นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปิดโครงการอบรม "ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง" ซึ่งมูลนิธิสัมมาชีพและเครือ "มติชน" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-5 กันยายน ที่ห้องประชุมอาคารข่าวสด เมื่อวันที่ 5 กันยายน
ผมมาวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาบรรยายอะไร แต่มาเพื่อสื่อความในใจร่วมกัน ต้องการมาขอบคุณเครือมติชน และผู้บริหารในเครือมติชนที่เห็นคุณค่าของโครงการนี้ และเป็นเสาหลักจริงๆ ให้กับโครงการที่จัดขึ้นมา ถ้าไม่มีความสนับสนุนจากเครือมติชน ผมไม่คิดว่าโครงการจะลุล่วงได้ถึงขนาดนี้ ขอขอบคุณคณะวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเชื่อว่าเป็นคณะวิทยากรซึ่งหาได้ยาก แต่ละท่านล้วนมีชื่อเสียงระดับประเทศ การมาร่วมกันบรรยายโครงการหนึ่งโครงการใดนั้นไม่ใช่ของง่าย ที่สำคัญที่สุดต้องขอขอบคุณมูลนิธิสัมมาชีพ ที่ประกอบด้วยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้หวังผลอะไร แต่ยอมเสียสละเวลา เสียสละกำลังกายกำลังใจเป็นผู้จัดโครงการ และต้องขอขอบคุณผู้เข้าร่วมอบรม แต่ละคนมีภาระยุ่งเหยิง มาจากต่างจังหวัด บางท่านมาจากยะลา เสียสละเวลามานั่งฟัง แบ่งปันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน
สิ่งที่โครงการนี้หวังเพียงว่า ณ จุดนี้ โครงการจะสามารถทำให้เห็นถึงบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกพอสมควร ช่วยให้สามารถมองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างของประเทศไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ อาจให้ความคิดหรือบทเรียนบางประการที่สามารถนำไปใช้ในสิ่งที่มีจุดมุ่งหมายอยู่แล้วที่จะทำความดีความงามให้กับสังคมบ้านเมือง มีโอกาสให้สร้างเครือข่าย ไม่ใช่สร้างเครือข่ายเพื่อความรุ่งเรืองส่วนตัว แต่เป็นเครือข่ายที่จะช่วยให้ผู้อบรมได้ทำในสิ่งที่ต้องการคือทำสังคมให้ดียิ่งขึ้น
ตอนเริ่มโครงการ ผมเชื่อว่าหลายคนอาจตั้งคำถามในใจว่าจริงๆ แล้ว วัตถุประสงค์ของโครงการคืออะไร มีการเมืองแอบแฝงหรือไม่ แต่ผมไม่เคยอธิบายและตอบคำถามในสิ่งเหล่านี้ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าโครงการนี้ให้อะไร และได้ผลอย่างไร เท่าที่ฟังผู้เข้าอบรมสรุปมาก็คิดว่าโครงการนี้บรรลุเป้าหมาย ถ้าเริ่มมีประกาย เริ่มมีความมุ่งมั่น เริ่มคิดที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อสังคมบ้านเมือง สิ่งเหล่านี้คือจุดประสงค์ที่แท้จริง
เมื่อครั้งผมคุยกับคุณขรรค์ชัย บุนปาน ประธานเครือมติชน ว่าต้องการให้มีการร่วมกันของภาคประชาชน ถ้าภาคประชาชนเข้มแข็ง บ้านเมืองก็เข้มแข็ง แต่ภาคประชาชนนั้นไม่ใช่ว่า ทุกคนมีความพร้อมเท่าเทียมกัน การที่ทุกคนจะมีส่วนร่วมในทันใดนั้นเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ต้องมีด่านหน้าหรือที่เรียกว่า "ฟรอนท์ ไลน์" ที่มีความพร้อม อยู่ในตำแหน่งที่สามารถทำอะไรได้มากกว่าคนอื่น ให้คนเหล่านี้ได้มีโอกาสพบปะ รับฟังสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ทำความเข้าใจโลก ทำความเข้าใจกับประเทศไทย ทำความเข้าใจกับตัวเองให้ดีขึ้น โครงการพยายามให้ข้อมูล ให้ความรู้ ให้ช่องทาง และให้ความสนับสนุนเต็มที่
ผมคิดโครงการนี้ขึ้นมา เพราะครั้งหนึ่งผมเคยมีความฝัน เป็นความฝันของคนที่ยังหนุ่มยังแน่น เป็นความฝันที่อยากทำให้ประเทศดีขึ้น จริงๆ แล้วชีวิตผมห่างไกลจากการเมืองสุดกู่ ผมเกิดที่เยาวราชในครอบครัวที่ไม่มีอันจะกิน โชคดีที่ผู้ใหญ่อุปการะส่งเสริมให้เรียนหนังสือ ได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดทางสังคมและการเมือง เริ่มมีความคิดทางสังคมและการเมือง เพราะว่ามีสิ่งที่มาจุดประกาย ประกายแรกเกิดขึ้นที่ธรรมศาสตร์ สมัย 14 ตุลา มาจบที่ 6 ตุลา ผมอยู่ปี 1-4 จากคนที่ไม่เคยสนใจสังคมการเมืองก็เริ่มคิดว่าบ้านเมืองควรเปลี่ยนแปลงอย่างนี้อย่างนั้น ประการที่สองคือ ตอนที่มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ ได้ศึกษาทำความรู้จักกับประเทศญี่ปุ่น ก็เอะใจว่าทำไมญี่ปุ่นซึ่งไม่มีอะไรเลยถึงพลิกกลับขึ้นเป็นมหาอำนาจ ความสนใจเริ่มแผ่ไปฮ่องกง สิงคโปร์ ประการที่สามเริ่มคิดจะเขียนหนังสือ แล้วก็คิดถึงเรื่องเมืองไทย แล้วจู่ๆ โชคชะตาก็พาเข้าการเมือง
ก่อนหน้านั้นผมเป็นนักวิชาการ เป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชน ครั้งหนึ่งเคยนั่งกินกาแฟ ทางซ้ายของผมคือ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ทางขวาของผมคือ คุณทักษิณ ชินวัตร รักกันมาก นั่นคือ 20 ปีที่แล้ว ผมไม่คิดว่าวันนี้ท่านจะเป็นเจ้าของกีฬาสีคนละสีกัน นี่คือดวงชะตาคนเรา จู่ๆ ผมก็เข้าไปช่วยคุณทักษิณที่กระทรวงต่างประเทศ บอกท่านให้ใช้เศรษฐกิจนำการทูต และเมื่อตั้งพรรคการเมืองท่านก็ตั้งให้ผมเป็นประธานวิชาการของพรรคไทยรักไทย เขียนนโยบายขึ้นมา ตอนนั้นหนังสือเล่มหนึ่งกำลังฮิต คือ "รี ธิงกิ้ง" ผมเลยคิดขึ้นมาว่า คิดใหม่ ทำใหม่ สำหรับประเทศไทยขณะนั้น
ประสบการณ์ที่ผมได้คลุกคลีกับหลายจุด ภาคการศึกษา ภาคเอกชน ภาคราชการ ภาคการเมือง จนครอบคลุมเต็มตัวจริงๆ อยู่ 6 ปี ตอนนั้นแม้จะเหนื่อยแต่เป็นความสุขของคนที่เคยฝัน ฝันว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้น คิดทำโน่นทำนี่ ฝันว่าอยากทำให้ประเทศไทยมีความสามารถเชิงแข่งขันที่โดดเด่น ฝันว่าจะทำให้สังคมมีความสุข ผลักดันเรื่องการท่องเที่ยว เรารู้ว่าสังคมกำลังแตกก็บอกว่าให้มีภาษีลูกกตัญญู คิดทำในสิ่งเหล่านี้ เรื่องของกองทุนหมู่บ้าน จิปาถะเต็มไปหมด ทำงานเหน็ดเหนื่อยก็จริงแต่มีความสุขใจที่ได้มีโอกาสช่วยประเทศ สุขใจที่มีโอกาสใช้สิ่งที่ร่ำเรียนมาให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่เอาสิ่งที่ร่ำเรียนมาทำเพื่อการค้าหรือสร้างตัวเองขึ้นมา
แล้ววันหนึ่งพระเจ้าก็บอกว่า สมคิดมาพักได้แล้ว ผมมีความทุกข์พอสมควรในการเห็นปัญหาของบ้านเมืองแล้วไม่สามารถผลักดันหรือขับเคลื่อนได้อย่างที่ต้องการ บางครั้งเหมือนเขยื้อนภูเขา เขยื้อนไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะถ้าคิดคนเดียว ทำคนเดียว ทำให้ตายก็ไม่มีทาง ฉะนั้น จุดความฝันใหม่ ฝันว่าจะทำอย่างไรให้เมล็ดพันธุ์พืชขึ้นมาหลายๆ เมล็ด ให้เป็นคนที่สามารถฝากผีฝากไข้สำหรับอนาคตของประเทศ เพราะคนเหล่านั้นจะสามารถก้าวสู่ความเป็นผู้นำในอนาคตข้างหน้า และผู้นำนั้นต้องมาจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่มาจากนักธุรกิจอย่างเดียว อาจารย์อย่างเดียว หรือจากภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง
แต่ละคนล้วนมีความคิดของตนเองทั้งสิ้น ทำอย่างไรถึงจะมีสื่อกลางให้คนเหล่านั้นได้แสดงออก ให้เขาเริ่มเติบโต เริ่มยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น รู้ว่าความคิด ความฝัน ความจริงกับการปฏิบัติเป็นอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะเดินไปข้างหน้าได้ โลกเราอยู่ได้ด้วยการผสมผสาน ความยืดหยุ่น รู้จักใช้สิ่งที่เป็นบวกของแต่ละคน มองข้ามสิ่งที่เป็นลบ คนเหล่านี้เมื่อถึงเวลาของเขาก็อาจก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับชาติ
ถ้าสร้างตั้งแต่วันนี้ ช่วยเหลือตั้งแต่วันนี้ ก็จะออกผลเอาตอนนั้น และถ้าออกผลในตอนนั้น ประเทศก็มีที่พึ่ง ที่วันนี้ประเทศไม่มีที่พึ่งเพราะเราไม่ได้สร้างเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นขึ้นมา เราไม่มีผู้นำรุ่นใหม่ๆ ในแต่ละภาคส่วน แต่วันนี้เราเริ่มเห็นผู้นำในท้องถิ่น นายกเทศมนตรีทั้งหลาย ผู้นำสหกรณ์อายุไม่มากเกิดความคิดดีเลิศ นี่คือตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่าเมืองไทยของเราไม่ได้ขาดคนดี แต่ทำอย่างไรจะจุดไฟให้เกิดขึ้น ต้องกล้าคิดกล้าทำ ไม่เอาตัวเองให้ตกเป็นทาสของความคิดผิดๆ กล้าคิดของตัวเองขึ้นมา การอธิบายว่าผู้นำเป็นอย่างไรนั้น หาอ่านได้ในหนังสือเยอะแยะ แต่อยากให้ดูว่าผู้นำที่สามารถสร้างชาติได้ต้องมีความรักชาติ รักบ้านเมือง ต้องมีความเสียสละ ต้องมีความกล้าหาญ
มีผู้นำอยู่คนหนึ่งซึ่งผมยอมรับและชื่นชมคือ อดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวน ยิว ของสิงคโปร์ ผมชื่นชมเขาไม่ใช่ประเทศเขาเจริญ ลี กวน ยิว โตในสิงคโปร์ ไปเรียนหนังสือต่างประเทศ ชีวิตของเขามีแรงผลักอยู่มหาศาล ตอนอยู่ในประเทศสิงคโปร์ เขาเคยเล่าให้นักข่าวฟังว่า ญี่ปุ่นมายึดสิงคโปร์ เขาเดินผ่านทหารญี่ปุ่น แต่ไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านทหารญี่ปุ่นต้องโค้ง ทหารญี่ปุ่นเรียกไปให้เขาคุกเข่าแล้วกระทืบ เขาบอกว่าการกระทืบครั้งนั้นสอนให้รู้ว่าอำนาจคืออะไร จากนั้นเขาไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ตอนไปคนอังกฤษดูหมิ่นคนเอเชีย เพราะคิดว่าเหนือกว่า เขาเริ่มเกิดความคิดว่าระบบอังกฤษดีกว่า คนเอเชียจริงหรือเปล่า เขาติดตามดูวิธีการบริหารเศรษฐกิจของอังกฤษ ติดตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษที่เป็นแม่บท เขาบอกว่าสิงคโปร์ทำได้แน่และดีกว่าแน่นอน ขออย่างเดียวให้มีเวลา
เขาเดินทางกลับมาที่สิงคโปร์ ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 40 ด้วยซ้ำ ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง สนับสนุนให้มีการรวมสิงคโปร์ซึ่งเป็นเกาะประมงเล็กๆ ไม่มีอะไร ร่วมกับมลายู ก่อตั้งสหพันธรัฐมาเลเซีย เขาต่อสู้เพื่อสิ่งเหล่านี้และเขาชนะ สิงคโปร์รวมกับมลายูได้ แต่เมื่อตั้งมาเลเซียขึ้นมา เขาได้รับบทเรียนสำคัญ มาเลเซียนั้นต้องการเป็นมาเลเซียซึ่งมีมาเลย์ ออน ท็อป แต่ข้อเสนอของเขาคือ ต้องเท่าเทียมกัน เป็นลูกคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกเลี้ยง เขาคิดไม่ถึงว่า มาเลเซียขณะนั้นจะตัดเขาออกไป อดีตนายกฯมาเลเซียประกาศตัดสิงคโปร์ออกจากสหพันธรัฐมาเลเซีย เพราะคิดว่าไปไม่รอดแน่ เกาะเล็กๆ ไม่มีอะไร มีแค่การจับปลา
ผมได้มีโอกาสดูวิดีโอคลิปตอน ลี กวน ยิว อายุประมาณ 42 ผมไม่เคยคิดว่าบุรุษเหล็กอย่างลี กวน ยิว ร้องไห้เป็น เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวบอกว่า ตลอดชีวิตวัยหนุ่มทุ่มเทและเชื่อมั่นว่าการรวมเป็นสหพันธรัฐมาเลเซียคือเป้าหมาย เขาเอาทิชชูมาซับน้ำตา ผมดูแล้วเข้าใจทันทีว่า ทำไมสิงคโปร์ถึงมีแรงผลักมากขนาดนี้ ทำไม 40-50 ปีให้หลังถึงทำงานแบบไม่มีหยุดหย่อน ทุกอย่างเริ่มต้นจากแรงผลักข้างในทั้งสิ้น คำถามที่ต้องถามคือ คนไทยมีแรงผลักนี้หรือไม่ มีความมุ่งมั่นหรือไม่ทางการเมือง การเมืองไม่ใช่เพื่อส่วนตัวแต่เพื่อประเทศชาติ เขาใช้เวลาหลายเดือนในการรวบรวมตัวเองไม่ให้แตกซ่านจากความผิดหวัง
ลี กวน ยิว ออกมาประกาศต่อคนสิงคโปร์ว่า คนอย่างเขาไม่ใช่ลูกไล่ของใคร เขาบอกว่าจะไม่เล่นเกมที่ใครกำหนดขึ้นมา สิงคโปร์จะกำหนดชะตาเอง และสิงคโปร์จะต้องอยู่รอด เขาประกาศคำนี้ตอนอายุ 42 จากจุดนั้นเป็นต้นมา เขาคิดอนาคต เลือกสรรคนดีๆ มาทำงานเพื่อบ้านเมือง คนเราไม่เท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้คนสิงคโปร์เหนือกว่าคนอื่นและอยู่รอดได้ และสิ่งนั้นคือเรื่องของการศึกษา และสิงคโปร์ก็ทุ่มเทเรื่องการศึกษามาโดยตลอด มีการนำคนเก่งๆ เข้ามาในประเทศไม่ว่าจะชาติใดก็แล้วแต่ การที่มีคนเก่ง มีคนดี มีความตั้งใจ
ลี กวน ยิว เริ่มสร้างเมล็ดพันธุ์ใหม่ๆ มี โก๊ะ จ๊ก ตง มีจายา กุมาร์ เต็มไปหมด แต่ละคนเขาให้เงินเดือนสูงมากๆ วันที่เขาตั้งเงินเดือนให้สูงๆ นั้น เขาถูกโจมตีจากสื่อต่างประเทศ เขาประกาศว่า ถ้าให้คนที่จะมานำประเทศแล้วให้เงินเดือนต่ำๆ ก็จะมีแต่คนที่พูดหวานแล้ววันหนึ่งข้างหน้าจะออกลาย แล้วเมื่อนั้นพวกเขาจะทำให้ชาติเสื่อมทราม ประเทศจะเจริญได้ รัฐบาลต้องเข้มแข็ง รัฐบาลสามารถเข้มแข็งได้ก็จะมีคนดีเลิศมาที่รัฐบาล ประเทศชาติจะเจริญ ฉะนั้น อย่าเสียดายเงินเดือนค่าจ้าง
มีคนถามลี กวน ยิว ว่าห่วงไหม ถ้าวันหนึ่งมีพรรคอื่นมาเป็นรัฐบาล เขาบอกว่าไม่ห่วงเลย ตราบใดที่พวกเขาเหล่านั้นรู้ว่าจะหาใครมาทำงานให้สิงคโปร์ก้าวหน้าได้ เขาเตือนประชาชนของเขาอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีระบบศรีธนญชัย เขาบอกว่าเราให้ชามข้าวคุณ ไม่ใช่ชามเหล็กตกไม่แตก แต่เป็นชามกระเบื้องที่ตกแตก ฉะนั้น เป็นหน้าที่ของชาวสิงคโปร์ทุกคนที่จะต้องรักษาชามข้าวใบนี้ไว้ ถ้าแตกเมื่อไหร่คือเคราะห์ร้ายของประเทศ รัฐบาลจำเป็นต้องแทรกแซงในบางเรื่อง เพราะขณะนั้นเริ่มมีคนบ่นว่าเขาเริ่มเข้ามาวุ่นกับชีวิตประจำวันของคนสิงคโปร์ เขาบอกว่าสิงคโปร์มีวันนี้เพราะเราช่วยกันคิดว่าอนาคตคืออะไร ต้องทำอะไร แม้กระทั่งจะถ่มน้ำลายก็สำคัญ ถ้าคิดว่าเขาทำผิดก็ให้เลือกพรรคอื่นไม่ต้องเลือกเขา คนงานสหภาพแรงงานสไตร๊ค์ 2 สัปดาห์ ในภาพวิดีโอที่ออกมา เขาออกมาประกาศว่าการหยุดงาน 2 สัปดาห์ แต่ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะซ่อมความเสียหายได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเจรจาต่อรอง แต่เป็นเรื่องของชีวิตคนสิงคโปร์ทุกคน มีทางเลือก 2 ทางคือสไตร๊ค์ต่อหรือหยุด ถ้าเป็นทางแรก เขาสัญญาว่าจะให้คนสิงคโปร์ทั้งประเทศให้บทเรียนและสั่งสอน
ฟังเขาพูดเรื่องสื่อฝรั่ง สื่อฝรั่งเริ่มตำหนิสิงคโปร์ เพราะตอนนั้นเริ่มเกิดปัญหาระหว่างสิงคโปร์กับออสเตรเลีย เขาให้สื่อต่างประเทศออกจากสิงคโปร์ ตรงนี้ถูกผิดหรือไม่ผมไม่ขอออกความเห็น แต่สะท้อนได้ว่าเขาคิดอะไร เขาบอกเขาอนุญาตให้สื่ออยู่ในประเทศเพื่อรายงานข้อเท็จจริงของสิงคโปร์ให้ฝรั่งได้เข้าใจ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มจินตนาการเริ่มเขียนให้เกิดความเสียหายต่อสิงคโปร์ เมื่อนั้นก็ไม่ต้องอยู่ในสิงคโปร์ สื่อในสิงคโปร์มีความสามารถไม่แพ้สื่อต่างประเทศ เขาบอกว่าถ้าคุณไม่ดูแลสิ่งเหล่านี้ แล้วมีคนซึ่งเอาความคิดที่ไม่ดี ความคิดผิดๆ แล้วเผยแพร่ตลอดเวลาในสื่อเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ประเทศจะอยู่ได้หรือไม่ เป็นหน้าที่ของผู้นำและของรัฐบาลที่ต้องหยุดความคิดเหล่านั้นด้วยการให้คนที่มีความคิดเหล่านั้นมาชี้แจง ถ้าผิดก็ขอโทษในสิ่งที่เคยพูด ถ้ายังทำต่อไปต้องขึ้นศาลว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้นถ้าความคิดผิดๆ อยู่ในสมองของประชาชน ความเสียหายจะเกิดขึ้นมหาศาล เขาพูดแบบนี้เมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว ผมคิดถึงกีฬาสีเมืองไทยขึ้นมา
สิ่งที่เล่ามาไม่ใช่ว่าถูกหรือผิด แต่กำลังจะบอกว่า คนที่เป็นผู้นำนั้นต้องมีความคิด ต้องเปิดรับความคิด ต้องรู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง ต้องสื่อความ ต้องกล้าตัดสินใจ ต้องไม่เห็นว่าอำนาจคืออะไร ตำแหน่งคืออะไร สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ต้องปลูกฝัง ต้องสร้างให้มีผู้นำรุ่นใหม่เกิดขึ้น ปีนี้ผมอายุ 57 แล้ว อีกไม่กี่ปีก็ 60 แต่ต้องมีคนรุ่นใหม่แล้ว อายุ 30 40 50 ต้องเริ่มคิดสิ่งเหล่านี้แล้ว คนอายุมากถอยไปอยู่ข้างหลัง คอยช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน ลี กวน ยิว เคยบอกว่า ต่อให้เขานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย หรือคนกำลังจะเอาร่างของเขาฝังในดิน ถ้าเมื่อไหร่มีอะไรผิดปกติขึ้นกับสิงคโปร์ เขาจะลุกขึ้นมา ถ้าไม่ดูประวัติเขาตั้งแต่ต้น ไม่เคยเห็นวันที่เขาร้องไห้ จะไม่เข้าใจและคิดว่าเขาพูดเกินจริง แต่คนคนหนึ่งถ้ารักชาติ สร้างชาติขึ้นมา บางครั้งเขาอาจทำในสิ่งที่ผิดพลาด คนสิงคโปร์ก็ให้อภัยเขา เขาอาจเผด็จการมากไป แต่ข้อดีของเขามีเยอะ
เมืองไทยต้องมีคนแต่ละรุ่น มีจิตใจที่กล้าเสียสละ 4 ปีที่ผ่านมา เดือนนี้เป็นเดือนครบรอบ 4 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ใครจะปฏิวัติรัฐประหารปล่อยเขาไป แต่สิ่งที่เห็นชัดคือว่า โดยส่วนตัวผมว่าบ้านเมืองนี้เสื่อมลง ผมเห็นความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ตัวผมเองประสบด้วยตัวเอง ผมเห็นจริยธรรมคุณธรรมเริ่มตกต่ำ ผมเห็นวิวัฒนาการของการเมืองไทย จากการเมืองศรีธนญชัยมาสู่การเมืองยุคที่เรียกว่า หน้าด้านใจดำ มีหนังสือเรื่อง "ธิค เฟซ แบล๊ค ฮาร์ท" ซึ่งไม่ควรอ่านอย่างยิ่ง เพราะเขาบอกว่าคนเราจะได้ดีนั้นหน้าต้องหนา และหน้าต้องไม่มีจุดนิ่ง เปลี่ยนได้ตลอด จิตใจนั้นดำ จะให้ดีต้องดำเหมือนถ่าน ขัดให้เงาฉายแสง แล้วเมื่อนั้นจะได้ดีทางการเมือง ผมไม่แนะนำให้อ่าน ไม่อยากให้เป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ เพราะประเทศไทยจะดีได้อยู่ที่คุณธรรม ซื่อสัตย์ ทำเพื่อส่วนรวม
ผมไม่ต้องการเข้าการเมือง ไม่ต้องการตั้งพรรคการเมือง มีข่าวอยู่เรื่อยว่าร่วมกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ การมีตำแหน่งทางการเมืองเป็นเรื่องง่าย แต่การเข้าไปแล้วทำให้ประเทศดีขึ้นนั้นไม่ใช่ง่าย คุณจะมีความทุกข์ถ้าตั้งใจมากและเข้าไปแล้วทำอะไรไม่ได้ หาก ส.ส. 1 คน 30 ล้าน พวกเราผู้ประกอบสัมมาชีพจะไปทำการเมืองได้อย่างไร ฉะนั้น ภาคประชาชนจะเป็นความหวังของประเทศ ประชาชนแข็งแรง มีความรู้ รู้เท่าทัน รัฐบาลจะรู้จักรับผิดชอบ แต่ถ้าประชาชนอ่อนแอ ไม่รู้ไม่ชี้ ใครจะอย่างไรก็ช่าง รอหวังอัศวินม้าขาว การเมืองไทยจะไม่มีวันดีขึ้น
วันนี้มาพูดสื่อความ และผมไม่อยากให้เป็นข่าว เพราะผมสื่อความในใจ ผมอยากขอบคุณมติชนที่กล้าผลักดันสร้างโครงการนี้ขึ้นมา ความหวังของผมอยู่ที่พวกท่าน ไม่ได้อยู่ที่อัศวินม้าขาว ถ้าพวกท่านแข็งแรง การเมืองศรีธนญชัยจะหมดไป ประเทศจะเจริญ
ที่มา : มติชนรายวัน
*****************************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น