมีความไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการทำงานที่ทำตามกระแส พอมีกระแสกดดันทีก็ออกมาขยับที แต่ผมคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ดีเอสไอทำงานล่าช้าน่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งในตัวเองด้วย”

อย่าลืมว่าดีเอสไอถือเป็นคู่กรณีในเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และค่อนข้างมีบทบาทมาก โดยเฉพาะการออกมาพูดเรื่องผู้ก่อการร้ายที่รัฐบาลและ ศอฉ. นำมาอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ดังนั้น ถ้ามีการสอบสวนให้ชัดเจนแล้วพบว่าเจ้าหน้าที่เป็นต้นเหตุให้มีการเสียชีวิต ดีเอสไอก็ต้องมีส่วนในการรับผิดด้วยถ้ามีการฟ้องร้องกัน

ปัญหาภายในดีเอสไอ

ความจริงดีเอสไอยังมีปัญหาอื่นอีกมาก ที่สำคัญมากคือการรายงานผลการชันสูตรศพแก่กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตที่เคยไปติดต่อยื่นเรื่องกับดีเอสไอเพื่อขอให้เปิดเผยรายงานการชันสูตรศพ ซึ่งดีเอสไอบอกว่าได้รับรายงานมาบางส่วนแล้ว แต่ถ้าดูจากข้อมูลของตำรวจ การชันสูตรศพเสร็จสิ้นแล้วทั้ง 89 ราย ดังนั้น ที่ดีเอสไอเคยรับปากว่าจะเปิดเผยรายงานการชันสูตรศพให้กับญาติผู้เสียชีวิต จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการส่งผลให้ ทั้งๆที่ญาติผู้เสียชีวิติมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรับรู้ว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร

“จริงๆแล้วการสอบสวนสาเหตุการตายทั้ง 89 ศพมีอุปสรรคหลายอย่าง ผมไม่แน่ใจว่าดีเอสไอได้รับความร่วมมือจากฝ่ายทหารแค่ไหนในการพิสูจน์หลักฐานและข้อมูลในการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำคัญหลักฐานแวดล้อมต่างๆ เช่น วัตถุก็ถูกทำลายไปมาก จะโดยจงใจและไม่จงใจก็ตาม ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการจงใจทำลายหลักฐานตั้งแต่ครั้งรณรงค์ให้คนมาทำความสะอาด เพราะไม่รู้ว่าหลักฐานอย่างรอยกระสุนนั้นยังอยู่ครบหรือไม่”

นายชัยธวัชยังชี้ว่า ถ้าคดีไม่คืบหน้าจะเกิดผลเสียต่อรัฐบาล เพราะสังคมกำลังรอคำตอบอยู่ ไม่ใช่แค่สังคมไทย เพราะยังมีนักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นและญาติก็มีการติดตามสอบถามอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะมีคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมไทยว่ามีความยุติธรรมจริงและมีการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ เพราะมีหลักฐานแวดล้อมมากมายที่เชื่อว่ารัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนทำให้เกิดการสูญเสียขึ้น

รัฐบาลบิดเบือนประเด็น

ส่วนการใช้ประเด็นความปรองดอง รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆขึ้นมานั้น นายชัยธวัชเห็นว่าเป็นการทำเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลมากกว่า เพราะแทนที่จะมุ่งสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นฝ่ายผิด ใครควรได้รับการลงโทษ แต่รัฐบาลกลับทำให้สังคมไขว้เขวไปเรื่องการปรองดองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทั้งที่จะต้องทำให้ความจริงและความยุติธรรมปรากฏก่อนจึงจะมีการปรองดอง

“ผมขอเตือนรัฐบาลว่าถ้าไม่ทำคดี 89 ศพให้มีความคืบหน้าและมีความชัดเจนก็มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้สถานการณ์เกิดความรุนแรงขึ้นในอนาคต เนื่องจากญาติผู้เสียชีวิตมีความโกรธแค้น ความรู้สึกที่ไม่ได้รับความยุติธรรม แต่อาจไม่ใช่ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นมาแบบรวดเร็วใหญ่โต แต่จะเป็นลักษณะที่สะสมไปเรื่อยๆ และผลกระทบนี้จะไม่กระทบแค่รัฐบาลเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อระบบระเบียบหรือโครงสร้างสังคมการเมืองไทยในระยะยาวด้วย”

ต้องเปลี่ยนผู้มีอำนาจ

นายชัยธวัชยืนยันว่า อุปสรรคสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ ตั้งแต่การสืบสวนหาข้อเท็จจริงนั้น จากการศึกษาบทเรียนและประสบการณ์จากประเทศต่างๆ รวมทั้งของประเทศไทย เงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่ความยุติธรรมและการคลี่คลายความขัดแย้งได้ก็ต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คืออย่างน้อยคนที่อยู่ในอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงต้องพ้นไปจากอำนาจก่อน

“ถ้าคนที่อยู่ในอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐอื่นๆ ยังมีอำนาจทางการเมืองอยู่ จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดต้องเปลี่ยนรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่เปลี่ยนก็ไม่มีทางที่จะได้ความจริงจาก 89 ศพ เพราะรัฐบาลนี้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ และจะหวังให้ดีเอสไอสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา ความยุติธรรมคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน”

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มาร์ค

ในตำรับตำราพิชัยสงคราม..มีอยู่คำ หนึ่ง..น่าจดจำ..“ต้องชนะก่อนถึงจะรบ”จอมจักรพรรดิ์นโปเลียน..พลาดไปแล้ว เมื่อนำทัพเข้าไปย่ำศึกในรัสเซีย..ฮิตเลอร์ผู้โหด เขลา..ก็ทำพลาดซ้ำสอง..มองไม่เห็นทางชนะยังเคลื่อนทัพ

ชนะแน่ๆ แต่ไม่ทำ...ประวัติศาสตร์สงคราม โลกครั้งที่ 2 จะพลิกโฉมทันที..หากทัพเยอรมัน และพันธมิตรทั้งหลายจะกรีธาทัพใหญ่..ข้ามมาช่องแคบเข้าสู่อังกฤษ..หรือปิดล้อมให้อ่อนแอ แล้วโจมตี

จิ้งจอกทะเลทรายอย่างรอมเมล กับกองทัพรถถังอันเกรียงไกรของเขา..จะวาง ตีนตะขาบทับมหาอำนาจแห่งท้องทะเล.. แทนที่จะไปหิวโหยอดตายอยู่ในทะเลทราย ที่ได้ชื่อว่าโหดร้ายสุดสุดของโลก

อังกฤษแตก..สิงโตถูกเด็ดหัว..2 อินทรีต่างทวีปจะรวมตัวกัน..เพราะอเมริกันส่วนหนึ่ง ยังจำสงครามปราบกบฏขององค์อลิซาเบธแห่ง บริเตนใหญ่ได้..ผีกระดูกมากมายย่อมจะร่าเริง ดีใจ..กับการล่มสลายของมหาอาณาจักร

แต่..เก่งแต่ปากอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์.. ผิดพลาด..แสนยานุภาพเป็นแค่ภาพหลอกตา.. ปราศจากการส่งกำลังบำรุง..กองทัพก็แค่..กอง วัสดุกับคนหนุ่มที่ป่วยจำนวนมหึมา..

ลากมาตั้งยาว..เพื่อที่จะถามว่า..ชนะแน่แล้วหรือ..จึงกล้าทรยศกับคำพูดของตน เองในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ..การเล่นเล่ห์เพทุบาย..เพื่อที่จะให้ผ่านไปแค่วันหนึ่ง วันหนึ่ง..แล้วหักหลังตลบกลับ..ไม่ว่าด้วยการยุบสภา..หรือว่าพรรคจะยุบก่อนหน้า..แบบนั้นแล้ว มาร์คจะเหลืออะไร..

มาร์คจะเสียทั้งประชาชนคนสนับสนุน ประชาธิปัตย์..มาร์คจะเสียการยอมรับจาก พรรคร่วมกลายเป็นคนมากเล่ห์เพทุบาย..ไร้ สัจจะ..ชวน หลีกภัย กับ บัญญัติ บรรทัดฐาน.. กระดูกสันหลังของพรรคประชาธิปัตย์.. เมื่อถูกหักดัดกลับถึงระดับนี้..แล้ว..สู้ปิดฝาโลงเดินลงหลุมด้วยตนเองไม่แกร่งกว่าหรือ..ให้ กุมารรุ่นลูกจูงจมูกประจานทั่วหล้า

แต่ที่สำคัญที่สุด และมาร์คต้องตอบให้ ได้ทั้งนั้น..ในตำแหน่งสูงสุดของผู้บริหารราชการ แผ่นดินนั้น อะไรสำคัญที่สุดสำหรับ..มาร์ค.. ระหว่าง..ชาติ ประชาธิปไตย และตนเอง

ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------

ทรพี..ทรพา?

นิทานปรัมปราบอกเล่าเก้าสิบถึงเรื่องราวของ “ทรพี ทรพา” ไว้ว่า..

เดิมที “ทรพา” เป็นยักษ์เฝ้าประตูวังชั้นในของ “พระอิศวร” ชื่อ “นนทกาล” แต่แอบหลง รักนางรับใช้ “พระอิศวร” จึงถูกสาปให้เกิดเป็น “ควายเผือก” ซึ่งจะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อถูกลูกชายฆ่าตาย

“ทรพา” จึงได้ฆ่าลูกตัวผู้ของตนจนหมด มีนางควายตัวหนึ่งคลอดลูกออกมาเป็นกายสีดำ และตั้งชื่อให้ว่า “ทรพี” และฝากเทวดาช่วยเลี้ยง ดู เทวดาจึงมาสิงอยู่ในร่าง “ทรพี” 6 องค์ จนเติบใหญ่มีรอยเท้าเท่ากับพ่อ จึงได้ท้า “ทรพา” ผู้พ่อมาสู้กัน

สุดท้าย “ทรพี” เป็นฝ่ายชนะและฆ่า “ทรพา” ส่งผลให้ “ทรพา” พ้นคำสาปไปเป็นยักษ์เฝ้าประตูดังเดิม ภายหลัง “ทรพี” ต้องตายด้วยความคะนอง ในฤทธิ์ของตนเอง และไปท้า “พระอิศวร” มาสู้ “พระอิศวร” โกรธจึงสาปให้ไปสู้กับ “พาลี” และถูก “พาลี” ฆ่าตายและไปเกิดเป็นลูก “พญาขร” ชื่อว่า “มังกรกัณฐ์” และให้ตายอีกครั้งด้วย “ศรพระราม”

กระทั่งนิทานเรื่องนี้กลายเป็นที่มาของคำศัพท์ เชิงกระทบกระเทียบที่ว่า..“ลูกทรพี” ซึ่งหมาย ความว่า ..ลูกอกตัญญู ให้โทษแก่บิดา มารดา เช่นเดียวกับควายทรพี ที่ฆ่า พ่อของตน และคำว่า..“วัดรอย เท้า” ซึ่งหมายถึงคิดเปรียบเทียบ หรือคิดแข่งขันกับผู้มีคุณหรือผู้อาวุโสกว่า

จูนชุดความคิดกลับเข้าสู่ปริมณฑลการเมืองไทย เผอิญและบังเอิญเกิดปรากฏการณ์ “ชีวิตนักเลือกตั้ง เป็นดั่งนิทาน”เรื่องราวในวันวาน ก็มี “ทีมงานงูเห่า”...เมื่อไม่นานมานี้ก็มีวาทะหัก “เหลี่ยม”..“จบแล้วนาย”

แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด ขึ้นเมื่อไวๆ นี่เอง..นั่นก็คือสถานการณ์ความสัมพันธ์ ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กับ “ม็อบพันธมิตรฯ” รวมไปถึงความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวระหว่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์” เจ้าเดิม กับ “นายหัวชวน หลีกภัย” และ “บัญญัติ บรรทัดฐาน”

อันมีที่มาที่ไปมาจากต้นเรื่องคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตราร้อน โดยไม่ผ่านการคัดกรอง ในชั้น “ประชามติ”

เป็นเรื่องเป็นราวถึงขั้น “บัญญัติ บรรทัดฐาน” วอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุมพรรค ซึ่งเกี่ยวเนื่องมา จากคำขู่ที่ว่า..หากผู้ทรงเกียรติท่านใดทะลึ่งฟรีโหวตและโหวตสวน พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ส่งผู้ ทรงเกียรติท่านนั้นลงสมัครรับเลือกตั้งที่พร้อมจะเกิด ขึ้นได้ในทุกสถานการณ์

แม้สองผู้เฒ่าจะผนึกกำลังต้าน แต่ก็มิอาจ ต้านทานผู้ถือสิทธิ์ขาดในการยุบสภาได้แม้แต่น้อย

และเป็นเรื่องเป็นราวถึงขั้น ม็อบพันธมิตรฯ หนึ่งในทีมงานที่ทำคลอด “รัฐบาลเทพประทาน” และปลุกปั้น “อภิสิทธิ์” ขึ้นมา เป็นนายกฯ ต้องเฮโลลงถนนออกมาคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญฉบับ “เตี้ยอุ้มห้อย” ในรอบนี้

หักหาญน้ำใจผู้มีอุปการคุณอย่างรุนแรงและมีนัยซ่อนเร้น ที่เผอิญสอดรับกับข่าวลือที่ดังออกมาจาก “เนวินกรุ๊ป” และ “ทักษิณ ชินวัตร”

ว่ากันว่า ถึงขั้นอาจมีงานพักรบเพื่อ พบรักเป็นการเฉพาะกิจ ในกรณีที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์” บิดพลิ้วไม่แก้รัฐธรรมนูญ อาจมีการเขี่ย ลูกให้ “ปู่ชัย ชิดชอบ” หยิบ “รัฐธรรมนูญฉบับเหวงๆ” ที่คาอยู่ในสภาขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วน โดยมีหมัด เด็ดสอดไส้ติดดาบวาระอภิปรายไม่ไว้วางใจแนบเข้า ไปอีกหนึ่งขยัก

ล็อกเป้าตัดตอนอำนาจยุบสภาให้หลุดออกจาก มือ “เด็กดื้อ” และปล่อยให้ประชาธิปัตย์ไปวัดดวง บนชั้นศาลรัฐธรรมนูญในวันที่คลิปฉาวกำลังว่อนเน็ต

จากคำร่ำลือดังกล่าว จึงกลายเป็นที่มาของคำถามใน 2 สมมติฐาน...ตกลงความบาดหมางระหว่าง “เด็กดื้อ” กับ “ผู้มีอุปการคุณ” อันมีต้นเรื่องจาก การแก้รัฐธรรมนูญ นั่นเป็น “เรื่องจริง” หรือ “จำอวดระดับออสการ์”

จะ “จริง จริง เท็จ เท็จ” หรือ “เท็จ เท็จ จริง จริง” ก็ดี แต่มันก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงคำถามระดับมหาชนว่า..สิ่งที่นักเลือกตั้งกำลังเล่นเกม แก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้..ประชาชนนั้นได้อะไรบ้าง??? อนิจจา นักเลือกตั้งสวมบท “ทรพี-ทรพา” เดินสวนสนามบนความไว้วางใจของประชาชนกันอย่างสนุกสนาน.. การเมือง น้ำเน่าอันฟอนเฟะยังเป็นนิรันดร์ คู่ฟ้าประเทศไทย!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------------------------

คลิป‘พสิษฐ์’มีนัยแฝงเพื่อไทยผวาทหารเตรียมกำลังเต็มอัตราศึก

โฆษกเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตคลิป “พสิษฐ์” โผล่ก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มีนัยสำคัญทางการเมือง ไม่เชื่อเป็นผู้เสียสละเพื่อความถูกต้อง ชี้อาจร่วมมือกันเป็นกระบวนการเพื่อเป้าหมายบางอย่าง สงสัยทำไมต้องสั่งกำลังทหาร ตำรวจเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึก ด้านหมอดูดังชี้ผลของคดีจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทย ระบุ 2 ปีจากนี้จะไม่มีเลือกตั้ง โดยทหารจะเข้าคุมอำนาจในบ้านเมือง ทีมกฎหมายประชาธิปัตย์พูดเป็นนัยผลการลงมติจะออกมาเป็นเอกฉันท์ไม่ 4 ต่อ 2 ก็ 5 ต่อ 1 เสียง เลขาฯการเมืองใหม่เชื่อคนในศาลปล่อยข่าวมติ 3 ต่อ 3 เสียง มั่นใจมีความเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของ “พสิษฐ์” แน่


จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
************************************

จับตาคดียุบพรรค ปชป. 6 เสียงตุลาการไม่ธรรมดา

29 พ.ย. ลุ้นคะแนนเสมอ?
ธรรมดาเสียที่ไหน กับการที่นายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีหนังสือขอถอนตัวจากการพิจารณาคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์

เพราะเป็นการยื่นหนังสือในวันที่วันที่ 26 พ.ย. หรือเพียงแค่ 3 วัน ก่อนการแถลงปิดคดีด้วยวาจา และการตัดสินคดี ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้แล้ว

สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุถึงเหตุผลในการขอถอนตัวในครั้งนี้ว่า เป็นเพราะได้มีการฟ้องคดีในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญาไว้ต่อศาลอาญาแล้ว
ซึ่ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นอื่น อันมิอาจก้าวล่วงได้ จึงอนุญาตให้นายจรูญ อินทจาร ถอนตัว
ส่วนนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ไม่อนุญาตให้ถอนตัว

นั่นย่อมหมายความว่าหลังจากที่นายจรูญถอนตัว จะทำให้เหลือตุลาการเพียง 6 คนในการพิจารณาวินิจฉัยในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายชัช ชลวร นายบุญส่ง กุลบุปผา นายจรัญ ภักดีธนากุล นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นายสุพล ไข่มุกด์ และนายนุรักษ์ มาประณีต

เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ขอถอนตัวไปก่อนแล้ว

จึงต้องถือว่าคดีนี้ไม่ใช่แค่เป็นคดีที่ลากยาวเท่านั้น แต่ยังเป็นคดีที่ส่งผลหรือสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดกับศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก เพราะสังคมมองภาพด้วยสายตาขงอคนภายนอกแล้ว ล้วนเกิดความสงสัยว่า
อะไรกันนักกันหนา!!!

เพราะหากเปรียบเทียบกับคดียุบพรรคการเมืองอื่นๆในอดีตที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่รวดเร็ว ม้วนเดียวจบง่ายๆทั้งสิ้น

ไม่เคยมีคลิปลับ ไม่เคยมีการขอถอนตัวเช่นกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้เลย จนทำให้มีการจับตามองกันเป็นอย่างมากว่า แล้วหลัจากนี้จะเป็นอย่างไร

เพราะทันทีที่เกิดการถอนตัวของนายจรูญ แม้แต่ในแวดวงพรรคร่วมรัฐบาล ยังมีการพูดกันกระหึ่มออกมาในทำนองว่า ขณะนี้เริ่มมีกระแสข่าวว่า การอ่านคำแถลงปิดคดียุบ ปชป. ด้วยวาจากรณีใช้กองทุนพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่คาดการณ์กันว่าศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำตัดสินไปในวันเดียวกัน
ซึ่งผลการตัดสินน่าจะออกมาว่า ปชป.ถูกยุบ

ส่วนหนึ่งสังเกตุจากการที่มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อย่างผิดปกติ รวมทั้งมีกระแสข่าวว่าโบรกเกอร์บางรายที่สนิทสนมกับนักการเมืองต้องโทร.มาเช็คข่าวจากคนในรัฐบาลกันอุตลุดไปหมด
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีข่าวลือภายในแวดวงพรรคร่วมรัฐบาลว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งหลุดปากกับคนใกล้ชิดว่าจะยุบ ปชป.พร้อมตัดสิทธิกรรมการบริหาร ปชป. 4 คน ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้า ปชป. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการ ปชป. และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาธิการ ปชป.

อย่างไรก็ตามมีกระแสสวนกลับด้วยเช่นกันว่าโอกาสที่ ปชป.จะถูกยุบพรรคนั้น มาในขณะนี้เหลือเพียงแต่ 40% เท่านั้น หลังจากที่เหลือตุลาการรัฐธรรมนูญทำหน้าที่พิจารณาคดีนี้เพียงแค่ 6 คนเท่านั้น

นายธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้มีการแสดงความคิดเห็นด้วยความเป็นห่วงว่าการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้อย่างน้อยคงต้องถูกตั้งคำถามจากสาธารณชน เนื่องจากว่าความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะฉะนั้นการวินิจฉัยคดีก็ต้องอยู่บนความเป็นเหตุเป็นผล

แต่ครั้งนี้ เหมือนกับเป็นคราวเคราะห์ของตัวตุลาการ เพราะมีปัญหากับเรื่องคลิปและความน่าเชื่อถือที่สาธารณชน และคดีนี้เป็น คดีสำคัญเกี่ยวข้องกับการเมืองที่เป็นปัญหาหลักอยู่ภายในขณะนี้

“ผมเรียนด้วยความเป็นห่วงว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องวินิจฉัยคดีให้ดี ในที่นี้คือวินิจฉัยคดีอย่างตรงไปตรงมา ต้องมีเหตุผลสนับสนุนอย่างหนักแน่นมั่นคง ถ้าการวินิจฉัยของศาลเป็นการวินิจฉัยที่ดีแล้ว อย่างน้อยความไม่น่าเชื่อถือที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในกรณีของคลิปก็อาจจะได้กู้คืนกลับมาได้บ้าง แต่ถ้าคำวินิจฉัยออกมาไม่ดีไม่เหมาะไม่มีเหตุผล ตุลาการจะเจอกับวิกฤตหนักกว่าเรื่องคลิปอีก”

ซึ่งประเด็นที่มีการตั้งคำถามกันมาก ก็คือ หากมติของคณะตุลาการ 6 คน ออกมาเป็น 3 ต่อ 3 เสียง หรือเท่ากันระหว่างยุบกับไม่ยุบพรรค แล้วจะเดินกันต่อไปอย่างไร???

เพราะนายวิรัตน์ กัลยาศิริ คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีการออกตัวว่า การขอถอนตัวของนายจรูญ อินทจาร คงไม่มีผลต่อการตัดสิน เนื่องจากคณะตุลาการฯที่เหลืออีก 6 คน สามารถทำหน้าที่ได้ สามารถให้คำวินิจฉัยได้

เพราะตามกฎหมายระบุว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลถูกต้อง เมื่อมีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่า 5 คน

ฉะนั้นหากตุลาการรัฐธรรมนูญมีความพร้อม ก็สามารถที่จะตัดสินในวันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายนนี้ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องหาตุลาการมาทดแทน

นั่นแปลว่าว่าหากจะต้องมีการหาตุลาการมาทดแทน นอกจากจะไม่ใช่เรื่อง่ายในการที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ ยังจะต้องมีการใช้ระยะเวลาด้วย ซึ่งจะมีการยืดคดีนี้ออกไปอีกด้วยหรือไม่???

นี่จึงเป็นเหตุให้ในวันที่ 26 พฤศจิกายน มีการพูดเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กระหึ่มไปทั้งเมือง และมีการวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาไปต่างๆนาๆ

แต่หากดูความนิ่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับแผนรองรับต่อการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณายุบพรรคว่า ยังไม่ทราบ
“ถ้าศาลวินิจฉัยว่าไม่ผิดเรา ก็เดินหน้าทำงานต่อ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าผิดเราก็ต้องดูว่าศาลตัดสินลงโทษใครอย่างไร เราก็ต้องยอมรับการตัดสิน คนที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องหมดสิทธิ์ไป คนที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องตัดสินใจอนาคตทางการเมือง แต่มั่นใจว่าสมาชิกพรรคที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ ก็ต้องรวมตัวกันเพื่อทำงานในทางการเมืองต่อไป”

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า กรณีการตัดสินคดียุบพรรคหากฝ่ายบริหารต้องพ้นจากตำแหน่งไป คนถูกตัดสิทธิ์ก็ยังมีกลไกของรัฐสภาก็ต้องเลือกนายกฯคนใหม่ และดำเนินการต่อไป ทุกคนต้องยอมรับกติกา
ท่าทีที่นิ่งของนายอภิสิทธิ์ และการที่ทีมสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รวมแม้แต่กระทั่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงความเชื่อมั่นมากๆ ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า เรื่องนี้สุดท้ายน่าจะออกมาเป็นคุณกับพรรคประชาธิปัตย์จริงๆหรือไม่???

และในแง่ที่ขณะนี้ จำนวนเสียงของตุลาการพิจารณษคดีนี้ เกิดเป็นเลขคู่ หลังจากมีการถอนตัวนั้น หากว่าเกิดฟลุ๊ก การลงคะแนนเสียงออกมาเท่ากัน อะไรจะเกิดขึ้น เพราะแม้แต่ในมุมของนักกฎหมายยังมองไม่ตรงกัน

มุมหนึ่งมองว่า หากเสียงเท่ากัน ก็ต้องมีการย้อนกลับไปสรรหาแต่งตั้งตุลาการขึ้นมาทดแทนใหม่ ให้มีเสียงที่สามารถตัดสินชี้ขาดได้โดยไม่มีการเสมอกันอีก

แต่แน่นอนว่าวิธีการเช่นนี้ย่อมต้องใช้เวลา อันจะมีผลให้การตัดสินคดีต้องขยับออกไปอีก
ขณะเดียวกันก็มีมุมมองในทำนองที่ว่า ตามหลักกฎหมาย ผู้ถูกกล่าวหา ต้องถือว่าเป็นผู้ที่ยังไม่ผิด ฉะนั้นหากไม่สามารถตัดสินได้ว่าผิดชัดเจน ก็ย่อมต้องยกประโยชน์ให้จำเลย
ดังนั้นกรณีนี้ หากเสียงลงมติออกมาเสมอกัน ก็ควรยกประโยชน์ให้จำเลยไป !!!
ฉะนั้นจนถึงวินาทีนี้ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ยังต้องจับตาและลุ้นกันสุดชีวิตจริงๆ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------------------------

เปิดศึก 4 ด้าน..!!!

อย่ากะพริบตา วันจันทร์นี้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์คงจะรู้ชัดว่าออกหัวหรือก้อย

เดิมทีศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายให้เป็นวันที่ทั้งฝ่ายโจทก์คือกกต.และจำเลยคือพรรคประชาธิปัตย์แถลงปิดคดี

แต่กระแสข่าวในช่วง 2-3 วันมานี้ คาดการณ์กันว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยทันที

ต้องลุ้นกันระทึกว่าจะยุบหรือไม่ยุบ!?

จะตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคทั้งหมดหรือว่าแค่บางส่วน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหรือไม่

ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤตของนายกฯมาร์คจริงๆ

ปัญหารุมเร้ามาตลอด นับจากการสลายม็อบแดงจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน เป็นเหมือนตราบาป โดนม็อบแดงตามกดดันให้รับผิดชอบมาตลอด 6 เดือน และมีแนวโน้มว่าจะดุเดือดยิ่งขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.นี้ไปจนถึงปีใหม่

ก็เพราะความ 2 มาตรฐานนั่นเอง!

การโหวตร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านไปหมาดๆ ก็เป็นไปแบบกระท่อนกระแท่น อลหม่าน

ม็อบที่เคยร่วมหัวจมท้ายกันมาจนได้เป็นรัฐบาล กลับแว้งใส่กันเอง

เพียงเพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว!?

นายกฯมาร์คคงไม่คาดคิดว่าจะมีวันที่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร

โดนศาสดาม็อบผู้มีพระคุณเล่นงานเข้าให้บ้าง

คำชื่นชมรื่นหูกลายเป็นคำก่นด่าสาปแช่ง

ความสัมพันธ์กับกองทัพก็ไม่เหมือนเดิม ไม่กลมเกลียวเหมือนเมื่อครั้งที่จัดตั้งรัฐบาลกันใน 'ราบ 11'

ความเหินห่างสะสมมาพอสมควร

และรุนแรงขึ้นเมื่อนายกฯมาร์คออกมายอมรับเรื่องที่ประชุมบริหารพรรคประชาธิปัตย์มีการหารือกันเรื่องจะมีปฏิวัติในเร็วๆ นี้

บรรดาผบ.เหล่าทัพต้องออกมายืนกรานเสียงแข็งว่าไม่มีปฏิวัติแน่ๆ

ระหองระแหงกันเรื่อยมาจนล่าสุดคำสั่งศอฉ.ห้ามขายรองเท้าแตะหน้ามาร์ค

เบรกกันไปกันมาระหว่างฝ่ายการเมืองกับกองทัพ

ยังมีเรื่องเก่าความขัดแย้งกับพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะกับพรรคภูมิใจไทยที่กลายเป็นเรื้อรังไปแล้ว

ถึงเวลานี้นายกฯมาร์คต้องทำใจ ยอมรับสภาพ หน้าตาเลยดูหมองๆ ไปเยอะ

ผิดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ดูผุดผ่องมีราศี ท่ามกลางกระแสข่าวคั่วนายกฯสำรอง

ว่าไปแล้วนายสุเทพอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หากเกิดมีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาจริงๆ

องค์ประกอบต่างๆ ก็เอื้ออำนวย เป็นส.ส. ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค

ยิ่งความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาล-กองทัพก็ยังแน่นแฟ้น

สมมติว่าพรรคประชาธิปัตย์เกิดปาฏิหาริย์ รอดจากการยุบพรรคขึ้นมาจริงๆ

แต่เก้าอี้นายกฯของนายอภิสิทธิ์ คงไม่มั่นคงเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

เพราะเปิดศึก 4 ด้าน

'แดง-เหลือง-เขียว-น้ำเงิน'นัวเนียกันไปหมด

ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน สมิงสามผลัด
------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ละคร....!!!???

และแล้วละครลวงโลก...การจัดฉากสร้างเรื่องราว...ก็ต้องมีอันเป็นไป
รู้กันทั้งนั้นว่า...ประชาธิปัตย์และชาวประชาธิปัตย์...ไม่ปรารถนาที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่อง
การเลือกตั้ง...แบบวันแมนวันโหวต...หรือเขตเล็ก
เบอร์เดียว

เพราะประชาธิปัตย์นั้น...เป็นพรรคนามธรรม...กล่าวคือสามารถเอาชื่อพรรคเป็นใบเบิกทางหาเสียงได้...อดีตที่ย้อนหลังไปได้ถึง 60 ปี...ในฐานะพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย...อดีตที่ได้ต่อสู้กันมาอย่างโชกโชนกับอำนาจเผด็จการ...ทำให้คนไทยหัวใจประชาธิปไตย รับเอาประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองของเขาในทุกครั้งที่ต้องเข้าคูหาหย่อนบัตร
จะกี่ปีของการเป็นพรรคฝ่ายค้าน...นานแค่ไหนของการรอคอยความวิบัติของจอมเผด็จการทั้งหลาย...แต่ประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยน...ความเป็นประชาธิปัตย์...

กระทั่งถึงยุค...ไม้ผลัดใบ
ประชาธิปัตย์...เปลี่ยนไปมากมายเหลือเชื่อ...ประชาธิปัตย์กลมเกลียวกับกองทัพและสั่งการให้ทหารออกมาเข่นฆ่าประชาชนอย่างคาดไม่ได้คิดไม่ถึง

ผู้นำยุคใหม่...ปิดซอยทั้งซอย...เพื่อความปลอดภัย...โดยไม่ใส่ใจกับเสียงร้องของผู้อยู่อาศัยและการทำมาหากินของเพื่อนบ้าน

เราได้ศรีธนญชัยตัวพ่อ...หล่อแต่กินไม่ได้..
พูดอย่างอธิบายไปอีกอย่าง...เป็นครั้งแรก
ในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์..ที่..สิ่งศักดิ์สิทธิ์..ทวงถามเรื่องรัฐบาลโกงกิน
แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงนั้น..มันก็ยังไม่น่าเวทนาเท่ากับการ..

สร้างละครลวงโลกขึ้นมา..หรือคอนเสิร์ต..ต้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ยอมย่ำยีความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย..ที่ห้ามชุมนุมกันในทางการเมือง..สร้างดับเบิ้ลสแตนดาร์ด..สีหนึ่ง
ทำได้แต่อีกสีหนึ่งทำไม่ได้..แยกคนไทย ออกจากคนไทย..ฯลฯ

พรรคร่วมผนึกกัน..เลือกตั้งคราวหน้าให้เป็นเขตเล็กเบอร์เดียว..เพื่อจะยังมีเก้าอี้ผู้แทนประดับพรรค..ประชาธิปัตย์ปฏิเสธ..ก็อาจจะโดนหักหลังในวัน
อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สามารถอยู่ได้และผ่านศึกไม่ไว้วางใจแบบผู้ชนะ
ละครลวงโลกจึงถูกสร้างขึ้นมา..พันธมิตรฯ กับ
ไม้ผลัดใบ

พรรคร่วมอาจจะเชื่อ..ว่าประชาธิปัตย์จริงใจอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ..แต่ประชาชนคนเสื้อเหลืองกลับปฏิเสธมหกรรมลวงโลกครั้งนี้
ท่านอาจจะหลอกลวงใครบางคนได้ในบางครั้ง แต่จะหลอกลวงทุกๆ คนไม่ได้ในทุกๆ ครั้ง


โดย. พญาไม้ทูเดย์พญาไม้ทูเดย์ ,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดักคอศาลรัฐธรรมนูญยื้อคดียุบปชป.ถึง11ธ.ค

แกนนำเพื่อไทยเชื่อวันที่ 29 พ.ย. หลังแถลงปิดคดีด้วยวาจาศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อจะยื้อไปจนถึงการชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลของพันธมิตรฯในวันที่ 11 ธ.ค. ระบุมีความพยายามอาศัยสถานการณ์สร้างความชุลมุนเพื่อให้อำนาจนอกระบบเข้ามาเคลียร์เงื่อนปมต่างๆที่ทำให้ฝ่ายถืออำนาจในปัจจุบันได้ประโยชน์กันทั่วหน้าและประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ “อภิสิทธิ์” ไม่กังวลเทปเสียง “ประจวบ” โผล่เพราะเป็นเรื่องเก่าที่นำสืบในชั้นศาลหมดแล้ว ยอมรับกังวลวันแถลงปิดคดีอาจเกิดความวุ่นวาย ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ต่างหน่วยงานประเมินสถานการณ์ไม่ตรงกัน กำชับตำรวจคุ้มกันตุลาการใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย

พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เชื่อว่าวันที่ 29 พ.ย. นี้หลังการแถลงปิดคดีด้วยวาจาศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน เพราะไม่มีทางออกอื่นแล้ว เนื่องจากทั้งพรรคประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญต่างมีปัญหาภายใน จึงต้องตัวใครตัวมันเพื่อรักษาสถานะของตัวเองเอาไว้

“มีทางเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบคือต้องฉีกรัฐธรรมนูญ บางทีวันที่ 29 พ.ย. หลังแถลงปิดคดีแล้วศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่มีคำตัดสินใจทันที แต่จะยื้อเวลาออกไปจนถึงวันที่ 11 ธ.ค. เพื่อรอให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล เชื่อว่าจะเกิดการจลาจลขึ้น ซึ่งเหมาะที่ทหารจะออกมาฉีกรัฐธรรมนูญ เพียงเท่านี้ก็จะสมประโยชน์กันทุกฝ่าย ทหารได้อำนาจรัฐ ได้เข้ามาบริหารประเทศ พันธมิตรฯก็ได้ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ในสภา ในกรรมการชุดต่างๆเหมือนตอนปฏิวัติคราวที่แล้ว และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ถูกยุบ”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปเสียงของนายประจวบ สังข์ขาว พยานคนสำคัญคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเผยแพร่ทำนองกล่าวหาแกนนำพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคว่า เท่าที่ฟังจากเนื้อหาเหมือนกับประเด็นที่เอามาใช้ในทางคดีและศาลได้นำสืบไปแล้ว ทั้งเรื่องที่ว่าเอาเงินมาให้พรรค ตนรับรู้เรื่องทุกอย่าง หรือต้องขอให้ตำรวจคุ้มกันเพื่อความปลอดภัย ซึ่งในชั้นศาลนายประจวบยอมรับว่าเป็นเรื่องไม่จริง

“วันที่ 29 พ.ย. ที่มีการแถลงปิดคดีด้วยวาจาจะเดินทางไปฟังการแถลงที่ศาลรัฐธรรมนูญด้วย โดยการแถลงเป็นหน้าที่ของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ในฐานะหัวหน้าทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า เท่าที่ดูคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรเห็นว่าสามารถชี้แจงได้ครบทุกประเด็นกล่าวหาอย่างชัดเจน

นายอภิสิทธิ์ยอมรับว่า เป็นห่วงสถานการณ์วันที่ 29 พ.ย. พอสมควร เพราะเข้าใจว่าจะมีผู้ชุมนุมไปรอฟังคำตัดสินเป็นจำนวนมาก ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำลังติดตามประเมินสถานการณ์อยู่ ในส่วนความปลอดภัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้กำชับกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปแล้วว่าให้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ตุลาการเกิดความมั่นใจในความปลอดภัย

“สิ่งที่เป็นห่วงตอนนี้คือเรื่องของการประสานงาน เพราะว่ารายงานที่ได้รับมาเป็นอย่างหนึ่ง แต่เรื่องที่ได้ยินมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยตรงกัน แต่ได้กำชับผู้เกี่ยวข้องไปแล้วว่าให้แก้ปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าวและว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีการขนคนจากต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุมเพื่อกดดันศาลหรือไม่ ส่วนตัวอยากให้ทุกคนร่วมมือกันให้บ้านเมืองผ่านเรื่องนี้ไปได้ โดยให้ตุลาการเป็นอิสระในการตัดสินคดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มั่นใจว่าหลังการแถลงปิดคดีด้วยวาจาแล้วศาลจะตัดสินเลยหรือไม่ เพราะตามนัดระบุเพียงให้ไปแถลงปิดคดีด้วยวาจา

ส่วนกรณีที่มีเสียงวิจารณ์กรณีที่พรรคออกหนังสือ “ความดีสู้อธรรม” ซึ่งเป็นเนื้อหาเกี่ยวคดียุบพรรคที่ออกมาก่อนวันตัดสินคดี เป็นการทำเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีอะไรไปกดดัน เพราะเป็นเพียงการรวบรวมข้อเท็จจริงของคดี

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

“แอมเนสตีมาเลเซีย” สัมภาษณ์พิเศษ “ออง ซาน ซูจี”



“ออง ซาน ซูจี” ผู้นำพรรคเอ็นแอลดีของพม่า ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับ “แอมเนสตี มาเลเซีย” ตอบคำถามจากเยาวชนอาเซียน พร้อมฝากคนหนุ่มสาวทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองในพม่า ซึ่งในจำนวนนี้มีเยาวชนรวมอยู่ด้วย “ประชาไท” นำเสนอพร้อมเสียงสัมภาษณ์

ไฟล์เสียงสัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์กับ “ออง ซาน ซูจี” เมื่อ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา จากคำถามของนักกิจกรรมเยาวชนในอาเซียน ตั้งถามโดยนอรา มูรัต (Nora Murat) ผู้อำนวยการแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล มาเลเซีย [ที่มา: ได้รับการเอื้อเฟื้อจากแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล มาเลเซีย (Amnesty International Malaysia)]

ที่ผ่านมา ที่เปตาลิงจายา ประเทศมาเลเซีย แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล มาเลเซีย (Amnesty International Malaysia) หรือเอไอมาเลเซีย ได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับนางออง ซาน ซูจี ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพปี 2534 และผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ของพม่า ซึ่งเพิ่งได้รับอิสรภาพเมื่อวันเสาร์ที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังถูกกักบริเวณในบ้านมาตั้งแต่ปี 2546 โดยการสนทนานี้กินเวลาประมาณ 6 นาทีเศษ

ก่อนหน้านี้เมื่อคืนวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา เอไอมาเลเซีย พยายามจัดการสนทนาทางไกล (teleconference) กับนางออง ซาน ซูจี เช่นกัน โดยกำหนดการในวันดังกล่าวนักกิจกรรมเยาวชนของเอไอมาเลเซีย และนักกิจกรรมเยาวชนของแอมเนสตีอินเตอร์เนชั่นแนลจากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ รวมทั้งฮ่องกง อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะเป็นผู้ตั้งคำถาม และนางออง ซาน ซูจีจะเป็นผู้ตอบ อย่างไรก็ตามในวันดังกล่าวไม่สามารถติดต่อทางโทรศัพท์เข้าไปในพม่าได้

เอไอมาเลเซีย พยายามติดต่อนางออง ซาน ซูจีอีกครั้ง โดยแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ออสเตรเลีย หรือ เอไอ ออสเตรเลีย ได้ร่วมฟังการสนทนาทางไกลครั้งนี้ด้วย และในครั้งนี้สามารถติดต่อกับนางออง ซาน ซูจีได้ โดยผู้สัมภาษณ์คือ น.ส.นอรา มูรัต (Nora Murat) ผู้อำนวยการเอไอมาเลเซีย เป็นผู้สัมภาษณ์นางออง ซาน ซูจี โดยใช้คำถามที่รวบรวมจากนักกิจกรรมเยาวชนของแอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล และคำถามจากนางนอราเอง

“เรากังวลมากว่าสายจะถูกตัด เราทราบมาก่อนว่าการโทรศัพท์เข้าพม่าเป็นเรื่องไม่น่าวางใจ แต่คืนดังกล่าวถือเป็นคืนที่มหัศจรรย์สำหรับพวกเราและบรรดาเยาวชน” นอรากล่าวผ่านคำแถลงในอีเมล์ “สิ่งนี้ทำให้พวกเรามีความสุขและมีแรงบันดาลใจที่จะทำงานของเราต่อไป”

โดยนางออง ซาน ซูจีตอบคำถามทั้งหมด 5 ข้อ โดยนางออง ซาน ซูจี ได้ตอบคำถามของนายไฟซาล อาซิส (Faisal Aziz) เยาวชนจากมาเลเซีย ซึ่งถามปรึกษาว่าเยาวชนจะสามารถดำเนินการรณรงค์ในประเด็นพม่าได้ในด้านใด และกลุ่มใดที่ควรเป็นเป้าหมายของการรณรงค์ โดยนางออง ซาน ซูจีตอบว่า “เพื่อนคนหนุ่มสาว ขอให้พยายามทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองในพม่าจำนวนกว่า 2,200 คน ในจำนวนนี้เป็นคนหนุ่มสาวเช่นเดียวกัน จำนวนมากอายุไม่ถึง 20 ปี” นางออง ซาน ซูจีกล่าวด้วยว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือ “สร้างความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์นักโทษการเมืองในพม่า”

ออง ซาน ซูจี ตอบคำถามถึงสถานการณ์ในพม่าหลังจากที่เธอได้รับการปล่อยตัวว่า สิ่งที่ฉันเห็นในวันแรกก็คือ ได้เห็นคนหนุ่มสาวในพม่าจำนวนมากในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นที่เธอกล่าวปราศรัยที่หน้าพรรคเอ็นแอลดี ซึ่งเธอระบุว่า “เป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีกำลังใจมากๆ” และระบุว่าอยากเห็นคนหนุ่มสาวในพม่าได้ติดต่อกับคนหนุ่มสาวทั่วโลก ซึ่งจะช่วยหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับพม่าต่อไป

ต่อคำถามสุดท้ายที่ว่า รัฐบาลประเทศไหนที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดที่คนหนุ่มสาวจะรณรงค์เพื่อสร้างกระแสกดดันต่อรัฐบาลทหารพม่าให้เกิดมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน นางออง ซาน ซูจี ตอบว่า เพื่อให้เกิดสิทธิมนุษยชนในพม่า กล่าวเฉพาะประเทศในอาเซียนทั้งหมด เราต้องการให้พวกเขาทั้งหมดร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไทยถือว่าสำคัญเพราะถือเป็นประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์ก็เป็นประเทศสำคัญด้านเศรษฐกิจกับพม่า มาเลเซียก็สำคัญเพราะต้องก้าวเดินไปข้างหน้าร่วมกัน รวมทั้งอินโดนีเซียก็มีความสำคัญเพราะเคยเป็นประเทศเผด็จการทหารและปัจจุบันเปลี่ยนเป็นประเทศประชาธิปไตย ซึ่งมีประธานาธิบดีมีท่าทีที่ดีต่อเรา

โอกาสนี้ เอไอมาเลเซียได้เอื้อเฟื้อคลิปเสียงสัมภาษณ์ออง ซาน ซูจีความยาวประมาณ 6 นาทีเศษสำหรับเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไทด้วย

ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ "จรูญ" ถอนตัว คดียุบพรรคปชป.

ศาลรัฐธรรมนูญได้นำเอกสารเผยแพร่ มาแจกให้กับผู้สื่อข่าวโดยเนื้อความระบุว่า เนื่องจากนายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือขอถอนตัวออกจากการพิจารณาคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลว่าได้ฟ้องคดีในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญาไว้ต่อศาลอาญาแล้ว ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้จึงอนุญาตให้นายจรูญ ถอนตัว ส่วนนายสุพจน์ ไม่อนุญาตให้ถอนตัว

ทั้งนี้ เมื่อคณะตุลาการให้นายจรูญถอนตัวก็ทำให้เหลือตุลาการเพียง 6 คนในการพิจารณาวินิจฉัยในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายชัช ชลวร นายบุญส่ง กุลบุปผา นายจรัญ ภักดีธนากุล นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นายสุพล ไข่มุกด์และนายนุรักษ์ มาประณีต

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
----------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นักวิชาการสงสัยคอป.ถูกบีบล้มดึงต่างชาติสอบสลายแดง

นักวิชาการตั้งข้อสงสัยทำไม คอป. ยกเลิกดึงนักวิชาการจากต่างชาติเข้าร่วมเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงเหตุสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีอยากดึงมาร่วมทำงานเพื่อให้ผลที่ออกมาได้รับการยอมรับ ระบุประเทศไทยมีธรรมเนียมปฏิบัติไม่ดี ไม่ใจกว้างให้องค์กรต่างประเทศเข้ามาตรวจสอบเรื่องต่างๆอย่างเป็นทางการ หากจะมาทำได้แค่ในนามส่วนตัวเพื่อเก็บข้อมูลจากเอ็นจีโอไทยเท่านั้น “ประยุทธ์” ยืนยันไม่ยกเลิกประกาศห้ามจำหน่ายสินค้ายั่วยุ ย้ำจะบังคับใช้ไปจนกกว่าบ้านเมืองจะสงบเรียบร้อย

น.ส.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์ประจำศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษา มหาวิทยาลัย มหิดล ร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเร็ว เพราะควรยกเลิกกฎหมายพิเศษแบบนี้ตั้งนานแล้ว

“ความจริงต้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาตั้งแต่ยุบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะไม่ควรมีกฎหมายแบบนี้ใช้ในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำมาบังคับใช้ก็ยิ่งเห็นว่าสมควรยกเลิกกฎหมายนี้ไปเลย เพราะไม่เป็นคุณกับประเทศและประชาชนเนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐได้” น.ส.ศรีประภากล่าว

น.ส.ศรีประภายังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลไทยไม่อนุญาตให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์ในประเทศไทย หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ย. 2553 ว่ารัฐบาลไทยไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ชุดเดียวที่ไม่อนุญาตให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบเรื่องภายในประเทศ แต่รัฐบาลไทยทุกชุดที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่ค่อยยอมรับให้องค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้ามาตรวจสอบอย่างเป็นทางการ หากจะเข้ามาต้องมาในนามส่วนตัวเพื่อหาข้อมูลหรือพูดคุยกับองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอของไทย

“ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศไทยไปแล้วที่ไม่ยอมรับให้ผู้แทนพิเศษของยูเอ็นเข้ามาตรวจ สอบเรื่องต่างๆภายในประเทศ ทั้งๆที่แนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ตรงนี้รัฐบาลไทยควรต้องเปิดใจกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลหรือเปิดให้คนอื่นเข้ามาตรวจสอบ ถ้ามีความมั่นใจว่าไม่มีอะไรปกปิดก็ต้องให้เขาเข้ามาตรวจสอบ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก” น.ส.ศรีประภากล่าวและว่า เคยนำเรื่องนี้เข้าหารือกับ ศ.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่าควรเอาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาร่วมเป็นกรรมการ เพราะจะทำให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงได้รับความน่าเชื่อถือเนื่องจากเราไม่ได้ทำแบบทำกันเอง ตอนแรกก็สนใจแต่เรื่องก็เงียบไป

ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงการยกเลิกการเยือนไทยของนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษชน โดยเฉพาะเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. นั้น น.ส.ศรีประภากล่าวว่า ต้องยอมรับว่าประเทศอังกฤษได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนค่อนข้างแข็งกร้าวมาตลอด และถือเป็นนโยบายต่างประเทศที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่นกรณีพม่า โดยอังกฤษเป็นประเทศแรกๆที่ขอร้องไม่ให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพม่า ไม่ออกวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพม่า และมีหลายเรื่องที่อังกฤษทำ จึงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าอังกฤษให้ความสำคัญกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนสูงมาก ดังนั้น ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่าอังกฤษจะมีปฏิกิริยากับไทยอย่างไรต่อไป

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยืนยันคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุอื่นใดที่ก่อให้เกิดความแตกแยกว่า ทั้งตนและ ศอฉ. เข้าใจตรงกันว่าอะไรที่เป็นความผิดต่อส่วนรวมถือเป็นความผิดที่ต้องดำเนินการ คำสั่งนี้ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำงาน แต่อะไรที่เป็นความผิดส่วนบุคคล ศอฉ. จะไม่เข้าไปยุ่ง

“ถึงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ในทางปฏิบัติเขาก็ต้องทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ว่าให้ทำอะไรแค่ไหน อย่างไร เรื่องนี้ไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งหรืองัดข้ออะไร เพราะหลักการของผมกับ ศอฉ. ตรงกันคือ หากเป็นความผิดเกี่ยวกับบุคคลจะไม่ยุ่ง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยืนยันว่า คำสั่งของ ศอฉ. ไม่ได้เจาะจงว่าใช้เฉพาะคนสีไหน และจะบังคับใช้ต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะเรียบร้อย ไม่ให้มีความรุนแรง ไม่มีการหมิ่นสถาบัน

“เราจำเป็นต้องดำเนินการ ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ด้วย การใช้สิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องทำได้แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย” ผบ.ทบ. กล่าวและว่า ที่ผ่านมาตำรวจและเจ้าหน้าที่เทศกิจอะลุ้มอล่วยเต็มที่แล้ว หากมีการจับกุมก็ลงโทษสถานเบาแค่ปรับแล้วก็ปล่อย สิ่งที่เรามุ่งหวังจากคำสั่งของ ศอฉ. นี้คือทำสถาบันให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ใครก็ตามที่เอาของมาขายต้องรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าเข้าข่ายหมิ่นหรือไม่

ส่วนที่นายกรัฐมนตรีอยากให้ยกเลิกคำสั่งนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้คุยกับนายกรัฐมนตรีแล้ว ท่านเพียงแต่บอกว่าให้ช่วยดูให้เกิดความชัดเจนเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในการปฏิบัติของเจ้า หน้าที่ ซึ่ง ศอฉ. ได้ประชุมกำหนดความชัดเจนไปแล้ว การออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะต้องพิจารณาโดยคณะกรรมการของ ศอฉ. ไม่ได้ให้ใครกำหนดเพียงคนเดียว เราได้หารือกันแล้ว เมื่อได้ข้อยุติจึงมีมติและประกาศออกมา

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

ฟองสบู่แตก !!!!!??

แดงเคลื่อนให้ขวักไขว่ คล้อยหลังเหลืองก็ขยับ เข้าใกล้หายใจรดต้นคอ โดยไม่อินังขังขอบว่าเขียวจะถอยรถถังออกมาเอ็กซ์เซอร์ไซส์ จัดระเบียบการเมืองเพื่อรักษาความสงบในวงเล็บแห่งชาติ!!!

กระนั้น ฝ่ายการเมืองโดยนายกฯ เด็กดื้อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังคงสวมบทใจดีสู้เสือ ปุเลงปุเลงกระเตงเตี้ยอุ้มห้อย ลุยไฟฝ่าดงบาทา โดยไม่แยแสเสียงทักท้วง

ประหนึ่งมั่นใจในอำนาจยุบสภา..จะเป็นคำตอบสุดท้ายแห่ง วาระซ่อนเร้นทั้งหมดทั้งปวง “อภิสิทธิ์ชน” เอาหลังพิงกติกาประชาธิปไตย ท่องคาถาคงกระพัน เอามือกุมหลวงพ่อรอด ท่องทะเลโต้คลื่นสึนามิ มิยำเกรงว่า “รัฐนาวาเทพประทาน” จะล่มคาปาก อ่าวประชาธิปไตย

“นายกฯ อภิสิทธิ์” ทุบโต๊ะกลางวง ครม. อุ้มสมพรรคร่วม รัฐบาล ชูธงแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตรา โดยไม่ต้องผ่านประชามติ ล่อเป้าพันธมิตรฯ ให้เปิดวาระชุมนุมโหนฟ้าเกลื่อนถนน เด็กดื้อวางยาซ้ำอย่างมีนัย “หากการชุมนุมแล้วทำให้เกิดการรัฐประหาร สู้ยอมยุบสภาเสียดีกว่า”

แทงกั๊กล็อกคออำนาจพิเศษ ไม่ให้ทะลุกลางปล้องออกมาในยามบ้านเมืองเกิดอาการวังเวง แต่อีกนัยก็มองกันได้ว่าเกมนี้มีงานขุดบ่อล่อปลา ก่อนอาญายุบพรรคประชาธิปัตย์จะตกผลึก

เนื่องด้วยการเมืองภายในพรรคสะตอเอง “นายหัวชวน หลีกภัย” และ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” 2 ผู้เฒ่าก็โดดขวางวาระ แก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยอาการสุดลิ่มทิ่มประตู

สรุปความคือ วาระนี้จะแก้รัฐธรรมนูญหรือแก้ผ้าตัวเองให้ เปลือยเปล่าล่อนจ้อนต่อหน้าเพื่อนพ้องและไพร่ฟ้าประชาชน คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามแบบตาห้ามกะพริบ


แต่ที่แน่ๆ คือทีมงานเสื้อแดงภาครัฐสภา ตีธงไอ้เข้ขวางคลอง ไม่ร่วมสังฆกรรมแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้ด้วยประการทั้งปวง และหาก เคราะห์ซ้ำกรรมซัดส่งผลให้วาระร้อนนี้ต้องประสบอุบัติเหตุด้วยน้ำมือคนกันเอง

มโหรีที่ตีฆ้องร้องป่าวมหกรรมตีปี๊บแก้ไขรัฐธรรมนูญ...คงต้องเอวังไปด้วยประการฉะนี้!!! ถ้าสมมติฐานดังกล่าว เผอิญเป็นจริง มันก็จะเข้าอีหรอบเดิม ในท่วงท่าการซื้อเวลาของเซียนเขี้ยวอย่างพรรคประชาธิปัตย์ แต่ ที่จะงามหน้ากว่าใครเพื่อนก็คงไม่พ้น “นายกฯ อภิสิทธิ์” ที่ไร้วาจาสิทธิ์ในการสั่งการอยู่บนหัวโขน “ท่านนายกฯ”

ภาพการเมืองอาจจะแก้ปัญหาแบบ “บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น” แต่ภาพลักษณ์ส่วนตัวที่สั่งสมมา อนิจจา “นายกฯ อภิสิทธิ์” สภาพไม่ต่างจากยาใกล้หมดอายุ

ยิ่งชำเลืองไปที่การโดดลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.ของ “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” แคนดิเดตม้าแข่งตัวใหม่ในเก้าอี้ “นายกฯ สำรอง” ย่อมสะท้อนให้เห็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่างที่น่าสนใจยิ่ง

โดยเฉพาะในระยะหลัง “นายกฯ อภิสิทธิ์” กับ “รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ” ดันกลับมาแนบแน่นกันจนผิดสังเกต บ่งบอกถึงทิฐิแห่งวาระหวงอำนาจที่ปรากฏให้เห็นเป็นเค้าราง เพราะงานนี้ หากจัดแถวใหม่โดยไม่ลงแข่งในสนามประชาธิปไตย

หัวโขนใหญ่เปลี่ยนใหม่หมด มีหวัง “นายกฯ อภิสิทธิ์” และ “รองนายกฯ สุเทพ” รวมไปถึง “เครือเนวินกรุ๊ป” ต้องตกสวรรค์ โลว์โปรไฟล์ทางการเมืองไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กระนั้นก็ตาม ก็ดูเหมือนว่า “นายกฯ อภิสิทธิ์” จะมั่นอกมั่นใจในอาญาสิทธิ์ยุบสภาในมือตัวเองยิ่งนัก แต่คงลืมไปว่า แรกเริ่ม เดิมทีนั้น บรรดาศักดิ์ของท่านได้มาแต่แห่งหนใด และนั่นก็อาจเป็น ไปได้ว่า กระบวนการเก่าซ้ำซาก จะย้อนรอยเกวียนกลับมาเหยียบ รอยตีนควายอำนาจคุมประเทศอาจไม่เปลี่ยนมือ แต่ดูเหมือนวันคืนของ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ใกล้ฟองสบู่แตกแล้ว!!!!


ที่มา.สยามธูรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

งบฯปฏิรูปประเทศปี 54 กว่า 187 แสนล้าน

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับแผนการใช้งบประมาณจำนวน 187,470,000 บาท ในปี 2554 นั้นแบ่งเป็นของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) 57,780,000 บาท มาจาก 1.กิจกรรมสนับสนุนการดำเนินงานของคปร. 26,100,000 บาท 2.สนับสนุนการขับเคลื่อนประเด็นวิชาการและนโยบายภายใต้ คปร. 10,000,000 บาท 3.งานสนับสื่อสารสังคมของคปร. 14,480,000 บาท 4.ประชุม 80 ครั้งๆ ละ 90,000 บาท รวม 7,200,000 บาท

ขณะที่ คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) มีแผนการใช้งบประมาณ ทั้งหมด 110,880,000 บาท ประกอบด้วย 1.กิจกรรมสนับสนุนการดำเนินงานของคสป.ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการปฏิรูป 18,000,000 บาท 2.กิจกรรมสมัชชาปฏิรูประดับชาติปีละ 1 ครั้ง 23,520,000 บาท 3.งานสนับสนุนการดำเนินการของเครือข่ายต่างๆ 25,000,000 บาท 4.งานสนับสนุนเครือข่ายภายใต้คสป. 25,000,000 บาท 5.งานสนับสนุนการขับเคลื่อนเฉพาะประเด็น 2,000,000 บาท 6.งานสนับสนุนการสื่อสารสังคมของคสป. 14,480,000 บาท 7.การประชุมคสป. 2,880,000 บาท

งบกลาง 18,810,000 บาทประกอบด้วย 1.งานนโยบาย แผน และการประเมินผล 2,000,000 บาท 2.งานบริหารทั่วไป 10,000,000 บาท 3.งานสารสนเทศ และการจัดการเครือข่าย 4,310,000 บาท 4.งานสนับสนุนกิจการพิเศษ 2,500,000 บาท


ที่มา.เนชั่น
-------------------------------------

น่าจะไม่รอด

ไม่ใช่แค่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องละเมิดสิทธิ์และไม่เป็นประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว

สำหรับคำสั่งศอฉ.ที่ห้ามขายสินค้ารองเท้าแตะรูปหน้ามาร์ค

ในกรณีการละเมิดสิทธิ์ก็ว่ากันไปเรื่องหนึ่ง องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนก็ตำหนิติติงกันไป

แต่ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ในอีกนัยหนึ่ง ถึงปัญหาความร้าวฉานระหว่าง นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ศอฉ.

เพราะหลังศอฉ.ออกคำสั่งนี้ไปในวันที่ 19 พ.ย.

วันรุ่งขึ้นนายกฯมาร์คกลับออกมาสั่งให้ศอฉ. ทบทวนคำสั่งนี้ทันที

อีก 2-3 วันถัดมา ศอฉ.ก็เรียกประชุม ก่อนให้โฆษกไก่อูออกมาแถลงว่าในที่ประชุมศอฉ.มีมติทบทวนคำสั่งตามบัญชานายกฯ แต่ศอฉ.ไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง

ตรงนี้หลายฝ่ายมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างศอฉ. กับนายกฯมาร์คไม่ปกติแล้ว

ท่าทีของนายกฯ ทำให้คนมองว่าศอฉ.ออกคำสั่งโดยพลการ หยุมหยิม จุกจิก

กลายเป็นเป้าโดนโจมตีจากนักสิทธิมนุษยชน

ส่วนนายกฯมาร์คก็ลอยตัว ไม่โดนด่า

จึงเป็นเหตุผลของการทบทวนตามบัญชา แต่ไม่เปลี่ยน แปลงคำสั่งนั่นเอง!?

ยิ่งตอกย้ำกระแสข่าวความไม่ลงรอยกัน

ก่อนหน้านี้ กองทัพก็ไม่พอใจกรณีการแถลงข่าวของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรื่องการสืบสวนสอบสวนคดี 91 ศพ

นายธาริตสรุปเพียงแค่ 12 ศพเจ้าหน้าที่โดนเสื้อ แดงฆ่า

แต่ที่เหลืออีกเกือบ 80 ศพไม่ฟันธงอะไรเลย ปล่อยให้อึมครึม

ออกมาแบบนี้ก็เท่ากับให้ไปคิดเอาเองว่าฝีมือใคร?

ฝ่ายการเมืองก็ลอยตัวอีก ฝ่ายปฏิบัติการก็รับไปเต็มๆ

ผสมโรงกับกรณีนายกฯมาร์คออกมาปูดข่าวการปฏิวัติเข้าไปอีก

ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์เหินห่างขึ้น

หากย้อนกลับไปดูช่วงประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินใหม่ๆ นายกฯ กับกองทัพก็กลมเกลียวกันดี

แต่หลังจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พ้นจากตำแหน่งผอ.ศอฉ.ออกไปสมัครเลือกตั้งส.ส.

ตัวประสานระหว่างกองทัพกับฝ่ายการเมืองก็ขาดหายไป

พอชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นรองนายกฯ ตามเดิม แต่ไม่ได้คุมศอฉ.ตามเดิม

ถึงนาทีนี้รัฐบาลเข้าขั้นโคม่าแล้ว

คดีสั่งสลายม็อบมีคนตาย 91 ศพถูกม็อบแดงจี้เช้าจี้เย็น

คดีความก็จ่อขึ้นศาลโลก

แถมโดนองค์กรนานาชาติจับตาว่าจะเป็นมวยล้มหรือไม่

การแก้รัฐธรรมนูญก็โดนม็อบผู้มีพระคุณเล่นงานเข้าให้

คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังร่อแร่

ไม่รู้ว่าจะยุบสภาก่อนถูกยุบพรรคดีหรือเปล่า?

ยังต้องเจอปัญหาขัดแย้งกับกองทัพเข้าไปอีก

แนวโน้มแบบนี้เรียกว่า น่าจะไปไม่รอด!?

ที่มา:คอลัมน์ เหล็กใน.ข่าวสดรายวัน

----------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การเมืองต้องนำการทหาร!

แม่ทัพภาคที่ 4 พลโทอุดม ธรรมสาโรรัชต์ ออกมาแถลง...เหตุการณ์ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มดีขึ้นเพราะกองทัพภาคที่ 4ใช้การเมืองนำการทหาร

ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ปัญหาการรุกรานด้วยกำลังจากอริราชศัตรู

การแก้ปัญหาด้วยการใช้การเมืองนำการทหารถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

ปัญหาความขัดแย้งของผู้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางการเมืองการแก้ไขยิ่งต้องใช้การเมืองนำ

ขืนคง พ.ร.ก.การบริหารราชการในภาวะฉุกเฉินซึ่งก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้นานๆเข้า..นับวันยิ่งเหมือนเชื้อดื้อยา ??

เลิกได้เลิกเถอะ...กฏหมายเผด็จการ

การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง...ขืนปล่อยให้การทหารนำการเมืองเดี๋ยวก็ปฏิวัติสลับรัฐประหารไปเรื่อยๆหรอก..จริงไหม ???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มาอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงกันดีไหม ??

เจอซากทารกร่วมสองพันกว่าซาก...ผลพวงจากการทำแท๊งเถื่อน !!

วี๊ดว๊าดกระตู้วู้ออกมาร้องแรกแหกกระเฌอเป็นไฟไหม้ฟางอีกตามเคย...แต่ไม่นานก็คงเงียบหายกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งตามเคย

สาเหตุของการทำแท๊งเถื่อนล้วนมาจากสาเหตุแห่งความไม่พร้อมที่จะมีบุตรแต่ดันมาตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมาดื้อๆ

หนทางแก้และหนทางที่จะป้องกันนั้นมีเสมอ

สำคัญแต่ว่าสังคมจะยอมรับความจริง และยอมอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงได้หรือไม่เท่านั้นแหละ ??

ถ้าหากเรายอมรับและยอมอยู่กับความเป็นจริงได้การแก้ไขปัญหาต่างๆก็คงง่ายขึ้น

แต่ที่มันยุ่งยากอยู่ทุกวันนี้...ล้วนมากจากปัญหาหน้าบางใจหนา

เลิกหน้าบางใจหนาเมื่อไหร่..ปัญหานั้นแก้ได้ง่ายนิดเดียว !!

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่รู้จะลาออกทำไม ??

เป็นผู้ว่า กทม.อยู่ดีๆ พอเจอคดีทุจริตรถดับเพลิงเข้า “หล่อเล็ก” อภิรักษ์ โกษะโยธิน ก็แสดงสปริริตลาออกจากผู้ว่า กทม.จนได้ใจชาวบ้านร้านถิ่นเป็นกระปุงโกย

มาวันนี้ไม่รู้อะไรมาทำให้ “หล่อเล็ก” เปลี๊ยนไป่ก็ไม่รู้

อยู่ๆก็ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมเป็น สส.กทม.เขต 2 ซะงั้นแหละ

การลาออกจากผู้ว่า กทม.ของ”หล่อเล็ก”ก็เพื่อให้เกิดมาตรฐานทางการเมืองใหม่ที่ประชาชนเรียกร้อง ??

คดีความยังไม่จบ ถูกผิดยังไม่ชี้

ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.มันก็อีหรอบเดียวกัน...แล้วมันเป็นมาตรฐานทางการเมืองใหม่ตรงไหนเอ่ย ???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จะแต่งตั้งตำรวจแต่ละทีช่างยากเย็นแสนเข็ญ ??

ข้าราชอื่นเห็นการแต่งตั้งของข้าราชการตำรวจแล้วขำกลิ้ง ??

จะแต่งตั้งแต่ละครั้งที่ชักช้าโอ้เอ้วิหารรายก็เพราะแต่ละหน่วยที่จะแต่งตั้งในอำนาจต้องรอกฎเกณฑ์ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดให้เสียก่อน

การแต่งตั้งระดับรองผู้บังคับการลงมาถึงสารวัตรประจำปีนี้...กฎเกณฑ์ในการแต่งตั้งยังไม่ออก

กฎเกณฑ์การแต่งตั้งน่าที่จะกำหนดไว้เป็นที่แน่นอนถือใช้ได้ทุกปีไม่ใช่จะแต่งตั้งทีก็กำหนดกันที

ข้อยกเว้นต้องมีไว้เฉพาะที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการจริงๆเท่านั้น

เปลือก กระพี้ แก่น เป็นเช่นไรต้องแยกให้ออกบอกให้ชัด

หรือว่า “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ลูกบ้านไผ่ จะปล่อยเอาไว้ให้เป็นปัญหาเช่นนี้ทุกปีไป???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“เหลิมดาวเทียม” !!

เจอ”เหลิมดาวเทียม” ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน สส.พรรคเพื่อไทยอภิปราย โซ้ยนิดตอดหน่อยได้ไม่นาน พ่อเจ้าประคุณช่องหอยม่วงก็ดันตัดไปถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ซะงั้นแหละ

เมื่อไม่ยอมให้ถ่ายทอดสดให้ตลอดรอดฝั่ง ไปฟัง “เหลิมดาวเทียม” โซ้ยสดๆให้ฟังบนเวทีน่าสนุกกว่าเป็นไหนๆ

ก็เมื่อพรรคแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งซ่อมทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและภาคอิสานทั้งหมดแล้ว

หน้าที่”เหลิมดาวเทียม”คือทัวร์ปราศรัยหาเสียงช่วยลูกพรรคหาเสียงทั่วทุกเขต

ถ้ารักเหลิม ชอบเหลิมอย่าลืมติดตามเองก็แล้วกัน โดยเฉพาะที่โคราช เขาว่าน่ามันส์หยดติ๋งๆกันเลยล่ะ!!!

-----------------------คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า.บางกอกทูเดย์-----------------------

แก้ รธน.-ปล่อย "นปช." ปชป.ในพายุแดงเดือด-เหลืองแค้น

พรรคประชาธิปัตย์ยังต้องบริหารความขัดแย้งจากแนวรบหลายด้าน

ด้านหนึ่งมาจากแนวรบฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งฝ่ายสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน ที่ตั้งตัวเป็นแนวต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550

ด้านหนึ่งมาจากแนวรบฝ่ายมวลชน-นอกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีทั้งฝ่ายที่เคยเป็นพันธมิตรในนามพรรคการเมืองใหม่ และแนวร่วมของฝ่ายค้านในนามของเครือข่าย นปช.

2 เครือข่าย 2 แนวรบ ที่มีเป้าหมายสุดท้ายต่างกัน แต่ทั้งสัญลักษณ์ ฝ่ายสีแดงและฝ่ายสีเหลืองต่างชิงลงมือในช่วงโค้งสุดท้ายของการปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยนิติบัญญัติ

ทั้ง นปช.และเพื่อไทยต้องการเงื่อนไขทั้งคว่ำรัฐบาลประชาธิปัตย์ และต้องการอิสระให้กับแกนนำ "เสื้อแดง"

ส่วนพรรคเพื่อไทย ในสภาผู้แทนราษฎร หวังจับมือสมาชิก "สภาสูง" คว่ำเกมแก้รัฐธรรมนูญ

ทั้ง 2 เกม 2 แนวรบ รุนแรง-รุกฆาตพรรคประชาธิปัตย์ จนยากจะขยับเขยื้อน

พรรคประชาธิปัตย์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงต้องเลื่อนวาระของคณะรัฐมนตรี และงานของฝ่ายบริหารให้พ้นจากแนวต้านนอกสภาผู้แทนราษฎรออกไปก่อน

พลันที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรชัย ชิดชอบ บรรจุวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ

พลันที่เครือข่ายนักกฎหมายออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เสนอยกเลิกคําสั่งที่ 141/2553 ของ ศอฉ. ที่ให้เจ้าหน้าที่สามารถยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุอื่นใดที่ก่อให้เกิดความแตกแยก และยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งตรงถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน

พลันที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง แห่งชาติ (คอป.) ซึ่งมี นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน สรุปข้อเสนอแนะ 5 ข้อ เกี่ยวกับสิทธิพื้นฐาน ของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา สืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ยื่นข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรี

เพื่อเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ว่าด้วย "สิทธิได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว" และ "หลักยกประโยชน์แห่งความสงสัย" (in dubio pro reo)

"คอป.จึงเห็นว่าหากไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี จะไปยุ่งเหยิงกับพยาน หลักฐาน หรือจะก่ออันตรายประการอื่นแล้ว ก็จะต้องปล่อยตัวหรือปล่อยชั่วคราวในทุกกรณี หรือการปล่อยชั่วคราวผู้ถูกกล่าวหาในคดีที่สืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อความรุนแรงโดยตรง เว้นแต่จะมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนที่สามารถพิสูจน์ถึงเหตุที่จะสามารถควบคุมตัวได้"

ข้อเสนอเพื่อความ "ปรองดอง" เกี่ยวเนื่องไปถึงกระบวนการยุติธรรมจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ

สัญญาณที่ไปถึงศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานอัยการสูงสุด จึงเป็น "รายงาน" ที่สรุปตรงกันว่า

"การปล่อยตัวหรือการปล่อยชั่วคราว ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการ ในการสร้างความปรองดองในชาติ"

ข้อเสนอจากมวลชน-องค์กร "นอกสภา" ส่งสัญญาณยื่นเงื่อนไขบรรทัดสุดท้าย ให้ปล่อย 7 แกนนำพ้นคุก

สำทับด้วยข้อเสนอของ "จาตุรนต์ ฉายแสง" จากเครือข่ายพรรคเพื่อไทยที่สนับสนุนแนวคิดก้าวหน้าตามหลัก ปรัชญากฎหมาย นิติธรรม และหลักสิทธิมนุษยชนของ "ดร.คณิต" อันจะเป็น "กุญแจ" ที่ทั้งฝ่ายตุลาการ-ศาล และรัฐบาล จะใช้ไขรหัสให้ 7 แกนนำได้รับการปล่อยตัว

ทุกแนวรบ แนวต้าน แตกต่างหลากประเด็น

เฉพาะอย่างยิ่งแนวรบของ "พันธมิตร" ที่นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) ที่ปรากฏตัวแสดงจุดยืน ก่อนเรียกสมาชิกลงสู่ท้องถนนหน้าอาคารรัฐสภา "คัดค้าน" การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

เหตุผลหลักในการคัดค้านยังอยู่ในวาระ-สาระ ที่ว่าด้วย "การลดทอนพระราชอำนาจ" และ "วาระซ่อนเร้น" ในการ "นิรโทษกรรม" ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ตัวแทนพันธมิตรประกาศว่า "พรรคการเมืองใหม่เสนอทางออกเพื่อแก้ไขความขัดแย้งว่า รัฐบาลควรถอนวาระออกมาก่อนแล้วดำเนินการจัดให้มีการ ออกเสียงประชามติสอบถามความเห็นประชาชนทั้งประเทศว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่"

ทั้งเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ-เกมกดดันปล่อยตัว 7 แกนนำ นปช. และการปลดภาระ-พันธะจาก "ม็อบพันธมิตร" ยังเป็นวาระเร่งด่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่อาจ ไม่พิจารณา

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จ.บึงกาฬเป็นหมันกฤษฎีกาค้าน กระทบสัดส่วนเลือกตั้ง

กฤษฎีกาค้านตั้งจ.บึงกาฬ ชื่อไม่เหมาะ กระเทือนแบ่งเขตเลือกตั้งกระทบจำนวนส.ว. ไม่เป็นไปตามรธน. ชาวอ.เฝ้าไร่ไม่ย้ายรวม

จากรายงานคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 2 ได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ....ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยพบหลายประเด็นอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาทั้งเรื่องชื่อจังหวัด การแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. รวมถึงการเลือกตั้งและการสรรหา ส.ว.

เรื่องชื่อจังหวัด คณะกรรมการกฤษฎีกามีข้อสังเกตว่า ในการกำหนดชื่อ จ.บึงกาฬ แม้ว่าจะมาจาก อ.บึงกาฬ แต่ก็เป็นเพียงอำเภอหนึ่งในบรรดา 8 อำเภอที่แยกออกมาจาก จ.หนองคาย และโดยความสำคัญในทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์แล้ว ก็เคยเป็นเพียงชื่อบึงขนาดเล็ก แต่โดยที่การตั้งชื่อจังหวัดควรคำนึงถึงความรู้สึกของราษฎรในอำเภออื่น การมีความหมายที่ดี เป็นมงคล และสื่อความหมายถึงประวัติความเป็นมาของท้องที่ด้วย เช่นเดิมใช้ชื่อว่าเมืองไชยบุรี เป็นต้น

อีกทั้งร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดนี้ อาจตราขึ้นเวลาใกล้เคียงกับการเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา 7 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้น หากสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการในวาระที่ 1 อาจขอพระราชทานชื่อจังหวัดเช่นเดียวกับกรณีการตั้งอำเภอใหม่ในระยะหลังก็ได้

เรื่องสัดส่วนของ ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง คณะกรรมการกฤษฎีกามีข้อสังเกตว่า โดยที่ จ.หนองคาย แบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 2 แต่ละเขตมี ส.ส.ได้ 3 คนในการตั้ง จ.บึงกาฬ ร่างกฎหมายได้กำหนดให้ ส.ส.ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.หนองคาย ก่อนวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ เป็น ส.ส.หนองคาย และให้ ส.ส.ซึ่งได้รับเลือกตั้งจากเขตเลือกตั้งที่ 2 จ.หนองคาย ก่อนวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ เป็น ส.ส.ที่ได้รับเลือกจาก จ.บึงกาฬ

แต่ปัญหาก็คือ ในการแบ่งเขต จ.บึงกาฬ มีประเด็นเกี่ยวกับ อ.เฝ้าไร่ ซึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 2 และควรจะต้องอยู่ในเขต จ.บึงกาฬ แต่ราษฎรในเขต อ.เฝ้าไร่ ไม่ประสงค์จะให้ย้ายอำเภอไปอยู่รวมใน จ.บึงกาฬ ดังนั้นจึงทำให้ราษฎรในเขตเลือกตั้ง จ.หนองคาย มีจำนวนมากกว่าราษฎรในเขตเลือกตั้ง จ.บึงกาฬ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสัดส่วนจำนวนราษฎรที่นำมาคำนวณเป็นเกณฑ์จำนวน ส.ส.ที่จะพึงมีได้ในแต่ละเขตจังหวัดสำหรับการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งต่อไป

นอกจากนั้น ยังพบปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ว.ของ จ.บึงกาฬ ด้วย เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 111 วรรค 1 และ 2 กำหนดให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน และมาจากการสรรหาซึ่งมีจำนวนเท่ากับ ส.ว.ทั้งหมด หักด้วยจำนวน ส.ว.ที่มาจากเลือกตั้ง และในกรณีที่มีการเพิ่มหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่

โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงปัจจุบันมี ส.ว.จำนวน 150 คน แบ่งเป็น ส.ว.สรรหา 74 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี และจะครบวาระในเดือนก.พ.2554 และส.ว.จากการเลือกตั้ง 76 คน จาก 76 จังหวัด มีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี จะครบวาระในเดือนมี.ค.2547 ดังนั้น เมื่อร่างพ.ร.บ.นี้มีผลใช้บังคับ จะส่งผลต่อการเลือกตั้งและการสรรหาส.ว. ดังต่อไปนี้

1.กรณีร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลใช้บังคับก่อนครบวาระ ส.ว.ที่มาจากการสรรหา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องดำเนินการสรรหา ส.ว.จำนวน 73 คน โดยต้องลดจำนวน ส.ว.ที่มาจากการสรรหาลง 1 คน (เพราะจังหวัดเพิ่มเป็น 77 จังหวัด) แต่ กกต.ก็ยังไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ว.บึงกาฬ ได้ทันที เนื่องจากมาตรา 111 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ในกรณีที่มีการเพิ่มหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่

ดังนั้น เมื่อดำเนินการสรรหา ส.ว.จำนวน 73 คนแล้ว และนำมาคำนวณรวมกับ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง 76 จังหวัด ก็จะประกอบด้วย ส.ว. 149 คน ซึ่งจะไม่ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ในมาตรา 111 วรรค 1 และจะต้องคงจำนวน ส.ว.149 คน จนกว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ว.ในครั้งต่อไป โดยกรณีนี้ไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ว.บึงกาฬได้ เนื่องจากการว่างของตำแหน่ง ส.ว.ของ จ.บึงกาฬ ไม่ได้มีเหตุมาจากมาตรา 120 ของรัฐธรรมนูญ

2.ในกรณีที่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลใช้บังคับหลังครบวาระ ส.ว.ที่มาจากการสรรหา โดย กกต.ได้จัดให้มีการสรรหาวุฒิสภาครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ต่อมา ร่าง พ.ร.บ.นี้มีผลใช้บังคับ และได้มีการจัดตั้ง จ.บึงกาฬ เป็นจังหวัดลำดับที่ 77 ของประเทศไทย กกต.ก็ยังไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ว.บึงกาฬได้ เนื่องจากมาตรา 111 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ในระหว่างการเพิ่มหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่ โดยกกต.จะสามารถจัดการเลือกตั้งส.ว.บึง
กาฬได้ เมื่อครบวาระส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง เดือนมี.ค.2557

ในกรณีนี้หากคำนวณตาม ส.ว.ที่มาจากการสรรหา 74 คน และ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน จะได้จำนวนรวมของ ส.ว. 151 คน เกินกว่าที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 111 วรรค 1

3.ในกรณีที่สมาชิกภาพของ ส.ว.หนองคายที่มาจากการเลือกตั้งต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 119 ของรัฐธรรมนูญในระหว่างปี 2554-2557 ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างนั้น จะต้องดำเนินการอย่างไร และจังหวัดใดจะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ว. ดังกล่าว เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งเดิมมาจากพื้นที่ทั้ง จ.หนองคาย และ จ.บึงกาฬ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
************************************************

"อาจารย์นิติ มธ."วิพากษ์ เกมแก้ไขรธน.ทำไมเพิ่งมาสนใจตอนนี้ ร่างหมอเหวงน่าสนใจแต่..ตอบโจทย์ชัดๆม.309

การประชุมร่วม 2 สภา เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดำเนินไปอย่างน่าเบื่อหน่าย   แต่"มติชนออนไลน์"จะปลุกท่านให้ตื่นมาอ่าน สัมภาษณ์ อาจารย์ธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหนึ่งในคณะนิติราษฎร์   เพื่อชี้ประเด็นให้ชัดว่า  การแก้ไขเป็นประโยชน์นักการเมืองหรือประโยชน์ประชาชน รวมถึงประเด็นใหญ่ๆ ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ควรให้ความสนใจ

*การแก้ไขรัฐธรรมนูญในสองมาตรา อาจารย์มองว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แล้ว มันก็ไม่ได้ต่างไปจากกฎหมายอื่น คือถ้ามันมีเหตุจำเป็นต้องแก้มันก็ต้องแก้ แต่เรื่องกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้ มันมีข้อสังเกตเบื้องต้นอยู่ 2 เรื่อง
   
เรื่องแรก  จริง ๆ การเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น มันไม่ใช่เกิดขึ้นมาครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้ก็มีมาแล้ว นั่นก็คือตัวร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจากหมอเหวง โตจิราการ หรือ คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.)แล้วก็ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค 2 พรรค แล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า สองร่างแรกรัฐบาลไม่เคยให้ความสนใจเลย หรือพยายามจะหาเหตุที่ว่า มันติดปัญหาตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง และในที่สุดก็ก็มีการปฏิเสธร่างฉบับนั้นไป แต่ว่าตอนนี้กลับมีการผลักดันให้มีการเร่งแก้ไขโดยเร็ว ตรงนี้เป็นข้อสังเกตว่า ทำไมรัฐบาลไม่สนใจร่างสองร่างนี้ก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันพอถึงร่างของรัฐบาล รัฐบาลกลับรีบเร่ง

ข้อที่ควรสนใจข้อที่สองก็คือว่า ร่างแก้ไขของตัวรัฐบาล ถูกตั้งขึ้นมาบนบริบทพื้นฐานของการตอบโจทย์เพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองหรือเพื่อความสมานฉันท์ แต่ว่าถ้าไปดูตัวเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญทั้งสองมาตรานั้น  ผมก็ไม่เห็นมันเป็นการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างไรเลย เพราะอย่าลืมว่าความสมานฉันท์ในตอนนี้ มันเกิดความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม แล้วความขัดแย้งตรงนั้น เป็นความขัดแย้งซึ่งเกิดมาจากเหตุผลหลายสาเหตุด้วยกัน

รัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการกำหนดจำนวนหรือวิธีซึ่งการได้มาของ ส.ส. กับกระบวนการกำหนดหมดสัญญา มันไม่ตอบโจทย์พวกนี้ ฉะนั้นคำถามก็คือว่า นี่คือสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะบิดเบือนไปจากความมุ่งหมายเดิมในการร่างหรือเปล่า และในสองร่างจริง ๆ  จะตอบโจทย์สมานฉันท์ที่รัฐบาลตั้งเอาเองจริงหรือไม่ ความเห็นผมนั้นคงไม่ ถ้าจะมีความสมานฉันท์คงเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันมากกว่า  

*ใน 4 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจารย์สนใจร่างไหนมากที่สุด
 
ถ้าพูดตามความเห็นแล้วมันก็ต้องแก้ใหญ่ แต่ร่างของหมอเหวงท่านใช้วิธีการก็คือเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี พ.ศ.2550 แล้วเอารัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540 มาใช้เลย เมื่อเป็นอย่างนี้มันเลยติดปัญหาเรื่องเทคนิคอยู่บ้างพอสมควร เพราะแม้ว่า ผมต้องการให้มีการแก้ใหญ่ แต่ร่างของหมอเหวงก็มีข้ออ่อนที่เขาจะโจมตีได้ว่ามันอาจจะทำให้เกิดปัญหาทั้งปัญหาเชิงเทคนิค ปัญหาเชิงหลักการ ร่างหมอเหวงน่าสนใจแต่ว่าค่อนข้างยากที่รัฐสภาจะไม่รับ ส่วนร่างของพรรคร่วมรัฐบาลสองพรรค (ภูมิใจไทยกับชาติพัฒนา) ผมเข้าใจว่าเนื้อหามันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากพรรครัฐบาลเท่าไหร่ ถ้าถามว่าสนใจอันไหนมากกว่ากัน ตอบว่าร่างหมอเหวงน่าสนใจแต่ติดปัญหาทางปฏิบัติ คือแก้ยาก ส่วนอีกสองร่างที่ไม่น่าสนใจก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะได้รับการแก้ไข แต่ไม่ว่ายังไงถ้ามีการแก้ไขก็ไม่ได้จบเท่านี้ ยังไงรัฐธรรมนูญก็จะต้องแก้ใหญ่อีกครั้งอยู่ดี

 *ในทางการเมือง ฝ่ายค้านบอกว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านสภา รัฐบาลต้องลาออก   ตรงนี้มีเหตุผลหรือไม่

นายกรัฐมนตรีก็บอกว่า  ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบถึงการลาออก เพราะว่าตัวร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่เป็นร่างที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาล   ผมฟังดูมีคำอธิบายทำนองว่ารัฐบาลก็ไม่สามารถจะคุมสมาชิกรัฐสภาได้ซึ่งไม่เหมือนการคุม ส.ส. ที่มีเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นถึงแม้รัฐสภาจะไม่ผ่าน มันก็เป็นเรื่องดุลพินิจของสมาชิกรัฐสภาที่เขาไม่ให้ผ่าน รัฐบาลเองเมื่อไม่สามารถควบคุมการทำงานของรัฐสภาได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นอิสระ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาลจะมารับผิดชอบกับการที่รัฐธรรมนูญเสนอออกไปแล้วไม่ผ่านความเห็นชอบของสภา ผมก็ว่ามีเหตุผลระดับหนึ่ง แต่ว่าถ้าพูดตามมาตรฐานของนายกรัฐมนตรีในเรื่องความรับผิดชอบทางการเมือง จริยธรรมทางการเมือง ผมก็คิดว่าต้องกลับไปคิดทบทวนดูอีกทีว่าผ่านหรือไม่ผ่านจริง ๆ แล้วควรรับผิดชอบในลักษณะไหน อย่างไรบ้าง

รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550  มีข้อบกพร่องฉกรรจ์ อยู่ตรงไหนบ้าง

 ผมเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550   มีข้อบกพร่องอย่างน้อยก็สามเรื่องด้วยกันคือ อันแรกปัญหาในเชิงหลักการ ต่อมาคือปัญหาเชิงโครงสร้าง สุดท้ายคือปัญหาเชิงเทคนิค ในปัญหาเชิงหลักการจริง ๆ แล้ว  รัฐธรรมนูญมีปัญหาเชิงระบอบ เพราะตัวรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550 หลาย ๆ มาตรา มันมีบทบัญญัติที่ไม่สะท้อนระบอบประชาธิปไตย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ เรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมันมีที่มาอยู่สองส่วน ส่วนหนึ่งก็มาจากการเลือกตั้ง อีกส่วนหนึ่งมาจากการสรรหา ทั้งที่มาจากสองส่วนนี้ความจริงแล้วถ้าไม่ยึดกับอำนาจหน้าที่แล้ว เราก็ตอบไม่ได้ว่ามันมีความชอบธรรมในประชาธิปไตยหรือไม่ แต่เนื่องจาก ส.ว.    มีอำนาจหน้าที่ไปถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีที่มาจากการเลือกตั้งด้วย เลยมีปัญหาในทางประชาธิปไตยว่า คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจในการถอดถอนผู้ที่มาจากการเลือกตั้งได้หรือไม่ นี่ก็เป็นตัวอย่าง

ปัญหาในเชิงหลักการบางหลัก อย่างการแบ่งแยกอำนาจ จะเห็นตัวรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างเช่น ให้อำนาจหน้าที่กับตุลาการค่อนข้างเยอะ นอกจากจะมีอำนาจวินิจฉัยคดีหรืออำาจปกติทั่วไปแล้ว ยังให้อำนาจหน้าที่เสนอร่างกฎหมายได้ด้วย ขณะเดียวกันก็ให้อำนาจหน้าที่การคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระได้ด้วย อำนาจหน้าที่ในการเสนอร่างกฎหมายก็ดี อำนาจหน้าที่ในการเสนอชื่อบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระก็ดี สองเรื่องนี้มันอาจจะมีปัญหาเรื่องการถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจ ว่าขณะศาลที่เป็นองค์กรตุลาการ ศาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่สมมติฐานของการจัดรัฐธรรมนูญให้เป็นลักษณะอย่างนี้ ผมเข้าใจว่า ปีพ.ศ. 2550 เขามีมุ่งหมายหรือสมมติฐานเบื้องต้นว่า นักการเมืองแย่ ฝ่ายบริหารแย่ ศาลถูกมองว่าเป็นคนที่มีคุณธรรม จริยธรรมดี เพราะฉะนั้นถึงแม้จะให้อำนาจหน้าที่บางอย่างให้สอดรับในรูปของการแบ่งแยกอำนาจก็น่าจะเป็นเรื่องเหมาะกับแบบไทยเรา นี่ก็คือปัญหาเชิงหลักการ

ส่วนปัญหาเชิงหลักการอีกอย่างหนึ่งซึ่งผสมกับปัญหาเชิงเทคนิคก็คือ ปัญหาเรื่องการยุบพรรค มีการเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรค ใครไม่ได้กระทำความผิดก็ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปด้วย ตรงนี้มันขัดต่อหลักสมควรแก่เหตุ ซึ่งรัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้ว่าการใช้อำนาจรัฐของทุกองค์กร ว่าทำอะไรเกินกว่าเหตุไม่ได้ การเกินกว่าเหตุอธิบายในแง่นี้ก็คือว่า คนที่ไม่ได้ทำความผิดยังต้องรับโทษจากสิ่งที่คนอื่นทำด้วย ตรงนี้ก็เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ ที่นี้เรื่องเทคนิคที่เป็นปัญหาจริง ๆ แล้วก็ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ตบท้าย

หลายคนบอกว่าอาจเป็นการสร้างความขัดแย้งให้คนในสังคม นั่นก็คือมาตรา 309 เพราะมาตรา 309 เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของประกาศ คปค. คำสั่งของหัวหน้า คปค. และการปฎิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าคปค. หลักตรงนี้มันหมายความว่า เมื่อมีการรับรองประกาศ คปค. ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นั่นหมายความว่าพวกนี้จะไม่มีโอกาสถูกตรวจสอบถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้เลย

 มีคนเคยแย้งผมว่าทำไมจะตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งก็มีหลายกรณีที่มีการเสนอคดีไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ศาลตรวจสอบว่า ประกาศ คปค. บางฉบับชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผมก็ยืนยันว่าแม้จะมีการเสนอขึ้นไปได้ แต่ศาลมีอำนาจในการชี้ให้มันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้ไหม (ไม่ได้) เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดและรับรองไว้แล้วว่า เมื่อชอบ แล้วเสนอขึ้นไปก็มีค่าเท่ากัน เพราะฉะนั้นนี่เป็นปัญหาซึ่งจะต้องเอามาตรา 309 ออกไปเลย

และยังมีความเข้าในทางสังคมว่า มาตรา 309 จริง ๆ เป็นมาตราเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมให้กับคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่เกี่ยวเลย เรื่องนี้เมื่อไหร่ที่มีการยกเลิกมาตรา 309 ผลทางกฎหมายก็มีอยู่อย่างเดียวคือ ประกาศ คปค. ก็ดี คำสั่งของหัวหน้า คปค. ก็ดี หรือการกระทำตามประกาศ คำสั่งของหัวหน้า คปค.ก็ดี จะเข้าสู่กระบวนการทางศาลได้ และศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่ามันชอบหรือไม่ชอบ ถ้ามันชอบด้วยเนื้อหาก็วินิจฉัยว่าชอบ ถ้าไม่ชอบด้วยเนื้อหา ก็วินิจฉัยได้ว่ามันไม่ชอบ ถ้าไม่เอามาตรา 309 ออก ศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่ามันไม่ชอบ ถึงแม้ตัวเนื้อหามันจะไม่ชอบ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 309 กำหนดเอาไว้แล้วว่ามันชอบด้วยเรื่องรัฐธรรมนูญ นี่คือปัญหาสำคัญ แล้วระบบอย่างนี้มันสร้างปัญหาเชิงหลักการอีกแบบหนึ่งก็คือว่า เรามีระบบตรวจสอบเรื่องความชอบรัฐธรรมนูญด้วยกฎหมายแยกออกเป็นสองทางคู่ขนานกันไป จะเรียกว่า สองมาตรฐานก็ได้
 
ทางหนึ่งก็คือว่ากฎหมายพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ถ้ามีปัญหาว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ แล้วศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ว่ามันไม่ชอบจริง ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องประกาศ คปค. ถึงเสนอไปที่ศาลได้ แต่ศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่ามันไม่ชอบ นี่ก็คือความต่างกันเรื่องการจัดระบบตรวจสอบความชอบรัฐธรรมนูญตามกฎหมายที่มันแยกต่างหากจากกัน

*   โอกาสที่จะยกเครื่องรัฐธรรมนูญปี 2550 จะเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งหน้า

ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นและคิดว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันคงไม่มีความคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ แต่ว่าถ้าเมื่อไหร่มีการเลือกตั้งใหม่ และมีพรรคการเมืองเสนอเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง นโยบายสำคัญอย่างหนึ่งนอกจากนโยบายบริหารราชการแผ่นดินแล้วก็คือการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ แล้วก็ไปหาเสียง ถ้าประชาชนให้ฉันทามติกับพรรคการเมืองนั้น ๆ ขึ้นมา เขาก็มีความชอบธรรมในทางประชาธิปไตยที่จะมาแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ ถึงจะมีความขัดแย้งขึ้นมาก็ไม่มีปัญหา วันนี้มีความขัดแย้ง อีกหนึ่งปีข้างหน้าจะแก้ใหญ่ก็มีความขัดแย้ง แต่ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามกระบวนการระบบ ไม่มีปัญหาอะไร

*ความเห็นของอาจารย์  อยากจะแก้ใหญ่ไปเลย แล้วกระบวนการที่จะนำไปสู่การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแบบยกเครื่องชุดใหญ่  จะทำอย่างไร

ผมเข้าใจว่ารูปแบบที่เราคุ้นเคยกัน ก็จะต้องมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา แต่ไม่ว่าอย่างไรเมื่อมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาแล้ว มีการยกร่างตามระบบเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายต้องมีการลงประชามติ ผมเห็นด้วยกับการลงประชามติตัวรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการแก้ไขครั้งใหญ่และไม่ใช่เหตุผลที่ว่า เราต้องลงประชามติเนื่องจากรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 ลงประชามติมาแล้ว เพราะเหตุผลในการลงประชามติของปี พ.ศ.2550 มันเป็นไปในลักษณะมัดมือชก แต่ถ้าเราต้องการให้ตัวรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบจากประชาชนจริง ๆ ไม่ใช่แต่สมาชิกรัฐสภา ให้ความรู้สึกว่านี่เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนจริง ๆ ควรใช้วิธีการอย่างนี้ในการกำหนดว่ารัฐธรรมนูญควรจะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะฉะนั้นควรมีสภาร่างขึ้นมา ยกร่างรัฐธรรมนูญ ร่างเสร็จก็ให้มีการลงประชามติ ถ้าประชาชนลงมติให้ผ่านก็ทูลเกล้าให้ในทลวงทรงลงพระปรมาภิไธย

*  การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มักถูกวิจารณ์ว่า เป็นประโยชน์นักการเมือง  ประชาชนไม่ได้อะไรเลย  เป็นจริงแค่ไหน
  
ผมเคยถูกตั้งคำถามมาเยอะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างนี้ถือว่าเป็นการแก้เพื่อนักการเมืองหรือเปล่า ผมเรียนหลักการพื้นฐานอย่างนี้ก่อนเลยว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางเรื่องมันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง บางเรื่องมันไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง แต่เป็นโดยอ้อม บางเรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวกับประโยชน์ของประชาชนโดยตรงเลย อย่างเช่นปัญหาในทางเทคนิคต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้นเราดูว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรเป็นประโยชน์ของประชาชนทุกกรณีไหม มันไม่จำเป็น
  
แต่ทีนี้ถามว่าตัวนี้ เรื่องร่างรัฐธรรมนูญสองมาตราที่กำลังเสนอแก้ไข มันเป็นประโยชน์กับประชาชนหรือเปล่า มันก็มองได้ทั้งสองแง่ ในแง่หนึ่งก็อาจจะมองว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็ได้ ในแง่หนึ่งก็มองว่าไม่ได้เป็นก็ได้      ถ้าจะบอกในแง่ของประชาชนนั้น อย่างเรื่องการแก้ไขเขตเลือกตั้ง ซึ่งเราจะเปลี่ยนวิธีจากเขตใหญ่เรียงเบอร์มาเป็นเขตเล็กเบอร์เดียว มันจะมีผลไปถึงระบบการใช้การลงคะแนนเสียงแบบ one man one vote ตรงนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนไหม  ผมว่า  เป็นในแง่ที่ทุกคนมีความเสมอภาคในการลงคะแนนเสียงอย่างเท่าเทียมกัน คือคนคนเดียวก็เลือกส.ส.ได้คนเดียว ไม่ใช่เหมือนระบบก่อนหน้านี้ บางจังหวัดเลือกได้สามคน บางจังหวัดผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเลือกได้คนเดียว

แต่ถามว่าแง่มุมในทางการเมืองมีความเป็นไปได้ไหมที่อาจจะเป็นประโยชน์ทางการเมือง ก็เป็นไปได้ เพราะว่าบางพรรค

การเมืองถ้าใช้ระบบแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์อาจจะสู้กับอีกพรรคการเมืองไม่ได้ ก็ต้องมาแก้ แก้เสร็จแล้วอาจกลับมาสู้ได้หน่อยหนึ่ง นี่คือประโยชน์ทางการเมืองก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นไปได้ทั้งประโยชน์ทางการเมืองและประโยชน์ของประชาชน

 แต่ไม่ว่าอย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์ในทางการเมืองของนักการเมือง ถ้าเป็นประโยชน์ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานของความชอบเขาก็มีสิทธิได้รับประโยชน์ ไม่ได้หมายความว่าพอเป็นประโยชน์ทางการเมืองสำหรับนักการเมือง พอจะแก้ถึงบอกว่าห้ามแก้     กรณีมาตรา 237 ก็เหมือนกัน ถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยการยุบพรรค ว่าด้วยการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคสำหรับคนที่ไม่ได้ทำความผิด ถามว่าถ้าแก้แล้วมีประโยชน์ทางการเมืองต่อนักการเมืองไหม (เป็น) แต่คำถามที่จะถามต่อไปก็คือว่าประโยชน์ที่เขาจะได้รับเป็นประโยชน์ซึ่งเขาจะได้บนพื้นฐานของความยุติธรรมหรือเปล่า   สรุปก็คือว่าถ้าเป็นประโยชน์ของนักการเมืองแล้วเป็นประโยชน์โดยชอบก็แก้ได้

 *การปฎิรูปการเมือง โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้ง ฉบับ ฝากความหวังไว้กับคณะกรรมการสมัชชา คณะกรรมการปฎิรูป ได้หรือไม่

ผมไม่ค่อยหวัง แต่สิ่งที่ผมหวังจริง ๆ ก็คือว่า เมื่อไหร่ที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ผมหวังว่าพรรคการเมืองหนึ่งพรรค สองพรรค หรือกี่พรรคก็แล้วแต่ เสนอเป็นนโยบายหลักควบคู่ไปกับนโยบายบริหารราชการแผ่นดินว่าจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญชุดใหญ่และจะแก้รัฐธรรมนูญโดยมีความมุ่งหมาย เพื่อให้ตัวรัฐธรรมนูญนั้นหรือประเทศเดินไปสู่เส้นทางของระบอบประชาธิปไตยจริง ๆ นั่นคือสิ่งที่ผมหวัง ถ้าเมื่อไหร่ที่พรรคการเมืองเสนอเรื่องนี้เป็นนโยบายในการเลือกตั้ง แล้วก็ได้รับฉันทานุมัติมา ตรงนั้นและที่มีความชอบธรรมยิ่งไปกว่าคณะกรรมการชุดคุณอานันท์ หมอประเวศ และชุดคุณสมบัติด้วยซ้ำ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมหวัง

ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สัมภาษณ์: ความจริง-การเมือง-กฎหมายหมิ่นในทรรศนะ"เดวิด สเตรกฟัสส์"

ปฏิบัติการเกาะติดและสะกดรอยผู้กระทำความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้มข้นยิ่งขึ้น   ในปรากฏการณ์ความขัดแย้งเหลืองแดงกว่าครึ่งทศวรรษ "คดีหมิ่น" ขึ้นสู่ศาล430 คดี  ขณะนี้จำนวนคดีหมิ่นพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ"ประชาชาติธุรกิจ" ติดตาม-ฉายภาพ"คดีหมิ่น"จากแว่นของเดวิด สเตรกฟัสส์(David Streckfuss) นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และทำงานในฐานะนักมานุษยวิทยาในภาคอีสาน  ผู้เขียนหนังสือที่อาจหาอ่านจากเมืองไทยไม่ได้ชื่อTruth on Trial in Thailand :Defamation, Treason, and LeseMajeste  (การดำเนินคดีกับความจริงในเมืองไทย : กฎหมายหมิ่นประมาท, ข้อหากบฏ, และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

Q:ในฐานะที่เป็นฝรั่งศึกษาประเทศไทยมองการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการ เมืองไทยอย่างไร

A:ช่วงนี้ไม่ว่าฝรั่งหรือไทยหลายคนก็เริ่มมองเหมือนกันว่า การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่เหมือนกฎหมายอื่นหลายอย่าง ถ้าเป็นหมิ่นประมาทธรรมดาก็เป็นผู้เสียหายเท่านั้นที่เป็นผู้ฟ้องร้อง แต่ในเมืองไทยไม่มีข้อจำกัด ผู้ที่สามารถฟ้องร้องบุคคลที่เขาคิดว่ากำลังหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกอันหนึ่งที่ไม่เหมือนกันระหว่างกฎหมายหมิ่นคนธรรมดากับหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ คือในการพิจารณาคดีของศาลหรือในยุทธศาสตร์การต่อสู้ของจำเลย ถ้าเป็นหมิ่นประมาทธรรมดามีข้อยกเว้น หากเป็นความจริงมีประโยชน์ต่อสาธารณะหรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตแต่กฎหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่มีข้อยกเว้น

อีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างจากหมิ่นประมาทธรรมดาอาจจะเห็นในต่างประเทศ คือ การวิจารณ์ถึงคนที่อยู่ในสายตาสาธารณะยิ่งต้องมีข้อยกเว้นจาก ศาล  (จากกฎหมาย)สำหรับผู้ที่ถูกพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการ หรือแม้แต่ดาราหรือใครก็ตามที่อยู่ในสายตาของสาธารณะแต่กฎหมายในประเทศเหล่า นั้นก็คุ้มครองhead of the state ก็ได้ หรือนายกรัฐมนตรีก็ได้ ซึ่งอาจจะคุ้มครองกรณีที่มีผู้ใช้คำหยาบหรือดูหมิ่น เช่น กล่าวหาว่าไปฆ่าคนอื่น หรือกล่าวหาเรื่องส่วนตัว ขณะที่หากเป็นเรื่องสาธารณะเขาก็ไม่คิดจะฟ้องแต่จะใช้วิธีโต้ตอบผ่านสื่อมากกว่า

Q: ดังนั้น หลักการคือยิ่งเป็นบุคคลสาธารณะ เช่น นักการเมือง นายกรัฐมนตรี ยิ่งควรเปิดโอกาสที่จะพูดถึงแล้วกรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศอื่น ๆ เป็นอย่างไร

A:ประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ประเทศอื่นก็มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเหมือนกัน เช่น สเปน มีโทษจำคุกถึง3 ปีนอร์เวย์ จำคุกถึง5 ปี แต่มีข้อจำกัด เช่นที่ประเทศนอร์เวย์ ถ้ามีใครดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ถ้าจะดำเนินคดีต้องมาจากความยินยอมของพระมหากษัตริย์เอง ดังนั้นก็มีวิธีการที่จะให้ผู้เสียหาย (พระมหากษัตริย์) บอกว่า อันนั้นมากเกินไปแล้วต้องดำเนินคดี
ดังนั้น หลายประเทศก็อาจจะมีเงื่อนไขว่าเรื่องต้องผ่านราชสำนัก หรือคณะองคมนตรีก่อน คืออย่างน้อยต้องมีการกรองระดับหนึ่ง

Q: ผลของกฎหมายไทยที่บัญญัติแบบนี้ส่งผลอย่างไร

A:การกลั่นแกล้งเกิดขึ้นได้ง่ายมากปัญหาคือถ้าตำรวจได้รับแจ้งความแล้ว แม้เขาจะไม่อยากฟ้อง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะยุติการดำเนินคดีนั้น เพราะต้องสอบสวนและส่งให้อัยการอยู่ดี ส่วนอัยการก็ไม่กล้าที่จะไม่ฟ้อง ฉะนั้นเขาก็ส่งให้ศาลในที่สุดศาลชั้นต้นก็ไม่ตัดสินชี้ขาดก็ส่งต่อให้ศาล อุทธรณ์ และแม้แต่ศาลฎีกาก็ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าจะตัดสินอย่างไร ก็มี9 คดีที่มาถึงศาลฎีกา ในช่วง5 ปีที่ผ่านมายังไม่พิพากษาและแนวโน้มของกระบวนการที่ไม่มีไกด์ไลน์ก็มีแต่การ ส่งต่อไปจนถึงศาลฎีกาประเด็นคือคนที่ทำคดีก็ไม่กล้ายกคำร้องหรือยกฟ้อง ดังนั้นกลั่นแกล้งง่ายมาก
         

Q:กฎหมายนี้ดูเหมือนถูกนำมาใช้ทางการเมืองมากกว่าจะหวังผลทางกฎหมายหรือไม่         

A:ถ้าการเมืองอย่างแคบคือการเลือกตั้งแต่การเมืองอย่างกว้างทุกวันนี้ทุกอย่าง ก็มีเรื่องอำนาจอยู่ในตัวมันเอง หมายความว่าทุกอย่างก็เป็นการเมืองอีกแบบหนึ่งมองอย่างกว้าง ถ้านิยามอย่างแคบก็คือนักการเมืองนำกฎหมายนี้มาแกล้งกันมาฟ้องกัน นักการเมืองอาจจะเป็นศัตรูกันจึงฟ้องกัน ถ้าจะพูดว่ากฎหมายนี้ใช้เป็นอาวุธทางการเมืองก็ว่าได้         

แต่เหยื่อของการใช้กฎหมายนี้เป็นใครส่วนมากเราไม่รู้ ความจริงแล้วไม่มีใครมีข้อมูลการฟ้องคดีนี้มากเท่าไร ซึ่งเราก็จะรู้แค่3-4 คดี เช่น ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล,บุญยืน ประเสริฐยิ่ง, สุวิชา ท่าค้อ, แฮรี่นิโคไลดส์ ชาวออสเตรเลีย ฯลฯ ปีที่ผ่านมามี164 คดี ไปถึงศาลชั้นต้นแล้วก็ลงอาญา82 คดี เรามีข้อมูลไม่กี่คดี และช่วงหลังมานี้สำนักงานอัยการไม่ได้รวบรวมสถิติคดีนี้ในรายงานประจำปีของ เขา เดิมทีเขารวมสถิติได้เป็นประโยชน์มาก ซึ่งต่อมาผมก็ต้องใช้สถิติของสำนักงานศาลยุติธรรมแต่ก็ขาดรายละเอียด บางอย่าง
         
Q:ทำไมเลือกศึกษาเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
          
A: ผมไม่ได้สนใจกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างเดียว แต่สนใจกฎหมายที่ใช้หลักการเรื่องหมิ่นประมาท คือเริ่มต้นจากผมเป็นลูกศิษย์อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูลผมก็พยายามศึกษาความเป็นไทย...หลังจากนั้นก็ดูเรื่องมุมมองความ มั่นคง เช่น สถานะผู้หญิง เด็ก ทุกอย่างก็เกี่ยวกับความมั่นคงศึกษาต่อมาก็ดูกฎหมายหมวดความผิดเกี่ยวกับ ความมั่นคงของประเทศ ก็ดูคำพิพากษาตั้งแต่เรื่องกบฏภายใน เรื่องดูหมิ่นสถานทูตที่เป็นมิตรกับไทย และจึงเริ่มดูกฎหมายที่ใช้หลักการหมิ่นประมาท
          

Q:พบว่ามีการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในสถานการณ์การเมืองที่แตกต่างกันอย่างไร
          
A: ตอนที่ผมเขียนวิทยานิพนธ์ พบว่าหลังจากรัฐธรรมนูญ2540 บางปีไม่มีคดีเลยหรืออาจจะ5 คดีต่อปี แต่ช่วงปี2548 ก็มีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เริ่มมีการฟ้องกันเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ... โดยมีการฟ้องร้องกันเต็มที่ภายในไม่กี่เดือน เทียบกันไม่ได้กับในอดีต ก่อนปี2548 ผมยังเขียนเน้นเกี่ยวกับเรื่องหมิ่นประมาทธรรมดาแต่ปี2548 มีการแจ้งความฟ้องร้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากขึ้นไม่หาย
         
Q:สาเหตุที่ในตอนแรกศึกษาคดีหมิ่นประมาทธรรมดาเพราะอะไร
         
A:สนใจกฎหมายที่ใช้หลักการเรื่องหมิ่นและตอนนั้นทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ข้อหาหมิ่นประมาทฟ้องร้องคนอื่นเป็นร้อยล้านบาท ในช่วงนั้นทุกคนก็พูดถึงกฎหมายหมิ่นประมาทซึ่งกระทบต่อสื่อมวลชนและตอนนั้น ก็มีคดีของสุภิญญา กลางณรงค์
          

Q:จากการศึกษาพบว่าทักษิณใช้กฎหมายหมิ่นจัดการกับฝ่ายที่วิจารณ์ตัวเขาอย่างไร
          
A:ร้ายแรงมาก มีการใช้คดีแบบนี้เยอะมาก อาจจะมีถึง100 คดีกับสนธิลิ้มทองกุล ก่อนหน้านี้มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เตมียาเวส ที่ใช้กฎหมายนี้เก่งจนดูเหมือนเขาอาจจะขึ้นศาลทุก ๆ2 วัน เพราะฟ้องทั่วประเทศ แต่สู้ทักษิณไม่ได้ เพราะทักษิณใช้กฎหมายนี้เก่งกว่า


Q:เป็นธรรมชาติของนักการเมืองทั่วโลกหรือไม่ ที่ใช้กฎหมายหมิ่นประมาทจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

A:ถ้ากฎหมายอำนวยให้ เขาก็คงจะใช้หรือถ้าอัยการและศาลเห็นด้วยในการดำเนินคดี เขาก็คงยิ่งได้อำนาจในการป้องกันตัวเองจากศัตรู โดยทั่วไปการยิ่งใช้กฎหมายหมิ่นประมาท ก็ยิ่งปิดพื้นที่สาธารณะหรือทำให้มันเล็กลง มันก็มีแนวโน้มที่ไม่ไปในทางประชาธิปไตยมากเท่าไร ซึ่งถ้าที่ไหนมีกฎหมายอำนวยให้...คนที่มีอำนาจก็จะใช้กฎหมายนั้นอยู่ดี
         
Q: การที่ใครไปแจ้งความข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ได้ เป็นปัญหาที่มีทางแก้ไขอย่างไรบ้าง
          
A: มีหลายอย่างที่อาจจะช่วยให้คนมีจิตสำนึกมากขึ้นในการใช้กฎหมายนี้ ซึ่งของฝ่ายรัฐบาลเวทีสัมมนากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์ มีบางคนก็เสนอว่าใครแจ้งเท็จก็ถูกฟ้องได้ อาจจะถูกจำคุก5 ปีแต่ผมคิดว่าอาจจะเป็นการขยายปัญหาเพราะที่จริงแล้วอะไรที่เป็นการหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพ ก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้วและถ้าจะฟ้องคนที่กล่าวหาก็ยิ่งมั่ว เพราะในที่สุดก็เป็นเรื่องเจตนาซึ่งเป็นสิ่งที่วัดยาก
       
Q: ทางออกในการแก้ปัญหา
          
A: ถ้อยคำที่ใช้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็เป็นถ้อยคำตามกฎหมายธรรมดา ที่แต่ละประเทศที่ปกครองแบบนี้ก็อาจจะใช้ได้ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่มาตรา112 แต่ปัญหาอยู่ที่อาจจะต้องมีข้อยกเว้นหรือไกด์ไลน์เพื่อที่จะทำให้ศาลนิยาม ความผิดที่ชัดเจนมากขึ้น ควรจะมีการศึกษาว่าอะไรคือหมิ่นฯ เพราะอะไร ? อะไรไม่เป็นหมิ่นฯ เพราะอะไร ? จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมาก

Q:ในฐานะที่อาจารย์ลงพื้นที่ศึกษาแบบมานุษยวิทยา พบว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากลั่นแกล้งกัน ในสังคมไทยสามารถใช้ได้ผล

A:ในความคิดเห็นของผม คิดว่าใน 100 ปีที่ผ่านมามีการพยายามสร้างโมเดลชาตินิยมชนิดหนึ่งที่ปฏิเสธความแตกต่างทาง ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้นหลาย ๆ อย่างโดยพยายามทำให้มันหายไปและก็ที่จริงแล้วช่วงที่อาจจะเข้มแข็งที่สุดก็ คือตอนช่วงต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้เป็นศัตรูสุดยอดสมบูรณ์แบบ เป็นผู้ดูเหมือนปฏิเสธความเป็นไทย ดูเหมือนช่วงนั้นก็มีคำถามว่าความเป็นไทยคืออะไร เราเป็นใคร เราน่าจะมีการปกครองแบบไหน ดูเหมือนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยรัฐธรรมนูญ2540 ยอมรับความแตกต่างมากขึ้น
แต่หลังจากรัฐประหาร2549 นั้น ดูเหมือนมีความพยายามเอาโมเดลชาตินิยมแบบนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วบังคับให้ทุกคนอยู่ในนั้น แต่มีศัตรูแบบใหม่ คือ ผู้ไม่มีความจงรักภักดีกับสถาบันสูงสุด ผมว่าเป็นโชคร้ายมาก หรือเป็นสิ่งที่แย่มากที่เป็นแบบนี้แบ่งแยกว่ามีผู้จงรักภักดีและไม่จงรัก ภักดีหรือบอกว่ามีคนรักชาติและไม่รักชาติ ทั้งที่คนซึ่งถูกหาว่าไม่รักชาติ เขาอาจจะรักชาติอีกแบบหนึ่งก็ได้ การกล่าวหากันนั้นได้ผลระยะสั้น แต่ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยยังไม่เผชิญหน้ากับการชำระประวัติศาสตร์ไม่ว่า จะเป็นช่วงสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีคำสั่งคณะปฏิวัติที่17 ที่พยายามควบคุมสื่อมวลชน หรือช่วงตุลา2516 ตุลา2519 พฤษภาทมิฬ2535 และเมษา พฤษภา ในปีนี้ก็ดูเหมือนแนวโน้มยังไม่ถึง(การชำระประวัติศาสตร์) ใช่ไหม ผมยังไม่เห็นเหตุการณ์ที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะเผชิญหน้ายอมรับกับความจริง เพราะกลัวเจ็บ
        
Q:อาจารย์เชื่อว่าแผนปรองดองจะได้ผลไหม
         
A:
ผมทำวิจัยอยู่อีสาน มีคนน้อยมากที่ผมเจอที่คิดว่าแผนปรองดองมีความหมาย
         
Q:บรรยากาศในชนบทเป็นอย่างไร         

A:เปลี่ยนไปเยอะ แต่ยังไงก็มีฐานบางอย่างอยู่ที่นั่น อย่างเช่นเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมามีคนอีสานตายเยอะ จนคนอีสานหลายคนแทบไม่เชื่อว่าคนกรุงเทพฯรับได้ที่มีคนตายเยอะ แทบไม่เชื่อว่าเขาทนได้ยังไง แล้วหลังจากมีการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ คนกรุงเทพฯก็ให้คุณค่ากับอันนั้น(เซ็นทรัลเวิลด์) เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ได้มองชีวิตคนว่าเป็นมนุษย์เท่ากัน...เขาก็เจ็บ

Q:ถ้าคิดแทนคนกรุงเทพฯ เขาก็รับไม่ได้ที่คนเสื้อแดงมาเผาบ้านเผาเมือง

A:คนอีสานก็จะตอบว่า ต้องดูหลักฐานก่อนว่าใครเผา มันจะมีเกมการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เขายังมีความสงสัย ซึ่งผมก็ไม่มีข้อมูล แต่การเผาเป็นสิ่งดีไหม ก็ไม่ดีเพราะคนเสื้อแดงส่วนมากไม่มีใครเห็นด้วย
         
Q:อารมณ์คนกรุงเทพฯที่รับไม่ได้กับเสื้อแดง         

A: ปัญหาคือใครมีสิทธิจะบอกว่าเป็นตัวแทนของคนกรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯก็น่าจะเป็นของคนไทยทุกคน แต่คนที่สีลมในช่วงนั้นบอกให้คนชนบทออกไป คำถามคือคนชนบทเขาไม่มีสิทธิอยู่ที่นี่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกระจายอำนาจหน่อย เพราะถ้าไม่กระจายอำนาจ...ทุกคนก็จะมาหางานที่กรุงเทพฯอยู่ดี ถ้าไม่มีคนชนบทในกรุงเทพฯแล้ว50 เปอร์เซ็นต์ของคนกรุงเทพฯก็จะหายไป ก็ลองดู ก็จะไม่มีร้านอาหารไม่มีอะไร ลองดูว่าคนกรุงเทพฯจะยังสบายใจไหม
         
Q:มองการเคลื่อนไหวเสื้อแดงอย่างไร

A:ยังไม่มีใครพูดได้อย่างมั่นใจว่ากระบวนเสื้อแดงว่ามันคืออะไรกันแน่ มันเป็นของพรรคเพื่อไทยเหรอ ? มันเป็นของทักษิณเหรอ ? หรือมีเอกลักษณ์ของมันเอง?ที่จริงแล้วใครควบคุมเสื้อแดงตอนนี้ได้?ตอนแรกก็ รู้สึกว่าเชื่อมกับทักษิณ กับพรรคเพื่อไทย แต่ตอนหลังเริ่มไม่แน่ใจเพราะคุมกันไม่ได้และไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน...อาจ จะต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างแต่ดีที่คุณอภิสิทธิ์มีเหตุผลที่บอกว่าถ้า ห้ามแต่เสื้อแดงก็จะเป็นการสร้างความแตกแยกเสียเอง..


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++